บทที่ 231 ผู้บุกรุกลึกลับ
บทที่ 231 ผู้บุกรุกลึกลับ
ทำไมถึงตามมาเร็วนัก…
นางเดินทางด้วยอุโมงค์มิติ ทำไมอีกฝ่ายถึงไล่ตามมาเร็วนัก?!
เห็นเด็กสาวยืนแข็งค้างอยู่เช่นนั้น ไม่ยอมหันมาหรือเอ่ยคำ ลวี่จีจึงถามขึ้นอีกที “แม่นางชิงคิดจะไปไหนหรือ? ทำไมถึงไม่ยอมบอกข้า?”
ชิงอวี่รู้สึกอับอายอยู่บ้าง นายค่อย ๆ หันมามองใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายแล้วกระแอมประหม่าออกมาสองสามครั้ง “ข้า….. เอ่อ….. เพียงแต่เดินเล่นไปเรื่อย”
“หากลวี่จีจำไม่ผิด ที่นี่คือสถานที่ต้องห้ามสำนักละอองหมอก หากศิษย์คนใดแอบเข้ามาโดยพลการจะต้องถูกลงโทษ” ลวี่จีเปิดโปงนางอย่างไร้เมตตา
มุมปากชิงอวี่กระตุก ได้แต่ยอมรับไป “ก็ได้ ข้ากำลังจะเข้าไปที่นั่น”
ลวี่จีขมวดคิ้ว “นายท่านสั่งไม่ให้แม่นางชิงเข้าไปตามลำพัง ให้รอนายท่านกลับมาก่อน”
“ข้าก็ไม่ได้ไปคนเดียวนะ!” ชิงอวี่ยิ้มแล้วกะพริบตาใสซื่อ “ตอนนี้ก็มีเจ้าอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ?”
ลวี่จีชะงักไป “ข้าหรือ?”
นางพูดเมื่อไหร่ว่าจะตามไปด้วย??
“เอาล่ะ อย่าเสียเวลาอีกเลย ธูปนิทราออกฤทธิ์ได้เพียงครึ่งชั่วยาม หากยังช้ากว่านี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาแล้วจะเข้าไปไม่ได้”
ชิงอวี่ฉวยเอาจังหวะที่ลวี่จียังอึ้งกับคำตอบของนางอยู่ รีบคว้าแขนนางแล้วดึงให้เดินเข้าสถานที่ต้องห้ามไปด้วยกัน
มือนุ่มของเด็กสาวนั้นให้สัมผัสเย็นเฉียบเล็กน้อยจับมือนางไว้แน่น ลวี่จีไม่อาจคิดอะไรไปได้ชั่วขณะ เดินตามนางไปโดยไร้สติ ถึงตอนที่ตั้งสติได้พวกนางก็เดินเข้ามาด้านในแล้ว
ลวี่จีอดรู้สึกรังเกียจตนเองไม่ได้ บัดซบ ทำไมทุกครั้งที่นางเห็นหน้าเด็กสาวนางถึงไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่อาจควบคุมปฏิกิริยาตนเองได้เลย
จั้งไหมอยู่ข้าง ๆ ชิงอวี่ แต่ปกติแล้วคนอื่นไม่อาจมองเห็นเขาได้ เขาเลิกคิ้วมองลวี่จีพลางเอ่ยขึ้น “นายหญิง ข้ารู้สึกว่าสตรีนางนี้ชอบท่านนะ”
“หือ?”
“ข้าเห็นตอนท่านจับมือนาง นางทำท่ายังกับวิญญาณหลุดจากร่าง นัยน์ตาดูแปลก ๆ” แม้จั้งไหมจะไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็มีสัญชาตญาณเฉียบคมไม่น้อย
ชัดเจนถึงขนาดนั้นเลยหรือ?
ชิงอวี่มองสตรีชุดเขียวที่มีใบหน้างดงามข้าง ๆ โหลวจวินเหยาบอกไว้ว่าอย่าเข้าใจลวี่จีมากเกินไปโดยไม่จำเป็น เพราะลวี่จีนั้นชอบสตรี
เหอะ เขาไม่รู้จักนางดีหรือไม่ นางงดงามเช่นนี้ ทำไมต้องมาชอบสตรีด้วยกันด้วย? หน้าตาเช่นนาง ความสามารถเช่นนาง ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะชอบสตรีเช่นไร
สถานที่ต้องห้ามยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ว่ากันว่าคราวก่อนมีหลายคนที่เข้ามาหมายจะชิงดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์ไป ทว่าเอาชีวิตมาทิ้งเสียส่วนมาก
“ไหมไหม ช่วยข้าดูหน่อยว่าแถวนี้มีกลิ่นอายสิ่งใดผันผวนหรือไม่” ชิงอวี่เอ่ยขึ้น
จั้งไหมรับคำ ก่อนที่นัยน์ตาสีเงินทองงดงามจะถูกแสงสีขาวบดบัง พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม
“ว่าอย่างไร?”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าพลางขมวดคิ้ว “ข้าสัมผัสอะไรไม่ได้เลย อีกทั้ง….. ไม่มีกลิ่นอายใดผันผวน ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตเลยด้วย”
“เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้?” ชิงอวี่ถามขึ้น ดูประหลาดใจ
นางจำได้ดีว่าเมื่อครั้งก่อนนางยังถูกอสูรวิญญาณกลุ่มใหญ่เข้าโจมตี
ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตเลย?
นางย่อมเชื่อคำไหมไหม ด้วยประสาทสัมผัสของเด็กหนุ่มนั้นดีกว่านาง คงไม่ผิดพลาดแน่
จั้งไหมเองก็ดูสงสัยเช่นกัน ส่ายหน้าเอ่ยคำขึ้น “นายหญิง พวกเราระวังหน่อยดีกว่า หากมีเรื่องแปลกเช่นนี้ย่อมมีสิ่งชั่วร้ายซ่อนตัวอยู่แน่”
ชิงอวี่พยักหน้า สีหน้าจริงจัง
ที่อีกฟากหนึ่งของสถานที่ต้องห้าม บนอากาศมีแรงกระเพื่อมน่าประหลาด ก่อนที่คนสองคนจะก้าวเท้าออกมา
คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปี สีหน้าไร้อารมณ์ดูแปลก ๆ แผ่กลิ่นอายกดดันชั่วร้าย ให้ความรู้สึกอึดอัดหนักหน่วง
“มั่นใจหรือว่าเป็นที่นี่?”
“วิชาทำนายของนายท่านไม่เคยผิดพลาด และหากพวกเราทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จ นายท่านต้องตกรางวัลอย่างงามแน่”
“เราแยกกันหาดีกว่า”
“ได้”
หลังจากชิงอวี่เดินเตร่อยู่นาน ลวี่จีก็ถามขึ้น “แม่นางชิง เจ้าเข้ามาที่นี่คิดจะทำอะไรกันแน่?”
ชิงอวี่นิ่งไปก่อนจะตอบ “เศษวิญญาณท่านแม่ข้าอยู่ในนี้ ข้าต้องนำมันออกมา”
กลิ่นอายของเด็กสาวพลันหมองลงทันตา ส่งผลให้ลวี่จีชะงักไปอึดใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาว “ข้าช่วยเจ้าเอง”
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็คลี่ยิ้มบางพลางเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณมาก”
พริบตานั้นลวี่จีรู้สึกราวกับถูกรอยยิ้มนั่นซัดเข้ากลางใจ
นัยน์ตามีเสน่ห์จึงหลุบลงราวกับ มันจะซ่อนอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในได้
หากแต่บรรยากาศเงียบสงบได้ไม่นาน พวกนางเดินต่อไปไม่กี่ก้าว ที่พื้นก็เกิดแรงสะเทือนเลือนลั่น ก่อนจะเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้นมา
ชิงอวี่ก้าวได้เพียงครึ่ง ขาข้างหนึ่งยังยกค้างอยู่ ที่พื้นพลันมีรอยแยกขนาดใหญ่บังเกิด เกือบจะเหยียบลงรอยแยกไปแล้ว นางเพิ่งจะทรงตัวได้ก็พลันมีแรงสะเทือนอีกระลอก คนทั้งสองร่วงลงรอยแยกไปทันที
พวกนางร่างหมุนคว้างมึนงง แต่ไม่นานก็รับมือได้ หมุนร่างให้กลับเป็นปกติ ก่อนจะร่วงลงไปใช้สองเท้าลงอย่างปลอดภัย
ลวี่จียังคงท่าทีสงบไว้ได้เพราะนางมั่นใจในฝีมือตนเอง ทว่าเหลือบมองเด็กสาวข้างกาย นางเองก็ไร้แววแตกตื่นตกใจเช่นกัน นางเคลื่อนกายว่องไวปราดเปรียวนัก ภายนอกอาจดูเปราะบางไร้พิษภัย ทว่ามีฝีมือไม่น้อยจริง ๆ
สายตานางลึกล้ำขึ้นยามหวนนึกถึงคำของเหลียนจี
เด็กสาวคนนี้เป็นคนที่นายท่านปฏิบัติด้วยไม่เหมือนใครอื่น ดังนั้นคงจะมีอะไรพิเศษเป็นแน่ ไม่ใช่คนที่พวกนางจะสามารถล่วงเกินได้ ต้องทิ้งระยะห่างแสดงความยำเกรงบ้าง
“มีอะไรหรือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้ว ลองยกเท้าขึ้นเหยียบพื้น มันเป็นหินทรายแข็ง ๆ
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองไม่เห็นแสงสักเส้น มุมปากนางกระตุกยิก นี่พวกนางร่วงลงมาจากพื้นดินลึกแค่ไหนกัน?
ด้านนอกยังสว่างจ้ามากแท้ ๆ แต่ดูท่าตอนนี้พวกนางจะร่วงลงมาในหลุมลึก มืดเสียจนมองไม่เห็นในระยะที่กางมือตรงหน้าด้วยซ้ำ หากนางไม่ได้มีสายตามองเห็นในความมืดก็คงกลายเป็นคนตาบอดไปแล้ว
แล้วทำไมถึงเกิดแรงสะเทือนขนาดนั้นได้?
นางครุ่นคิดหนัก หากแต่พื้นใต้เท้ากับสะเทือนอีกครา ครั้งนี้มันสะเทือนแล้วยังตามมาด้วยเสียงคำรามดังสนั่นแสบหูอีก
ชิงอวี่ชะงักไป ก่อนจะกันไปมองเด็กหนุ่มผมทองด้วยใบหน้าฉงนสงสัย “ไหนเจ้าว่าไร้สิ่งมีชีวิตใดไงเล่า? เสียงคำรามนั่นราวกับเสียงของอสูรวิญญาณ”
จั้งไหมทำหน้าซื่อยักไหล่ตอบ “ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสไม่เจอจริง ๆ แต่เสียงคำรามจากอสูรวิญญาณก็บอกความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง หนึ่งคือเราอยู่ใต้ดินลึกมาก ที่นี่คงมีบางอย่างปกคลุมไว้ ทำให้ข้าไม่อาจสัมผัสได้ถึงมัน สองคือเสียงคำรามนั่นไม่ได้มาจากอสูรวิญญาณ แต่เป็นกลิ่นอายวิญญาณที่อสูรวิญญาณปลดปล่อยไว้ก่อนตายเพื่อขู่ผู้บุกรุกให้หนีไป”
ฟังดูแล้ว ไม่รู้เหตุใดชิงอวี่จึงรู้สึกว่า….. ข้อหลังน่าจะดูเป็นไปได้มากกว่า
แต่ผู้บุกรุกหรือ?
หรือว่า….. จะมีใครเข้ามาก่อนนาง?
คิดได้ดังนั้นนางจึงรีบเอ่ยกับจั้งไหม “ไหมไหม เจ้านำทาง ไปดูว่าเสียงมาจากไหน”
“ได้เลยนายหญิง” เด็กหนุ่มตอบก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปทางหนึ่ง “นายหญิงตามข้าอย่าให้ห่าง”
ภายใต้ความมืดมิดนั้นมองไม่เห็นสีหน้านาง ทว่าชิงอวี่พลันดึงลวี่จีไว้แล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้น “จับมือข้าไว้ เราจะได้ไม่หลงกัน”
ลวี่จีชะงักไป ก่อนจะเกร็งมือขึ้นมาแล้วยื่นมือไปจับมือกับชิงอวี่ไว้
ณ สถานที่อันเป็นต้นเหตุแห่งเสียงคำรามนั่นเห็นเงาร่างมนุษย์สีขาวเหินออกมา ทั้งยังตีลังกากลางอากาศ ก่อนจะเหินลงสู่พื้นอย่างมั่นคง
พวกเขามาใกล้กับสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นถ้ำแล้ว
“หึ ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นอายวิญญาณของอสูรวิญญาณประเภทไหนที่ปกปักที่นี่ไว้ รับมือยากไม่น้อยเลย” เงาร่างหนึ่งเอ่ยเสียงเย็น
“มีแค่จิตที่แตกสลายของอสูรวิญญาณแต่กลับทรงพลังขนาดนี้ได้ ตอนยังมีชีวิตมันต้องแข็งแกร่งมากแน่ อย่างน้อยก็ระดับ 12 ขึ้นไป แต่….. บนแดนระดับต่ำแห่งนี้เหมือนจะจำกัดระดับของพวกมันไว้ที่ 0 นี่ ฉะนั้นเรื่องนี้น่าประหลาดนัก” อีกคนให้เหตุผล
“ดูท่าเราจะต้องรับมือกับจิตที่ยังหลงเหลืออยู่ของมันเสียก่อนจึงจะเข้าไปเอาของด้านในได้”
“เคราะห์ดีที่นายท่านมองการณ์ไกล ถึงตอนนี้ก็นับว่าช่วยพวกเราไว้แล้ว”
ว่าแล้วทั้งสองก็เริ่มร่ายคาถาออกมา กะโหลกขนาดใหญ่ที่แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายพลันโผล่ออกจากร่างทั้งสอง เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกกรีดหูดังออกมาจากปากของมัน ก่อนมันจะพุ่งเข้าไปในทางถ้ำแคบตรงหน้า
พริบตาต่อมา เสียงคำรามทรงพลังของอสูรวิญญาณก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นเสียงคำรามหวาดกลัว ภายในถ้ำมีพลังปะทะกันไม่หยุด จิตที่เหลืออยู่ของอสูรวิญญาณเริ่มอ่อนแอลงเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมสลายไป ราวกับมันกำลังเฝ้าปกป้องบางอย่างอยู่
“ฮ่า ๆ มันจะตายอยู่รอมร่อแต่ยังพยายามอย่างไร้ความหมายงั้นหรือ แต่เรารอไม่เกินชั่วสิบลมหายใจ มันก็คงสลายไปไม่เหลือซากแล้ว”
ชายในชุดขาวหัวเราะเสียงเย่อหยิ่ง แต่ยังไม่ทันได้หัวเราะเยาะเต็มคำสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม “ใครกัน?”
คนข้าง ๆ ก็เหมือนจะสัมผัสได้เช่นกัน สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นระแวดระวัง
ภายในความมืดมิด มีคนสองคนเดินออกมา คือชิงอวี่กับลวี่จีนั่นเอง
ชิงอวี่มองประเมินชายในชุดประหลาด ชุดเช่นนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน นางพลันเอ่ยตอกกลับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย “แล้วพวกท่านคือ?”
เหมือนจะไม่ใช่คนจากสามสำนักใหญ่
ชายชุดขาวไม่ตอบคำ เพียงแต่เหยียดริมฝีปากชั่วร้ายแล้วเอ่ยขึ้น “คือคนที่จะส่งเจ้าลงนรกอย่างไรเล่า”
กลิ่นอายวิญญาณของทั้งสองพลันพุ่งออกมา ส่งผลให้นัยน์ตาลวี่จีทะมึนลง “พวกเจ้าเป็นคนจากแดนเมฆาสวรรค์! ใครส่งเจ้ามา? แล้วมีจุดประสงค์อะไร!?”
คนจากแดนเมฆาสวรรค์เดินทางมาถึงแดนระดับต่ำเช่นนี้ ทั้งยังมาปรากฏอยู่ที่นี่ คงจะมีเหตุผลชั่วช้าอันใดเป็นแน่
เมื่อเห็นว่าลวี่จีมองพวกเขาออก ทั้งสองก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ตั้งสติได้แล้วเอ่ยโต้ “เจ้าเองก็มาจากแดนเมฆาสวรรค์หรือ? เช่นนั้นก็อย่ามาสอดธุระของพวกเรา”