ตอนที่ 250 เส้นทางลักลอบ

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 250 เส้นทางลักลอบ

วันต่อมาเป็นวันเสาร์

หลังจากมู่เถาเยา ลู่จือฉิน และเหลียงจีกลับจากฝึกกำลัง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ไปกินอาหารเช้าที่บ้านตระกูลตี้

หลังอาหารประมาณสี่สิบนาที มู่เถาเยาก็เปิดลมปราณภายในให้ตี้อู๋เปียนแล้วถึงฝังเข็มหุยหยาง

จากนั้นก็เอายาเม็ดบำรุงความงามที่ทำในช่วงหลายวันนี้ให้ตี้อู๋เปียน

“หนึ่งขวดกินหนึ่งเดือน วันละเม็ดก่อนนอนหนึ่งชั่วโมงพร้อมน้ำอุ่น”

“ได้ พรุ่งนี้ไปกี่โมงเหรอ”

“หลังกินข้าวเช้าเสร็จ”

“งั้นพรุ่งนี้มากินข้าวเช้าที่นี่ รถพวกเธอจอดไว้ที่นี่แหละ ฉันจะให้คนไปส่งที่ลานจอดเครื่องบิน”

“อืม”

พ่อบ้านจงรีบถาม “เสี่ยวเยาเยา ลุงก็ไปด้วยใช่ไหม”

“ค่ะ”

ต้องสอนเขาทุกวัน จึงต้องไปด้วยกัน

พ่อบ้านจงตอบด้วยความดีใจ “ได้เลย”

ตี้อู๋เปียนรู้สึกว่าพ่อบ้านจงเหมือนไม่ใช่พ่อบ้านของเขาแล้ว

“ตี้อู๋เปียน กลับไปก็อย่าแอบทำเรื่องที่ห้ามทำล่ะ คุณต้องรู้สภาพร่างกายของตัวเองนะ”

ตี้อู๋เปียน “…”

ดูท่า ‘จุดด่างพร้อย’ ที่เขาแอบฝึกกำลังครั้งนั้นจะล้างไม่หมดจนกว่าร่างกายของเขาจะหายดี

“ตี้อู๋เปียน?”

“ไม่หรอก ฉันเชื่อฟังหมอมู่”

“อืม เด็กดี”

“…”

เด็กดีกับผีสิ เขาไม่ใช่เจ้าถุงลมน้อยนะ!

ตอนประมาณเที่ยงเฉิงอันนั่วก็พาปาอินมาส่งบ้านตระกูลตี้

ทุกคนกินข้าวกลางวันที่บ้านตระกูลตี้ มู่เถาเยาพูดกับตี้อู๋เปียน “พวกเราไม่มากินข้าวเย็นแล้วนะ จะไปกินข้าวที่บ้านศิษย์พี่หญิงห้า”

เดิมทีจะไปบ้านอาจารย์อาเล็ก แต่ศิษย์พี่หญิงห้ามีลูกอยู่ในท้อง พยายามไม่ให้เคลื่อนไหวมาก ก็เลยนัดกันไปกินที่บ้านศิษย์พี่หญิงห้า

ตี้อู๋เปียนพยักหน้า

มู่เถาเยาพาทุกคนกลับตำหนักพระจันทร์

หลังจากงีบกลางวันเสร็จทุกคนก็ไปยังพื้นที่ศิลปะเฉิงหนาน

อาจารย์อาเล็กกับภรรยา ศิษย์พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ ศิษย์พี่หกกับภรรยา ทยอยกันเดินทางมาถึง

วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่มีใครต้องทำงาน

บ้านของศิษย์พี่หญิงห้าเป็นบ้านเดี่ยวหลังเล็กสไตล์ศิลปะสมัยใหม่ ชั้นหนึ่งเป็นห้องรับแขก ห้องครัว ห้องอาหาร อีกทั้งยังมีห้องเก็บของขนาดเล็ก พื้นที่กว้างขวางมากพอ คนมากขนาดนี้ไม่ดูแออัด

อาจารย์อาเล็กถาม “เสี่ยวเยาเยา พวกเธอกลับจากตะวันออกเสร็จก็ไปที่เผ่าเลยไหม”

“ค่ะ”

กู่ย่า “จือฉินก็ไปด้วยไหม”

ลู่จือฉินพยักหน้า “ค่ะพี่สะใภ้ ฉันจะใช้โอกาสนี้ไปดูสมุนไพรที่นั่นสักหน่อย”

“อืม”

ปาอินยิ้มดวงตาโค้งมน “อาจารย์สามไม่ผิดหวังแน่ค่ะ เผ่าหมาป่าพระจันทร์ของพวกเราสวยงามมาก ป่าเขาลำเนาไพรเยอะมาก ไม่เคยขาดแคลนสมุนไพร”

“อืม ต้องลองไปดูสักหน่อย ปู่ของเธอเคยชวนอาจารย์ไป แต่น่าเสียดาย…”

ปาอินถามด้วยความตะลึง “อาจารย์สามรู้จักปู่ของหนูด้วยเหรอคะ”

“อืม ตอนที่อาจารย์เก็บสมุนไพรอยู่ทางตะวันออก…”

ลู่จือฉินเล่าให้ทุกคนฟังว่าเธอรู้จักหมอเทวดาปาถิงได้ยังไง

ทุกคนเข้าใจแล้ว

มู่เถาเยายิ้มหวานพลางพูด “ใครว่างก็ไปด้วยกันได้นะคะ”

ทุกคนต่างมองหน้ากัน

อาจารย์อาเล็กพูด “เสี่ยวเยาเยา อาจารย์จะไปอยู่เป็นเพื่อนอาจารย์ใหญ่ของเธอที่หมู่บ้านเถาหยวน วันหน้าไว้มีโอกาสจะไปนะ”

กู่ย่า หลี่อวี้เสวี่ย เฉิงหราน และคนอื่นๆ ยังต้องทำงาน ย่อมไปด้วยไม่ได้

เฉิงอันนั่ว “ไว้ถึงตอนนั้นผมไปด้วยครับ”

เมื่อคืนพอบอกพ่อแม่ พ่อกับแม่ก็ตอบเขาเหมือนไล่แมลงวัน ‘ไปสิๆ ให้เสี่ยวอินพาเที่ยวนะ’

ไม่มีความเศร้าที่จะต้องห่างลูกชายเลยสักนิด

หลี่อวี้เสวี่ยยิ้มพูดกับปาอิน “เสี่ยวอินจ๊ะ เสี่ยวเยาเยามีเรื่องต้องทำมากมาย รบกวนเธอพาอันนั่วเที่ยวให้ทั่วเลยนะ”

“ได้เลยค่ะ ฉันจะต้อนรับเสี่ยวเฉิงในฐานะเจ้าบ้านที่ดีแน่นอนค่ะ ให้เขานอนบ้านฉันก็ได้นะคะ คุณยายฉันทำอาหารอร่อยมาก!”

“งั้นก็รบกวนด้วยนะจ๊ะ” หลี่อวี้เสวี่ยยิ้มมีความสุขยิ่งกว่าเดิม

“พี่สะใภ้ไม่ต้องเกรงใจค่ะ คนกันเองทั้งนั้น”

เสี่ยวเฉิงก็ถือเป็นรุ่นเด็กกว่าเธอ

เธอรุ่นเดียวกับเสี่ยวเยาเยาเลยนะ!

หลี่อวี้เสวี่ยยิ้มมีเลศนัย “จ้ะ งั้นพี่ก็ไม่เกรงใจเสี่ยวอินแล้วนะ”

พวกผู้ใหญ่ต่างอมยิ้ม

เฉิงอันนั่วรู้สึกแปลกๆ ชอบกล แต่ก็คิดไม่ออกว่ามันแปลกตรงไหน

หากว่ากันตามเหตุผล ไปเที่ยวข้างนอกนอนค้างบ้านเพื่อนก็เป็นเรื่องปกติ

แต่เขาใกล้ชิดกับอาจารย์อาเล็กมากกว่า ทำไมต้องพักที่บ้านปาอินด้วย

ทำไมอาจารย์อาเล็กไม่แสดงท่าทีอะไรเลย

หรือว่าตำหนักพระจันทร์ไม่ต้อนรับเขา

ไม่มีเหตุผลนะ!

เขาก็เคยเจอคนตระกูลเย่ว์ เข้ากันได้ดี

เฉิงอันนั่วมองปาอินด้วยความงุนงงแล้วมองมู่เถาเยา จากนั้นก็มองแม่ตัวเอง

ทุกคนแสร้งทำเป็นไม่เห็น ทำเป็นพูดเรื่องอื่น

“ศิษย์พี่ใหญ่คะ ตอนนี้เหลยถิงเป็นไงบ้างคะ”

ระยะนี้ค่อนข้างยุ่ง เธอไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้เลย

เฉิงหราน “สีหน้าดีขึ้นมาก ก็แค่…จะว่าไงดีล่ะ ดูเหมือนมีเรื่องหนักใจ ก็ไม่รู้ว่าเจียงเย่ว์พูดอะไรกับเขาหรือเปล่า”

“เหลยถิงไม่ได้บอกคนในบ้านเหรอคะ เขามีอาการเวียนหัวตาลาย คลื่นไส้อยากอาเจียนหรือเปล่า”

เฉิงหรานส่ายหน้า “ไม่เลย ไม่ได้พูดอะไร ครั้งล่าสุดตอนเขาพาเจียงเย่ว์กลับมากินข้าวที่บ้าน พี่รู้สึกว่าทั้งสองคนดูแปลกไป”

เฉิงอันนั่วแอบโมโห “เจียงเย่ว์นี่ก็ใจแข็งจริง ไม่แคร์พี่ชายผมเลยสักนิดหรือไง”

หลี่อวี้เสวี่ยพูด “เจียงเย่ว์ก็ปิดเทอมแล้ว ต้องกลับเมืองหลวงแน่นอน อาถิงก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว รอดูสถานการณ์ไปก่อนค่อยว่ากัน”

อันเย่ว์ “เราจะเข้าไปยุ่งเรื่องความรักของพวกเขาก็ไม่ได้”

อาจารย์อาเล็ก “ถ้าเป็นแค่เรื่องความรัก งั้นก็ให้เหลยถิงจัดการเอง ประเด็นคือยังมีเรื่องเจียงจี๋อีก จริงสิเสี่ยวเยาเยา พี่ชายของเธอสืบได้ความหรือยัง ครอบครัวของเหมียวฉีผิดปกติไหม”

มู่เถาเยา “ครอบครัวเหมียวกับเหมียวฉีมีพฤติกรรมที่ไม่ปกติ แต่กลับไม่มีหลักฐาน อากับพี่ชายของหนูเลยจะเริ่มสืบจากคนที่ทยอยออกไปตอนนั้น”

หลังจากเธอหายสาบสูญก็มีคนลาออกหรือถอนตัวไปหลายคน

เมื่อสิบแปดปีก่อนอินเทอร์เน็ตล้าหลัง การสืบอะไรจึงต้องใช้เวลา

ศิษย์พี่หญิงห้าขมวดคิ้ว “ตกลงเหมียวอวี้เป็นหรือตายกันแน่”

มู่เถาเยา “ฉันมาโผล่ที่ป่าเซียนโหยวของทางประเทศเหยียนหวงได้ เหมียวอวี้ก็น่าจะไม่อยู่ในอาณาเขตของเผ่าแล้ว เป็นหรือตายยังไม่รู้…”

หยุดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “เหมียวฉีดูเหมือนจะไม่มีแรงจูงใจ ต่อให้มีแรงจูงใจก็ไม่มีโอกาสเข้าไปในตำหนักพระจันทร์ เหมียวอวี้กับบ้านลุงใหญ่ก็ความสัมพันธ์ไม่ดี เป็นไปไม่ได้ที่จะฟังคำสั่งเหมียวฉีให้อุ้มฉันไป…อีกอย่าง มีปัญหาอะไรที่บอกคนตระกูลเย่ว์ไม่ได้ ตัวเองถึงต้องตัดสินใจอุ้มฉันหนีไป”

ศิษย์พี่หก “ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่หลังจากพวกเธอหายตัวไปไม่นานเหมียวฉีก็มาเรียนที่เหยียนหวง ไม่ได้กลับเผ่าเลยยี่สิบกว่าปี ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกว่ามันประหลาด”

ทุกคนต่างพยักหน้า

แม้เหลียงจีกับปาอินจะเป็นคนของเผ่า แต่เมื่อสิบแปดปีก่อนพวกเธอคนหนึ่งเพิ่งจะเจ็ดขวบ อีกคนเพิ่งเกิด ไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้ดี

ลู่จือฉิน “เสี่ยวเยาเยาเคยคิดไหมว่า เหมียวฉีรู้เรื่องยา อาจวางยาเหมียวอวี้เพื่อควบคุมเธอ…”

พวกเธอเป็นหมอ และก็เป็นคนโบราณ รู้ว่ายาพิษบางชนิดควบคุมประสาทคนได้

“เคยคิดค่ะ แต่เหมียวฉีพาพวกเราออกไปนอกอาณาเขตได้ยังไง”

เฉิงอันนั่ว “นั่งพาหนะทุกชนิดจะถูกตรวจสอบได้ง่าย ถ้าเรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน เหมียวอวี้ก็ไม่น่าจะพกพวกบัตรประจำตัวหรือเปล่าครับ”

ปาอิน “ดูเหมือนจะมีแค่การลักลอบแล้ว”

มู่เถาเยา “ลักลอบก็พอเป็นไปได้ แต่ไปโผล่ในป่าเซียนโหยวนี่ชวนให้คิดไม่ตก”

ทุกคนถกเถียงถึงความเป็นไปได้ แต่ก็ยังเคลือบแคลงใจ

“ไว้ฉันไปที่เผ่าจะตรวจสอบเส้นทางที่อาจลักลอบได้ ตอนนี้เลิกพูดเรื่องนี้ก่อน ความคิดของพวกเราไปวนเวียนอยู่ที่เหมียวฉีหมดแล้วนะคะ”

เพราะสงสัยในตัวเหมียวฉีก็เลยเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้

ในความเป็นจริงมีหลายคดีที่ผ่านไปหลายสิบปีแล้วกว่าจะเจอตัวคนร้าย

ดังนั้นการหายตัวของเธอจะเป็นปริศนาก็ไม่แปลก