บทที่ 232 การผูกมิตร
บทที่ 232 การผูกมิตร
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของสามี จางซิ่วจือก็ถึงกับประหลาดใจ
เธอรู้จักเจิ้งเทียนเหอ และรู้จักหยางเทียนเจิ้นด้วย
ทั้งสองคนเป็นบุคคลสำคัญในโลกธุรกิจ ธุรกิจของพวกเขามีมูลค่าอย่างน้อยหลายพันล้านหยวน
นอกจากนี้ เธอยังรู้ว่าทั้งสองตระกูลนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลฮวงฟู่
การเสียชีวิตของพวกเขาล้วนเกิดจาก โจวอี้?
“ผมรู้ว่าคุณต้องการถามว่าโจวอี้เป็นคนทำรึเปล่า” หยางเซี่ยวหางเคาะโต๊ะและพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูบิดเบี้ยว “อันที่จริงผมเองก็ไม่รู้ว่าโจวอี้เป็นคนลงมือเองไหม แต่ผมรู้อย่างหนึ่ง สำนักโอสถสามารถฆ่าล้างตระกูลฮวงฟู่ได้อย่างง่ายดาย และถ้าสำนักโอสถต้องการที่จะฆ่าเจิ้งเทียนเหอและหยางเทียนเจิ้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการเหยียบมด”
“สำนักโอสถแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเหรอ?” จางซิ่วจือถามอย่างตกตะลึง
“ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งอย่างเดียว! ในโลกของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมด มีกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่าสำนักโอสถไม่น้อยกว่าห้าแห่ง แต่ไม่มีใครกล้าล่วงเกินสำนักโอสถ คุณรู้ไหมว่าทำไม?”
“ทำไม?”
“เพราะผู้ฝึกยุทธ์มากมายไม่ว่าจะเป็นคนจากกองกำลังเล็กที่สุดหรือใหญ่ที่สุดเป็นหนี้บุญคุณสำนักโอสถ สำนักโอสถไม่ได้เป็นเพียงสำนักที่ปรุงยาขาย แต่นักปรุงยาทุกคนคือแพทย์แผนจีนที่เก่งกาจมาก ๆ พวกเขาได้ช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วนจากรุ่นสู่รุ่น”
“อืม แพทย์ทั้งหลายต่างก็มีผู้คนเคารพมากมาย” จางซิ่วจือพยักหน้า
“เพราะอย่างนั้น! ถ้ามีกองกำลังไหนกล้าที่จะเป็นศัตรูกับสำนักโอสถ ขอแค่เพียงคนในสำนักโอสถเอ่ยขอมาสักคำ กองกำลังนั้นจะถูกผู้ฝึกยุทธ์จากทั่วทุกทิศบดขยี้จนไม่เหลือซาก!” หยางเซี่ยวหางพูดด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว
ตอนนี้จางซิ่วจือเข้าใจแล้ว
โจวอี้ซึ่งเป็นศิษย์ของสำนักโอสถมีสถานะที่สำคัญมากจริง ๆ
“ไม่แปลกใจที่คุณอยากให้เขามาบ้าน” จางซิ่วจือยิ้ม
“ถ้าเขาต้องการที่ดินตรงตีนเขาลูกนั้น ผมจะให้เขา”
“ฟรี?”
“ไม่ฟรี แต่ให้ในราคาต่ำกว่าเดิม” หยางเซี่ยวหางยิ้มแปลก ๆ ออกมา
“ฉันไม่เข้าใจรอยยิ้มของคุณเลย”
“ถูกแล้วที่คุณไม่เข้าใจ ฮ่า ๆ” หยางเซี่ยวหางยืนขึ้นและบอกให้คนรับใช้เอาอาหารบนโต๊ะออกไปให้หมด จากนั้นจึงสั่งให้เตรียมโต๊ะใหม่
สองทุ่ม
โจวอี้นั่งแท็กซี่มาถึงคฤหาสน์ตระกูลหยาง
จางซิ่วจือและชายวัยกลางคนที่มีท่าทีผิดปกติกำลังยืนอยู่นอกประตูคฤหาสน์ เฝ้ารอการมาถึงของเขาอย่างจริงจัง
“โจวอี้ ยินดีต้อนรับสู่บ้านของเรา” จางซิ่วจือต้อนรับอย่างอบอุ่น
“สวัสดีครับพี่สะใภ้” โจวอี้ทักทายด้วยรอยยิ้ม
“มาเลย เดี๋ยวฉันจะแนะนำให้รู้จัก นี่คือสามีของฉัน หยางเซี่ยวหาง”
“พี่หยาง ในฐานะที่เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก นี่คือของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแสดงความเคารพ” โจวอี้ยื่นกระเป๋าเดินทางสีดำใบเล็กให้อีกฝ่าย
“ยินดีต้อนรับน้องโจว” หยางเซี่ยวหางรับกระเป๋ามาและมองโจวอี้อย่างชื่นชม “นายดูมีสง่าราศีจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ถังหว่านเลือกนาย”
“พี่หยางชมผมเกินไปแล้ว…”
หลังจากทักทายกัน โจวอี้ก็ได้รับเชิญอย่างอบอุ่นและเข้าไปในคฤหาสน์
โจวอี้ได้เห็นบ้านหรูมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ช็องเซลิเซ่ ลานติง วิลล่า หรือวิลล่าเดี่ยวสุดหรูของเฉิงฮ่าว
ทว่าแม้วิลล่าเดี่ยวที่หรูหราของเฉิงฮ่าวก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับคฤหาสน์ตระกูลหยางหลังนี้
มันใหญ่มาก!
ด้วยลักษณะสไตล์ยุโรป และการตกแต่งภายในที่ประณีต พื้นที่รับรองแขกมีเสาสไตล์โรมันตั้งตระหง่านอยู่หลายต้น พื้นที่ห้องโถงมีขนาดราว ๆ สามร้อยตารางเมตรเลยทีเดียว
“พี่หยาง บ้านพี่ใหญ่แค่ไหนกันแน่?” โจวอี้ถาม
“ประมาณสี่หรือห้าพันตารางเมตรนี่แหละ! มีหกชั้น!” หยางเซี่ยวหางยิ้ม
เขาคิดว่ามันน่าสนใจ แม้โจวอี้เป็นศิษย์ของสำนักโอสถ และสำนักโอสถไม่มีทางขาดแคลนเงิน แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับดูอยากรู้อยากเห็นราวกับคนที่เพิ่งเคยเข้าเมือง
“หกชั้น? ทำไมผมเห็นจากด้านนอกมีแค่สี่ชั้น?”
“มีสองชั้นใต้ดิน ให้ฉันพานายไปดูไหมล่ะ” หยางเซี่ยวหางถามด้วยรอยยิ้ม
“อย่าเลย ๆ ผมเกรงว่าถ้าผมเห็นมันเยอะ ๆ ผมคงอยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไป” โจวอี้โบกมือ “ผมเคยเห็นปราสาทขนาดใหญ่แบบนี้ในทีวีมาก่อน แต่ผมไม่คิดเลยว่าพี่หยางกับพี่สะใภ้จะอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่เหมือนในทีวีแบบนี้ วันนี้นับว่าเป็นวันที่ผมได้เปิดหูเปิดตาเลย”
หยางเซี่ยวหางถึงกับหัวเราะ และแม้แต่จางซิ่วจือก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
หยางเซี่ยวหางไม่ได้คิดดูถูกโจวอี้ แถมยังชอบสไตล์ที่ถ่อมตัวของโจวอี้มาก
“จริงสิ ฉันได้ยินมาว่าไห่เทากำลังขายยาที่ชื่อยาต้มอี้เฉิน นายเป็นคนต้มหรือเปล่า”
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ผมขาดเงิน ผมก็เลยร่วมมือกับเหล่าหวง” โจวอี้หัวเราะ
“ฉันได้ยินเกี่ยวกับสรรพคุณของยาต้มอี้เฉิน เอาไว้เดี๋ยวฉันจะซื้อมาลอง” หยางเซี่ยวหางยิ้ม
“พี่หยางไม่ต้องซื้อเลย วันนี้ผมเอามาสิบขวด และถ้าพี่หยางคิดว่ามันไม่เลวก็บอกผมได้ ถ้าพี่ต้องการมันอีก ผมจะส่งมาให้เพิ่ม”
“ขอบคุณมาก” หยางเซี่ยวหางเพิ่งตระหนักได้ว่ากระเป๋าสีดำที่โจวอี้นำมาให้คือยาต้มอี้เฉิน
เขาได้ยินเรื่องราคาของยาต้มอี้เฉินมาแล้ว ดูเหมือนว่ายาต้มอี้เฉินหนึ่งขวดมีราคาอยู่ที่สี่แสนหยวน
ราคาสูงมาก!
นอกจากนี้ หวงไห่เทาขายยาต้มอี้เฉินเพียงหนึ่งหมื่นขวดเท่านั้น และถ้าขายหมดก็จะเท่ากับทำรายได้ไปสี่พันล้านหยวน
หยางเซี่ยวหางและภรรยาพาโจวอี้ไปที่ห้องอาหาร ซึ่งบัดนี้พร้อมสรรพไปด้วยไวน์ชั้นดีและอาหารชั้นเลิศ หยางเซี่ยวหางเปิดไวน์ด้วยตัวเองและรินใส่แก้วของโจวอี้
“น้องโจว แม้ว่าเราจะพบกันเป็นครั้งแรก แต่ฉันรู้จักชื่อเสียงของนายเป็นอย่างดี ในอนาคตครอบครัวของเราสองคนจะต้องใกล้ชิดกันมากขึ้นแน่นอน” หยางเซี่ยวหางยกแก้วขึ้นพลางยิ้ม
“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง! ผมเองก็เคยได้ยินชื่อของพี่หยางมานานแล้ว วันนี้ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้พบกับพี่หยาง ผมขอดื่มคารวะให้พี่ก่อนก็แล้วกันครับ!”
จางซิ่วจือมองดูพวกเขา เธอยิ้มออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ
เธอไม่เพียงรู้จักโจวอี้เท่านั้น แต่ยังมีความสัมพันธ์แบบที่ร่วมมือทางธุรกิจกันอีกด้วย ตราบใดที่เธอและสามีคงความสัมพันธ์ที่ดีกับโจวอี้เอาไว้ พวกเขาจะกลายเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง
หลังจากกินและดื่มไปสามรอบ หยางเซี่ยวหางจึงเปลี่ยนหัวข้อไปที่จุดประสงค์ของโจวอี้
“น้องโจว นายต้องการที่ดินตรงตีนเขาหลี่ซานนั่นใช่ไหม?”
“ถูกต้อง ผมขอซื้อได้ไหม?”
“ที่ดินผืนนั้นมีขนาดสี่ร้อยไร่ ฉันถามได้ไหมว่าซื้อไปแล้วจะเอาไปทำอะไร? นายต้องการเข้าสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เหรอ?”
“ผมต้องการสร้างโรงเรียน”
“สร้างโรงเรียน?” หยางเซี่ยวหางตกตะลึง
“ใช่แล้ว! สร้างโรงเรียนสำหรับเด็กเร่ร่อนไร้บ้าน จัดหาที่อยู่อาศัยให้พวกเขามีที่เรียน เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นหลักแหล่งในที่แย่ ๆ อีกต่อไป”
“นายหมายถึง…การรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม?”
“ถูกต้อง! มันคือการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม” โจวอี้พยักหน้า
จากนั้นเขาก็หยิบบุหรี่ออกมาและส่งให้หยางเซี่ยวหาง แล้วกล่าวต่อไปว่า “อันที่จริง มันอาจจะดูคล้ายสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามากกว่า แต่ที่ผมอยากให้เป็นโรงเรียนก็เพื่อที่จะได้ดูแลเด็ก ๆ ได้ในทุกด้าน ให้วิชาความรู้กับพวกเขา เพื่อให้เติบโตไปใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ”
“นี่เป็นการกระทำที่ดี ควรค่าแก่การเคารพจริง ๆ” หยางเซี่ยวหางกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“โจวอี้ ทำไมนายถึงมีความคิดแบบนี้ นายรู้ไหมว่าถ้าเป็นไปตามที่นายพูด ยิ่งรับเลี้ยงเด็กเร่ร่อนมากเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายด้านทุนจะยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนายจะทำกำไรจากมันได้จากที่ไหน การทำแบบนี้จะเอากำไรมาจากที่ไหน?” จางซิ่วจือถาม
“ไม่มีกำไร มีแต่ได้ประโยชน์” โจวอี้กล่าว
จางซิ่วจือขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ เธอคิดว่าสิ่งที่โจวอี้พูดนั้นฟังดูค่อนข้างขัดแย้ง
และแม้แต่หยางเซี่ยวหางก็ยังงุนงงเช่นกัน