เจียงลั่วฝูลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าไม่มีข้อคัดค้านอะไร”
ด้วยไหวพริบของนาง นางสามารถเห็นแผนของตระกูลอู๋และตระกูลหยวนได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม สถาบันจันทร์กระจ่างไม่เคยเข้าไปพัวพันกับการวิวาททางการเมือง และยิ่งไปกว่านั้น สถาบันจันทร์กระจ่างถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนักอีกต่างหาก ดังนั้นมันจึงไม่สมเหตุสมผลเลยหากนางจะต่อต้านซ่างหงในที่สาธารณะ
เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงลั่วฝู อู๋เว่ยพลันยิ้มและพูดขึ้นว่า “ฉู่จงเทียน เจ้าจะตั้งคำถามกับคำตัดสินของผู้ตัดสินทั้งสามคนของเรารึเปล่า?”
ฉู่จงเทียนไม่อยากจะปล่อยเรื่องนี้ไปสักนิด แต่เขาก็รู้สึกหมดหนทางเช่นกัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้มันราวกับว่าทุกคนกำลังรุมเขาอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มสงสัยว่าเขาตัดสินใจผิดพลาดหรือไม่ที่ตัดสินใจให้ตระกูลฉู่ไม่เจ้าร่วมกับฝ่ายใดเลย อย่างไรก็ตาม ตระกูลฉู่อยู่รอดมาหลายชั่วอายุคนโดยการรักษาจุดยืนที่เป็นกลาง ด้วยความคิดนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะกัดฟันและอดทน
“ก็ได้ เริ่มคู่ต่อไปได้เลย!”
การสูญเสียตลาดอาวุธเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับตระกูลฉู่ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาคอขาดบาดตายที่จะทำให้อิทธิพลของพวกเขาถดถอยลง การค้าเกลือต่างหากที่เป็นธุรกิจหลักของตระกูลฉู่!
“ท่านพ่อ อย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไป ไม่แน่ว่าฮวนเจาอาจไม่แพ้อย่างที่เราคิด นางอาจจะเสมอกับคู่ต่อสู้ของนางก็ได้ เรายังมีโอกาส”
ฉู่ชูเหยียนบังคับตัวเองให้รักษาความสงบของตัวเองเอาไว้ แม้ในตอนนี้นางจะรู้สึกว่ามีเลือดไหลย้อนพุ่งขึ้นมาถึงคอแล้ว นางก็เลือกที่จะหายใจเข้าลึก ๆ และปลอบพ่อของนาง
ปัจจุบันตระกูลฉู่นำอยู่ 4 ต่อ 3 กรณีที่ดีที่สุดคือให้ฉู่ฮวนเจา ชนะการประลอง แต่ถึงแม้นางจะสู้จนเสมอ ตระกูลฉู่ก็ยังมีโอกาสสูงที่จะชนะในปีนี้ เพราะถ้าท้ายที่สุดหากผลออกมาเป็น 4 ต่อ 4 ทั้งสองตระกูลก็จะต้องคัดเลือกรุ่นเยาว์ของตระกูลออกมาสู้กันอีกคู่เพื่อตัดสิน ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่ารุ่นเยาว์ของตระกูลหยวนย่อมอ่อนแอกว่าของตระกูลฉู่ แน่นอนว่าทั้งฉู่ชูเหยียนและฉู่จงเทียนต่างนับว่าคู่ของซูอันเป็นแต้มแพ้ของพวกเขา
“อืมเจ้าพูดถูก !” ฉู่จงเทียนพยักหน้าพร้อมกับมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย เขาเดินไปที่ด้านข้างของฉู่ฮวนเจาและเริ่มให้คำแนะนำกับนาง โดยหวังว่าคำชี้แนะในนาทีสุดท้ายนี้จะส่งผลให้ผลลัพธ์การประลองเปลี่ยนแปลง
ฉู่ฮวนเจายังคงมึนงงอยู่ในขณะนี้ นางไม่เคยคิดว่านางจะกลายเป็นผู้แบกชะตากรรมของตระกูลฉู่ สิ่งนี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกประหม่ามากกว่าเดิม “ข้าคิดว่าคู่ต่อสู้ของข้าน่าจะมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าข้า!”
“ต่อให้ฝั่งตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าเจ้า แต่ถ้าหากเจ้าแสดงพลังของแส้คร่ำครวญได้อย่างเต็มที่ เจ้าก็สามารถทดแทนช่องว่างความต่างในความแข็งแกร่งได้!”
ซูอันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของฉู่จงเทียน เขาเคยลิ้มรสอำนาจแส้ของฉู่ฮวนเจาด้วยตัวเองมาแล้ว ความรู้สึกที่น่าสยดสยองเมื่อโดนแส้นั่นฟาดลงบนร่างกายของข้า… อา มันเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม
ฉู่ฮวนเจายังคงรู้สึกไม่มั่นใจ “แต่… ถ้าข้าโจมตีศัตรูไม่สำเร็จล่ะ ? ข้ารู้ถึงขีดจำกัดของความแข็งแกร่งของข้าดี ! แม้ว่าข้าจะชอบใช้แส้ของข้าแกล้งคนอื่น แต่กับการต่อสู้จริงบนลานประลองนั้น…”
นางเริ่มเสียใจกับการที่ก่อนหน้านี้นางใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ นางควรจะให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะมากกว่านี้
ฉินหว่านหรูจับมือของฉู่ฮวนเจาและพูดขึ้นอย่างเคร่งเครียด “ฮวนเจา การต่อสู้ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลฉู่ ยังไงเจ้าก็ต้องพยายามให้เต็มที่!”
เนื่องจากเรื่องนี้จริงจังมาก เสียงของนางจึงฟังดูเครียดกว่าปกติ
ฉู่ฮวนเจาพยักหน้าอย่างรุนแรง ความเคร่งเครียดของแม่นางกระตุ้นความกล้าหาญของนางขึ้นมา นางกัดริมฝีปากอย่างกังวลเล็กน้อยและตอบกลับอย่างหนักแน่นว่า “อื้ม ! ข้าจะชนะการประลองให้ได้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านพ่อ ท่านแม่ หรือท่านพี่ผิดหวัง!”
ซูอันรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าที่มุ่งมั่นของฉู่ฮวนเจา เดี๋ยวนะ สาวน้อยคนนี้คิดเสี่ยงชีวิตตัวเองจนถึงที่สุดในการประลองที่จะเริ่มขึ้นงั้นเหรอ ? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลฉู่ ดังนั้นฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูคงจะไม่เข้าไปแทรกแซงจนกว่าจะถึงช่วงวินาทีวิกฤตแน่ ๆ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นหากนางได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือได้รับบาดแผลที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ขึ้นมาจะทำยังไง?
เมื่อเห็นความกดดันมหาศาลที่ถาโถมใส่ฉู่ฮวนเจา ซูอันก็ก้าวเข้ามาแทรกและพูดว่า “ฮวนเจา เจ้าอย่ารู้สึกกดดันให้มากนัก หากเจ้ารู้สึกว่าสถานการณ์มันเกินที่จะควบคุม จงเอ่ยปากยอมรับความพ่ายแพ้โดยไม่ต้องลังเล จงจำเอาไว้ว่าเจ้ายังฝากความหวังเอาไว้กับข้าได้”
“ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้ถ้าเจ้าไม่พูด !” ฉินหว่านหรูจ้องไปที่ ซูอันด้วยสายตาเดือดดาล มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับนางที่จะกระตุ้นให้ลูกสาวคนรองของนางกล้าหาญได้แบบนี้ แต่ไอ้ลูกเขยที่น่ารำคาญสายตาของนางคนนี้กลับพูดทำลายความพยายามของนางซะงั้น!
—
ท่านยั่วยุ ฉินหว่านหรู สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +404!
—
ฉู่จงเทียนเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน “ซูอัน มันเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าหากฮวนเจาเอาชนะคู่ต่อสู้ของนางได้ เจ้าไม่มีโอกาสเอาชนะหยวนเหวินตงได้หรอก!”
ซูอันรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งที่ทุกคนไม่ไว้ใจเขาเลย “แต่ข้าคิดว่าข้าสามารถเอาชนะได้จริงๆ!”
“ข้าบอกเจ้าไปหลายครั้งแล้วว่าเจ้าต้องเลิกนิสัยโอ้อวดของเจ้าซะ!” ฉินหว่านหรูรู้สึกเครียดจากการกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตระกูลฉู่อยู่แล้ว ดังนั้นคำพูดของซูอันจึงยิ่งทำให้นางโกรธมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ในที่สาธารณะ นางคงจะเฆี่ยนตีเขาไปแล้ว “เอาไว้กลับไปที่ตระกูลเมื่อไหร่ข้าจะจัดการกับเจ้าโทษฐานที่ชอบพูดจาไร้สาระไม่เป็นประโยชน์!”
—
ท่านยั่วยุ ฉินหว่านหรู สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +999!
—
หลังจากพูดจบนางก็ดึงฉู่ฮวนเจาออกไป ส่วนทางด้านของฉู่จงเทียนก็ดูไม่พอใจเล็กน้อยเช่นกัน แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไร เขาเพียงเดินตามฉินหว่านหรูออกไปเพื่อให้คำชี้แนะลูกสาวของเขาอีกรอบ
ซูอันจ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ชิ มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้กัน ? ทุกคนไม่ลังเลที่จะเชื่อคำโกหกของข้า แต่พอข้าพูดความจริง ทุกคนกลับไม่เชื่อมันเลยสักคน เฮ้อ…ช่างเป็นชีวิตที่ยากลำบากจริงๆ!
ตอนนั้นเองที่เสียงของฉู่ชูเหยียนลอยเข้ามาในหูของเขา “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันของเจ้า และเจ้าต้องการทำอะไรบางอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าพ่อและแม่ของข้า อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้จริง ๆ มันจะเป็นการฉลาดกว่าหากเจ้าทำหน้าที่แค่ตามที่ได้รับมอบหมาย สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ตอนนี้มีแต่จะส่งผลเสียต่อตัวเจ้าเอง”
ถึงแม้ว่าคำพูดของฉู่ชูเหยียนนั้นฟังดูไม่หยาบคาย แต่ความหมายเบื้องหลังของสิ่งที่นางอยากจะสื่อนั้นค่อนข้างชัดเจน นางเองก็คิดว่าซูอันกำลังโอ้อวดที่นี่
“เอ่อ…” ซูอันไม่สามารถอธิบายอะไรได้อีกต่อไป เพราะมันคงไม่มีใครเชื่อเขาอยู่ดี
“ว่าแต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคน ๆ นั้นชื่ออู๋ตี้ ?” ฉู่ชูเหยียนจู่ ๆ ก็ถามขึ้น
“ข้าแค่เดา” ซูอันตอบพร้อมกับยักไหล่
“เดา ?” ฉู่ชูเหยียนขมวดคิ้วไม่พอใจกับคำตอบที่ซูอันตอบมา
“ข้าก็แค่คิดว่าชื่อ ‘ตี้อู๋’ มันฟังดูแปลก ๆ และเมื่อพิจารณาจากความน่าจะเป็นที่ว่าตระกูลอู๋สนับสนุนตระกูลหยวน ข้าจึงเดาว่าชื่อจริงของเขาอาจเป็น ‘อู๋ตี้’ มากกว่า ดังนั้นข้าจึงลองตะโกนดูและมันก็ได้ผลอย่างไม่คาดคิด” ซูอันไม่สามารถเปิดเผยระบบสุดโกงของเขากับนางได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหาข้อแก้ตัว
แต่แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะฉู่ชูเหยียนพยักหน้ายอมรับคำตอบนี้อย่างง่ายดาย “เป็นแบบนี้นี่เอง มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ดีจริง ๆ จงรู้เอาไว้ว่าครั้งนี้เจ้าได้สร้างผลงานครั้งใหญ่ให้ข้าและตระกูลฉู่”
ซูอันรู้สึกเหนื่อยจนอยากจะร้องไห้ ดู ! เจ้าเชื่อคำโกหกของข้าง่าย ๆ แต่พอข้าพูดความจริงเจ้ากลับไม่เชื่อข้าเลย!
“แค่ก แค่ก~” ฉู่ชูเหยียนเริ่มไอก่อนที่นางจะรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากของนาง
ซูอันสังเกตเห็นรอยแดงบนผ้าเช็ดหน้าของนางอย่างรวดเร็ว และนั่นทำให้สีหน้าของเขาแข็งค้าง “เจ้าได้รับบาดเจ็บ?”
ฉู่ชูเหยียนคว้าแขนของเขาเพื่อไม่ให้เขาพูดต่อ “ข้าสบายดี มันเป็นแค่อาการบาดเจ็บภายในเล็กน้อย อย่าพูดอะไรเกี่ยวกับมันให้คนอื่นกังวลเลย”
ซูอันสังเกตว่าตอนนี้สีหน้าของฉู่ชูเหยียนเริ่มซีดลงมากกว่าเดิมไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าอาการบาดเจ็บของนางนั้นไม่ใช่น้อย ๆ เท่ากับที่นางแสดงออกมาภายนอก ด้วยความโกรธ เขาสาปแช่ง “ตระกูลหยวนและตระกูลอู๋กล้ารังแกภรรยาข้างั้นเหรอ ? ได้ ! คอยดูเถอะวันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้พวกเขาเอง!”
“…” ฉู่ชูเหยียน
นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับซูอันในเรื่องนิสัยโอ้อวดของเขาอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นนางจึงตัดสินใจหันความสนใจไปที่ลานประลองเพื่อดูว่าน้องสาวของนางเป็นอย่างไรแทน