บทที่ 212 เกือบถูกเผย

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

“เจ้าแพ้แล้ว!” ฉู่ชูเหยียนมองอู๋ตี้ด้วยดวงตาที่สงบนิ่งพร้อมกับพูดอย่างไร้อารมณ์

อู๋ตี้รู้สึกประหลาดใจ เมื่อครู่เขาเสียสมาธิไปแค่พริบตาเดียวเท่านั้น มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ฉู่ชูเหยียนจะเจาะทะลุพลังดาบและเกราะพลังธาตุของเขาได้ในเวลาอันสั้นขนาดนั้นนี่นา?

เกิดอะไรขึ้น ? หรือว่าระดับการบ่มเพาะของนางไม่ได้อยู่ระดับ 5? แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!

ในขณะนี้สีหน้าของฉู่ชูเหยียนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างผิดปกติ เพื่อที่จะระเบิดความแข็งแกร่งอย่างฉับพลันเมื่อครู่เพื่อเจาะทะลุการป้องกันของอู๋ตี้ นางต้องใช้ทักษะต้องห้ามที่ส่งผลให้นางได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง

นางเหลือบมองลงไปยังด้านล่างเวที ซึ่งนางก็ได้เห็นว่าขณะนี้ซูอันกำลังยิ้มให้นางอยู่เช่นกัน และถ้าไม่ใช่เพราะเขาตะโกนกวนใจตี้อู๋เมื่อครู่นี้ ข้าอาจจะแพ้ไปแล้ว… นี่เขาคำนวณทุกอย่างเอาไว้ในหัวก่อนหน้านี้หมดแล้วหรือมันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญกันนะ?

ถัดมากรรมการบนเวทีประกาศเสียงดังก้องว่า “ผู้ชนะคู่ที่เจ็ดคือ ฉู่ชูเหยียน!”

“คัดค้าน!” หลังจากแอบขอความคิดเห็นที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้จากอู๋เว่ยและพ่อของตัวเองเรียบร้อยแล้ว หยวนเหวินตงก็รีบกระโดดขึ้นไปบนลานประลองและชี้ไปที่ซูอันพร้อมกล่าวว่า “ตระกูลฉู่โกงในการต่อสู้ เสียงตะโกนอย่างกะทันหันของซูอันส่งผลให้นักสู้ของเราเสียสมาธิ!”

ตระกูลอู๋และตระกูลหยวนจะไม่โกรธได้อย่างไร ? ต้องรู้ว่าอู๋ตี้เป็นไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาในงานประลองระหว่างตระกูลนี้ พวกเขาอตุส่าห์ยอมเสี่ยงอย่างมากเพื่อที่จะปลอมตัวอู๋ตี้ให้เอาชนะความภาคภูมิใจของตระกูลฉู่ ทำลายขวัญกำลังใจและชื่อเสียงของตระกูลฉู่ให้ย่อยยับ แต่ทว่าทุกอย่างกลับพังทลายเพราะการแทรกแซงของไอ้เด็กเหลือขอ

เจ้าเมืองเซี่ยอี้และอาจารย์ใหญ่เจียงต่างขมวดคิ้ว พวกเขาไตร่ตรองกันอย่างหนักว่าควรจะตัดสินยังไงดี

อย่างไรก็ตาม ซูอันฉวยพูดขึ้นก่อน “เอ๋ ? เจ้ากล่าวหาข้าแบบนี้หัวสมองของเจ้าเป็นอะไรมากรึเปล่า ? ข้าเพียงแค่อุทานออกมาดัง ๆ เพราะข้าหิว แต่มันกลับส่งผลต่อสมาธิของนักสู้ของเจ้าได้ยังไง ? ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้บ่มเพาะระดับ 6 ไม่ใช่เหรอ ? แล้วไหงผู้บ่มเพาะระดับ 6 กลับเสียสมาธิกับคำอุทานว่าหิวของข้าได้ง่าย ๆ แบบนี้?”

หลังจากซูอันพูดจบ ฝูงชนตะโกนดังลั่นสนับสนุนคำพูดของเขา เห็นได้ชัดว่าฝูงชนส่วนใหญ่พร้อมใจที่จะสนับสนุนฉู่ชูเหยียนผู้งดงามมากกว่าหยวนเหวินตง และอีกอย่างพวกเขารู้สึกว่าเหตุผลที่ตระกูลหยวนยกขึ้นมานั้นมันไร้สาระมากเกินไป

การโต้เถียงของซูอันทำให้หยวนเหวินตงกระวนกระวายใจ ดังนั้นเขาเลยโต้เถียงอย่างโกรธจัดกลับมาในทันทีว่า “เจ้าไม่ได้อุทานอย่างไม่ตั้งใจสักหน่อย เจ้าตะโกนเรียกชื่ออู๋ตี้อย่างชัดเจน…”

ขณะที่คำพูดเหล่านั้นไหลออกจากปากของเขา หัวใจของหยวนเหวินตงเต้นผิดจังหวะทันที เขารู้ว่าเขาทำพลาด!

ซูอันไม่ลังเลเลยที่จะใช้ประโยชน์จากความผิดพลาดของ หยวนเหวินตง “ใช่ ข้าค่อนข้างแน่ใจว่าข้าตะโกนว่า ‘อู๋ตี้ แม่ของเจ้ากำลังเรียกเจ้ากลับไปกินข้าวเย็น’ ไม่ใช่ ‘ตี้อู๋’ ดังนั้นข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงตอบสนองต่อคำพูดของข้าด้วย เอ…หรือนี่มันหมายถึงว่าจริง ๆ แล้วชื่อที่แท้จริงของเขาไม่ใช่ ‘ตี้อู๋’ แต่เป็น ‘อู๋ตี้’?”

“ไร้สาระ!” หยวนเหวินตงที่กระสับกระส่ายคำรามเสียงดังเพื่อโต้แย้งซูอัน

รู้ได้ยังไงว่าตัวตนที่แท้จริงของ ‘ตี้อู๋’ คือ ‘อู๋ตี้’ ? นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย!

ท่านยั่วยุ หยวนเหวินตง สำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +868!

ตี้อู๋? อู๋ตี้?

ฉู่จงเทียนพึมพำคำเหล่านั้นอย่างเงียบ ๆ และจากนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ “ข้าได้ยินมาว่ามีสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลอู๋ ชื่อ อู๋ตี้ เขาเป็นผู้บ่มเพาะระดับ 6 แถมเคล็ดวิชาที่เขาฝึกฝนก็เป็นธาตุไฟด้วย”

ฉู่ชูเหยียนที่กำลังยืนอยู่บนลานประลองไม่ไกลกับอู๋ตี้สัมผัสได้ทันทีว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล นางเอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็วที่ใบหน้าของอู๋ตี้ พร้อมที่จะดึงหน้ากากที่เขาสวมอยู่ แต่ในวินาทีนั้นเอง อู๋เว่ยก็พลันพุ่งตัวลงมาที่ลานประลอง ทำให้ทางด้านของฉู่ชูเหยียนถูกคลื่นพลังอันแข็งแกร่งกระแทกกระเด็นถอยกลับ

โชคดีที่ฉู่จงเทียนปรากฏตัวขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน เขาสลายคลื่นพลังของอู๋เว่ยพร้อมกับแลกฝ่ามือกัน 1 รอบ

บรึม!!

พลังอันรุนแรงทำลายล้างบริเวณโดยรอบ และส่งผลให้ฝูงชนต่างล้มลงไปกับพื้นจากคลื่นการปะทะพร้อมกับมีฝุ่นผงกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ

เมื่อฝุ่นสงบลง ทุกคนก็ได้เห็นภาพของลานประลองที่ในขณะนี้มีรอยแตกร้าวอยู่ทั่วราวกับว่ามันสามารถพังทลายได้ทุกเมื่อ

ซูอันตื่นตระหนกเมื่อเห็นสิ่งนี้ ว่ากันว่าผู้บ่มเพาะระดับ 8 สามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานธรรมชาติของโลกได้ นี่คือความแข็งแกร่งของพวกเขางั้นเหรอ?

ก่อนหน้านี้เขายังคิดภูมิใจอยู่เลยว่าความแข็งแกร่งของตัวเองตอนนี้มันเปรียบได้กับซุปเปอร์แมนตัวน้อย แต่ตอนนี้เมื่อเห็นพลังทำลายล้างของผู้บ่มเพาะระดับ 8 เขาก็รู้สึกว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงเลย

“พี่เขยตัวเหม็น ! ท่านเอาเปรียบข้าอีกแล้ว !” ฉู่ฮวนเจาผลักชายที่ยืนขวางหน้านางในระยะประชิดให้ออกห่างไปก่อนที่จะจ้องมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง

ซูอันหันกลับมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ที่ข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าเพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ ข้าไม่ได้คิดจะเอาเปรียบเจ้าสักหน่อย!”

ฉู่ฮวนเจาพ่นลมหายใจอย่างรุนแรง “ฮึ่ม ! ข้าเป็นผู้บ่มเพาะระดับ 3 เชียวนะ ! ร่างกายของข้าแข็งแกร่งกว่าท่านเป็นสิบ ๆ เท่าที่เป็นคนธรรมดา เรื่องนี้ท่านน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าท่านจงใจเอาเปรียบข้า ข้ารู้นะ!”

ซูอันหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน เขาประเมินระดับภัยคุกคามคลื่นกระแทกเมื่อครู่ผิดไปหน่อย และเมื่อบวกกับความคิดที่ว่าฉู่ฮวนเจาอ่อนแอกว่าเขามาก ดังนั้นเขาจึงพยายามปกป้องนางด้วยร่างกายของเขาเอง อย่างไรก็ตาม มันคงจะยากสำหรับเขาที่จะอธิบายเรื่องนี้กับนางในตอนนี้

ใบหน้าของฉู่ฮวนเจาแดงขึ้นในขณะที่นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “เอาล่ะ ข้ารู้ว่าที่ท่านทำลงไปเมื่อครู่มันเพื่อปกป้องข้า แต่ว่าท่านไม่ควรทำแบบนี้อีกในอนาคต ข้าต่างหากที่ควรปกป้องท่าน!”

เมื่อเห็นว่าฉู่ฮวนเจาไม่โกรธอีกต่อไป ซูอันก็หัวเราะออกมาและพูดว่า “การถูกปกป้องเป็นสิ่งที่ข้าชอบมากที่สุด ! เอ๊ะ ? มีฝุ่นติดบนหน้าอกของเจ้าเต็มไปหมดเลย มา ๆ ให้ข้าเช็ดให้ก่อนสักหน่อยจะดีกว่า”

“ไปให้พ้น !” ฉู่ฮวนเจาตวาดกลับอย่างดุเดือด

ในขณะเดียวกัน บนลานประลอง ฉู่จงเทียนจ้องไปที่อู๋เว่ยด้วยสายตาดุดันพร้อมกับตั้งคำถามว่า “อู๋เว่ย นี่เจ้าหมายความว่ายังไง?”

“ในเมื่อผู้ชนะได้รับการตัดสินแล้ว จะต่อความยาวสาวความยืดกันอีกทำไม ?” อู๋เว่ยยืนปกป้องอู๋ตี้ไว้ข้างหลังในขณะที่เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าสงบ ไอ้โง่หยวนเหวินตงนั่นมันไร้สมองสิ้นดี ! มันเกือบจะเปิดเผยตัวตนของอู๋ตี้ออกไปแล้ว!

ซ่างหงกระโดดลงมาที่ลานประลองเช่นกันและพูดจาประนีประนอมให้กับทั้งสองฝ่าย “ข้าเห็นด้วย เนื่องจากผู้ชนะได้รับการตัดสินแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่จะสร้างความบาดหมางกันต่อที่นี่ พวกท่านอย่าลืมว่าสิ่งนี้มันจะสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับทางราชสำนัก ภาพของอ๋องสองคนทะเลาะวิวาทกันในที่สาธารณะไม่เป็นผลดีต่อทางราชสำนักเลยแม้แต่น้อย”

สีหน้าของฉู่จงเทียนมืดหม่นลง เขาสามารถบอกได้ว่าซ่างหงกำลังปกป้องตระกูลอู๋อย่างออกหน้า

ตอนนั้นเองที่เจ้าเมืองเซี่ยอี้ทำการแทรกแซงเช่นกัน “หยวนเจิ้งฉู่ เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ในนัดนี้หรือไม่?”

หยวนเจิ้งฉู่รู้ดีว่าการโต้เถียงเรื่องชัยชนะของการประลองคู่นี้มีแต่ผลเสีย ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ใช่ เรายอมรับความพ่ายแพ้ในนัดนี้”

แม้ว่าพวกเขาจะตามหลัง 3 ต่อ 4 ก็ตาม แต่อีกสองคู่ที่เหลือเขามั่นใจมากว่าคนของตนจะชนะแน่นอน ดังนั้นไม่จำเป็นที่พวกเขาจะโวยวายเกี่ยวกับผลการประลองของคู่ฉู่ชูเหยียนต่อไป เพราะนั่นอาจส่งผลให้แผนทั้งหมดพังทลาย

เซี่ยอี้ยิ้มและพยักหน้าก่อนที่จะพูดว่า “ดี ถ้างั้นอาจารย์ใหญ่เจียง ท่านคิดว่าเราควรจะเริ่มการประลองคู่ต่อไปกันเลยไหม?”

ในฐานะที่เขาเป็นคนของฝ่ายราชันฉี เขาจึงมีความสุขมากที่เห็นราชสำนักพยายามกำราบตระกูลฉู่ มันจะเป็นเรื่องที่เยี่ยมที่สุดถ้าตระกูลฉู่ถูกต้อนจนมุมและถูกทิ้งให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตัดสินใจมาเข้าร่วมฝ่ายเดียวกับเขา

หึ ! เจ้าพยายามไม่เข้าฝ่ายใดจนถึงตอนท้ายแล้วเจ้าก็ค่อยเข้าร่วมกับผู้ที่ชนะในตอบจบอย่างง่ายดายงั้นเหรอ ? มันจะไปมีเรื่องที่สะดวกสบายแบบนั้นได้อย่างไร?