ตอนที่ 251 ตงตูผลิตหมอ
ตอนเช้า มู่เถาเยากับพวกลู่จือฉินเก็บเสื้อผ้าเสร็จก็ขับรถไปบ้านตระกูลตี้
เฉิงอันนั่วถูกบอดี้การ์ดตระกูลตี้รับมาแล้ว
“อาจารย์อาเล็ก ทุกคนมีสัมภาระกันแค่นี้เหรอครับ”
มู่เถาเยามองสัมภาระของตัวเองแล้วมองของแต่ละคน ถามด้วยความแปลกใจ “แปลกตรงไหนเหรอ พวกนายก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
เฉิงอันนั่วมีกระเป๋าสะพายใบเดียว ไม่ถือว่าใหญ่มาก พ่อบ้านจงก็เหมือนกัน
เสื้อผ้าหน้าร้อนไม่หนา กินพื้นที่ไม่เยอะ สัมภาระของพวกเขาก็เลยดูมีน้อยมาก แค่มู่เถาเยากับลู่จือฉินมีกล่องยาใบน้อยของตัวเองเพิ่มเข้ามา
เฉิงอันนั่วถามด้วยความไม่เข้าใจ “แต่พวกผู้หญิงเวลาออกจากบ้านทีชอบพกกระเป๋าใบเล็กใบน้อยไม่ใช่เหรอครับ”
เดินทางไกลครั้งนี้ก็ไม่ได้กลับหมู่บ้านเถาหยวนที่มีครบทุกอย่างด้วย
ปาอินตอบเขาด้วยความภูมิใจ “พวกเราสวยมาแต่เกิด ไม่ต้องใช้อะไรมากมายมาทาหน้า”
ผิวพรรณของชาวหมาป่าพระจันทร์ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อให้เหลียงจีเคยเป็นทหารมาก่อน ผ่านการฝึกที่ต้องตากแดดตากลม ผิวของเธอก็ยังดีกว่าคนทั่วไปมาก
เฉิงอันนั่วมองหน้าขาวแก้มอมชมพูของปาอินแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในบรรดาคนที่เขาเคยเจอมา ไม่มีผิวของใครสู้ผิวของปาอินได้ยกเว้นอาจารย์อาเล็ก ผิวเหมือนเด็กทารก
มู่เถาเยายิ้มพูด “หลักๆ คือพวกเราไปป่า เอาแค่เสื้อผ้าที่เปลี่ยนง่ายไปก็พอแล้ว อย่างอื่นไม่ได้ใช้”
คนอื่นๆ ต่างพยักหน้า
กลางฤดูร้อนแบบนี้ ซักผ้าแห้งง่าย พกมากไปก็เป็นตัวถ่วง
ตี้อู๋เปียน “กินข้าวเช้ากันเถอะ”
ทุกคนเดินไปที่ห้องอาหาร
กินข้าวเสร็จตี้อู๋เปียนก็กลับเมืองหลวง
มู่เถาเยาและคนอื่นๆ หกคนไปหมู่บ้านตงจี๋
เครื่องบินลงจอดที่ลานจอดของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งในหมู่บ้านตงจี๋ เขตตงจี๋ เมืองตงตู
โรงแรมแห่งนี้เป็นของน้าเล็กอวิ๋น เรียกได้ว่าสร้างเอาไว้สำหรับขนถ่ายสมุนไพรโดยเฉพาะ
เขตตงจี๋เป็นเขตสำคัญที่ส่งออกสมุนไพร พ่อค้าสมุนไพรหรือโรงพยาบาลต่างสั่งซื้อของจากที่นี่
ส่วนหมู่บ้านตงจี๋ แทบทุกครัวเรือนเป็นชาวสวนสมุนไพร มีความรู้ด้านสมุนไพรอยู่ไม่มากก็น้อย
เมืองตงตูผลิตแพทย์ส่งออก พูดอย่างโอ้อวดหน่อยก็คือ แต่ละโรงพยาบาลทั้งประเทศล้วนมีแพทย์ที่มาจากเมืองตงตูหนึ่งคน
ดังนั้นถึงแม้ตงจี๋จะเป็นเขตชายขอบ แต่คุณภาพชีวิตของผู้คนกลับสูง
ทุกคนเพิ่งเข้าพักในโรงแรมของน้าเล็กอวิ๋น ลู่หันซูก็ให้ลุงเพื่อนบ้านช่วยขับรถมารับพวกเขา
“อาจารย์ลู่!”
ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าลู่จือฉินจะมาด้วย แต่ลู่หันซูก็ยังคงตื่นเต้นมากเมื่อเจอเธอ
ลู่จือฉินยิ้มพูด “หันซู ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ลู่หันซูพยักหน้า ดวงตามีน้ำตาคลอ
ถึงแม้จะเคยคลุกคลีอยู่ด้วยกันเป็นเวลาไม่มากไม่น้อย แต่เธอก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย เรียกได้ว่าพัฒนาแบบก้าวกระโดด
มู่เถาเยาแนะนำลู่หันซูให้ทุกคนรู้จัก
แม้ลู่หันซูจะเคยไปมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู แต่ไม่ได้หมกมุ่นความคิดกับเรื่องอื่น จึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับเฉิงอันนั่วและปาอิน
“ลู่หันซู ฉันฝากตัวเป็นลูกศิษย์หมอลู่อย่างเป็นทางการแล้วนะ”
“จริงเหรอ ยินดีด้วยนะเสี่ยวมู่”
ลู่หันซูดีใจกับมู่เถาเยาจากใจจริง ถ้าเป็นไปได้ อันที่จริงเธอเองก็อยากฝากตัวเป็นศิษย์ด้วย…
มู่เถาเยายิ้มดวงตาโค้งมนพูดขอบคุณ “ขอบใจจ้ะ พวกเรากินข้าวกลางวันที่นี่แล้วค่อยไปหรือยังไงเหรอ”
“ถ้ายังไม่ได้หิวมากไปกินที่บ้านฉันดีกว่า ฉันกับย่าเตรียมวัตถุดิบไว้แล้ว พวกเราทำอาหารเร็วมาก”
ลุงเพื่อนบ้านก็ยิ้มพูด “ใช่ครับ อาหารพื้นบ้านของพวกเราอาจไม่ได้หน้าตาดี แต่รสชาติสู้ได้นะครับ คนในพื้นที่ปลูกผักกันเอง เป็ดไก่ก็เลี้ยงแบบปล่อยอยู่ในป่า ทุกคนไปลองชิมกันได้ครับ”
ลู่จือฉินยิ้มพลางพยักหน้า “งั้นพวกเราไปกินที่บ้านหันซูแล้วกัน”
ทุกคนไม่แย้งอะไร
กลุ่มคนพากันขึ้นรถ ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ไปถึงบ้านครอบครัวลู่ที่หมู่บ้านตงจี๋
แม้ที่นี่ก็เป็นหมู่บ้านกลางหุบเขา แต่ไม่ได้ไกลมากเท่าหมู่บ้านเถาหยวน
และก็เพราะต้องขนส่งสมุนไพร สภาพถนนจึงทำไว้ดีมานานแล้ว
หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ได้ร่ำรวยเท่าหมู่บ้านเถาหยวน แต่เมื่อเทียบกับหมู่บ้านกลางหุบเขาหรือหมู่บ้านชนบทที่อื่นก็ถือว่าดีกว่ามาก
บ้านของลู่หันซูอยู่ในหมู่บ้านไม่ถือว่าดีมาก หลังเล็กมีสองชั้น ค่อนข้างเก่า แต่สะอาดสะอ้าน
ย่าลู่ดูอายุหกสิบกว่า ไม่สูงไม่เตี้ย ผิวค่อนข้างคล้ำ
อาจเพราะทำงานตลอด ก็เลยดูคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง
หลังจากย่าลู่ทักทายแขกเสร็จก็ไปทำอาหาร ลู่หันซูไปช่วย
เฉิงอันนั่ว ปาอิน เหลียงจี พ่อบ้านจง ตามไปอยู่ข้างหลัง
ย่าลู่รีบห้ามพวกเขา “พวกเธอไปดื่มน้ำชาในห้องรับแขกเถอะ ย่ากับเสี่ยวซูทำกันเองได้”
“ย่าลู่คะ พวกเรามารบกวนกันตั้งหลายคน เกรงใจมากจริงๆ ค่ะ” ปาอินยิ้มหวาน
“ที่ไหนกัน เห็นๆ อยู่ว่าเสี่ยวซูเชิญทุกคนมา”
พวกเธอสองคนย่าหลานคิดหาวิธีสารพัดเพื่อรักษาลูกสะใภ้ แต่ก็รักษาไม่หายมาตลอด
เมืองตงตูขึ้นชื่อเรื่องผลิตหมอ แต่กลับไม่มีสักคนที่วินิจฉัยได้ว่าลูกสะใภ้ของเธอเป็นโรคอะไรกันแน่
เธอเลยจำต้องยอมรับคำพูดของหลานสาวว่า ‘ถูกพิษ’
ไม่ชอบลูกสะใภ้เป็นเรื่องจริง แต่คนในครอบครัวลดน้อยลงเรื่อยๆ เธอเองก็ไม่อยากให้ลดลงไปอีก
เหลียงจียิ้ม “ย่าลู่คะ ให้หันซูไปพาแม่ออกมาให้เสี่ยวเยาเยากับอาจารย์ลู่ตรวจก่อนดีกว่าค่ะ พวกเราช่วยย่าลู่ทำกับข้าวได้”
ย่าลู่ส่ายมือ “มีอย่างที่ไหนกันให้แขกช่วยงาน”
ปาอิน “ย่าลู่คะ พวกเราเป็นนักศึกษากันทั้งนั้น ไม่เป็นไรค่ะ พูดอย่างไม่อายเลยนะคะ หนูทำอาหารเก่งมาก หันซู เธอไปเถอะ”
ลู่หันซูก็อยากให้มู่เถาเยากับอาจารย์ลู่ช่วยตรวจดูแม่โดยเร็วที่สุด แต่เธอเป็นเจ้าของบ้าน ไม่อยากให้แขกต้องช่วยทำอาหารเลยจริงๆ
เหลียงจีเห็นเธอลำบากใจจึงพูด “ไม่งั้นเอาแบบนี้ เสี่ยวอินกับเสี่ยวเฉิงก็ไปช่วยตรวจดูด้วย พวกเธอเรียนหมอทั้งคู่ พี่กับพ่อบ้านจงช่วยย่าลู่ทำอาหารก็พอแล้ว”
ปาอินไปคล้องแขนลู่หันซู ยิ้มพลางพูดกับเหลียงจีและย่าลู่ “งั้นก็รบกวนพี่เหลียงจี ย่าลู่ แล้วก็ลุงจงด้วยนะคะ”
เหลียงจี “ไปเถอะๆ”
ย่าลู่ก็ไม่อยากอะไรมากกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ จึงพยักหน้าให้หลานสาว
ลู่หันซูถึงได้ไปห้องรับแขกพร้อมปาอินกับเฉิงอันนั่ว
“ทุกคนรอก่อนนะคะ ฉันจะไปพาแม่ลงมา แม่อยู่ตรงระเบียงชั้นบน”
ทุกคนพยักหน้า
ลู่หันซูขึ้นไปชั้นบน ผ่านไปประมาณสิบนาทีถึงประคองแม่ลงมา
“แม่คะ หนูเชิญอาจารย์กับเพื่อนนักศึกษามาช่วยตรวจแม่ค่ะ ไม่ต้องกลัวนะคะ…”
ลู่หันซูยังไม่ทันพูดจบ แม่ของเธอก็ผลักลูกสาวออกแล้วโผไปหามู่เถาเยา ปากยังพึมพำ “เจ้าหญิงน้อย เจ้าหญิงน้อย…”
ถ้าไม่ใช่เพราะมู่เถาเยานั่งมั่นคงดีแล้ว เธอคงถูกแรงของแม่ลู่ดันล้มลงพื้น
แรงเยอะไม่เบาเลยนะ!
ลู่หันซูวิ่งเข้ามาปลอบแม่ “แม่คะ นี่มู่เถาเยาเพื่อนนักศึกษาหนูค่ะ ไม่ใช่เจ้าหญิงน้อย…”
“เจ้าหญิงน้อย เจ้าหญิงน้อย เจ้าหญิงน้อยของฉัน…”
แม่ลู่กอดมู่เถาเยาพลางตะโกนไม่หยุด
มู่เถาเยาไม่ได้ดันเธอออก สายตากลับหยุดที่แขนอีกข้างของเธอ
แขนข้างนี้ด้วนตั้งแต่ข้อศอก ไม่เหลือทั้งมือและปลายแขน เหลือเพียงต้นแขน
“เจ้าหญิงน้อย…”