บทที่ 214 ใครคือผู้ถือหุ้นใหญ่ คนนั้นก็เหมือนกับเป็นประธาน

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

หลานเสี่ยวถางที่นั่งอยู่ในรถกำลังจะลงจากรถ เมื่อเห็นผู้ชายสองสามคนกำลังเดินเข้ามา อีกทั้งทุกคนก็สวมผ้าพันคอผืนใหญ่ปิดหน้ามิดชิดจนเหลือแต่ดวงตา

เธอตกใจมาก ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดีเลย แล้วก็เห็นสือมูเฉินบอกเธอว่า : “อย่าออกมา!”

เวลานี้คนเหล่านั้นก็มาล้อมรอบสือมูเฉินไว้แล้วพูดว่า : “สุดหล่อ รบกวนไปกับพวกเราด้วย!”

สือมูเฉินหรี่ตามอง : “ฉะนั้นพวกแกก็เป็นคนทำสิ่งกีดขวางบนถนนใช่ไหม?” ต้องโทษเขาที่ประมาทเกินไป เพียงเพราะเขารู้ว่าที่มีการซ่อมถนนอยู่ตลอด จึงไม่ได้สงสัยอะไร

“ในเมื่อรู้แล้ว อย่างนั้นก็น่าจะเข้าใจนะ ว่าเราไม่สามารถปล่อยคุณกลับไปได้!” ชายสองสามคนนั้นพูดจบ ก็เริ่มลงมือจัดการ

ถึงแม้ว่าปกติแล้วสือมูเฉินจะชอบการออกกำลังกาย แต่ก็ไม่ได้ช่ำชองในการต่อสู้ และภายใต้การรุมโจมตีของคนสองสามคน เป็นธรรมดาที่มันจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย

หลานเสี่ยวถางที่อยู่บนรถกระวนกระวายใจอย่างมาก เธออยากจะขับรถชนคนเหล่านั้น แต่สือมูเฉินกับพวกเขาอยู่ใกล้กันมาก ง่ายมากที่เขาจะถูกลูกหลงไปด้วย และเธอยังเข้าใจด้วยว่าถึงแม้เธอจะลงจากรถไป มันก็ช่วยอะไรไม่ได้

เธอจะโทรแจ้งตำรวจ แต่พบว่าไม่ว่ามือถือของเธอหรือของสือมูเฉินไม่มีสัญญาณเลย ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายใช้อุปกรณ์รบกวนสัญญาณ จึงไม่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เคลื่อนที่ทั้งหมดกับเครือข่ายได้!

เวลานี้สือมูเฉินถูกคนจับแขนไว้ ชายหนึ่งในนั้นพูดว่า : “ก็แค่จะชวนคุณไปดื่มน้ำชาสักสองสามวันเท่านั้น ถ้าคุณยังขัดขืนอีก ก็เหมือนกับว่าหาเหาใส่หัวนะ!”

เมื่อกี้หยานชิงเจ๋อโทรมาบอกว่าอีกฝ่ายกำลังโจมตีฐานข้อมูลอยู่ และตอนนี้เขาก็ถูกคนล้อมไว้……

ในทันทีสือมูเฉินก็เข้าใจคนที่เกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลัง ในเมื่อเขาส่งมันมา เช่นนั้นก็ไม่ได้ต้องการทำร้ายเขาจนถึงแก่ชีวิตจริงๆ

แต่ว่าบริษัทของเขาเป็นกำลังกายและกำลังสมองของเขามาหลายปีแล้ว ใครก็ไม่สามารถมาทำลายมันได้!

สือมูเฉินออกแรงทั้งหมดดึงแขนออกมาในทันที ใช้แรงกระโดดกลับมาด้านหลัง และหลานเสี่ยวถางที่กำลังหาโอกาสอยู่ ก็ขับรถพุ่งไปชนคนเหล่านั้นทันที!

เธอเหยียบคันเร่งจนถึงพื้น ถึงแม้จะใช้แรงขับเคลื่อนอย่างมาก แต่เพราะยางรถที่แบน ฉะนั้นตัวรถจึงเบี่ยงออกไปทางด้านข้าง อัตราเร่งก็ช้ามาก

เธอรู้สึกว่าฐานของรถชนเข้ากับอะไรบางอย่างบนพื้น จากนั้นเธอก็พุ่งเข้าไปที่กลุ่มคนเหล่านั้น

คนเหล่านั้นตกใจรีบหนีไปตามๆกัน แต่มีอยู่คนหนึ่งฉวยโอกาสหยิบไม้ที่อยู่บนพื้น กวัดแกว่งเดินเข้าไปหาสือมูเฉิน

เห็นสือมูเฉินกำลังโดนตี ล้มลงไปทางหน้ารถ หลานเสี่ยวถางตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น เธอรีบเปลี่ยนทิศทาง จากนั้นก็เหยียบเบรกอย่างกะทันหัน

ยางรถเกิดการเสียดสีกับพื้นถนนและดุมล้อก็ถูกกระแทกจนเกิดเสียงดังขึ้นมา จากนั้นก็เกิดเปลวเพลิงลุกโชนขึ้น

เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นไม่ได้คาดหวังถึงผลลัพธ์นี้ บางคนเห็นเปลวเพลิง ก็พูดออกมาอย่างตกใจ : “แย่แล้ว ถังน้ำมันรั่ว! จะระเบิดแล้ว!”

หลานเสี่ยวถางได้ยินก็ตกใจอย่างมาก จู่ๆเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้ที่ขับรถ ด้านล่างของรถชนเข้ากับอะไรสักอย่าง นั่นคือถังน้ำมันใช่ไหม?

เธอไม่สนใจสิ่งอื่นใด รีบปลดล็อกรถ หยิบมือถือของเธอและกระเป๋าของสือมูเฉินแล้วโดดลงจากรถ

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เกินความคาดหมาย คนเหล่านั้นก็หายตัวไปในค่ำคืนที่มืดมิด

เวลานี้หลานเสี่ยวถางได้ยินเสียงน้ำมันหยดติ๋งๆอย่างชัดเจน

และเปลวเพลิงก็ลุกโชนมากขึ้น ดูเหมือนจะมอดไหม้ได้ทุกเมื่อ

จำได้ว่าก่อนหน้านี้สือมูเฉินบอกว่าท้ายรถมีถังดับเพลิงอยู่ หลานเสี่ยวถางรีบวิ่งไปที่ท้ายรถ แต่ไม่รู้ว่าที่ท้ายรถเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจจะเกิดจากระบบของรถมีปัญหาจึงเปิดไม่ออก

เธอไม่สนใจสิ่งอื่นใด รีบวิ่งไปหาสือมูเฉินที่หมดสติอยู่ตรงหน้า : “มูเฉิน รีบตื่นเร็ว รถของเราจะระเบิดแล้ว!”

แต่สือมูเฉินนั้นไม่ได้ยินเสียงของเธอเลย ยังคงนอนสลบอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน

หลานเสี่ยวทางหมดหนทางแล้ว ได้แต่ออกแรงดึงแขนของเขาขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆดึงเขาออกห่างจากรถทีละนิดๆ

เดิมทีสือมูเฉินก็เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ แล้วยังหมดสติไม่รู้ตัวอีก เช่นนี้หลานเสี่ยวถางจึงลากมาไม่ได้ไกลมาก ก็หมดแรงแล้ว

แต่เวลานี้ เธอได้กลิ่นน้ำมันเบนซินที่แรงมาก ดูเหมือนว่ามันจะระเบิดในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา

“ฉ่า——” เสียงดังออกมา เธอรู้สึกว่าลมรอบๆตัวเธอเหมือนกับหยุดนิ่ง

ในทันทีเธอก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบวางแขนของสือมูเฉินลง แล้วหันกลับเข้าไปหาร่างของเขา นำเขามากอดไว้แน่น

ใบหน้าของเขาฝังอยู่ที่หน้าอกของเธอ และร่างกายก็ถูกร่างผอมบางของเธอบังไว้ครึ่งหนึ่ง อันตรายกำลังมาถึง แต่เขายังคงไม่ได้สติเลยแม้แต่น้อย

อันที่จริงหลานเสี่ยวถางกลัวอย่างมาก เธอกอดเขาไว้แน่นๆไปด้วยพลางเรียกชื่อเขาไปด้วย แต่ว่าเขายังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ

เธอตัวสั่นเทา ได้เพียงแต่คลายความวิตกกังวลด้วยความอบอุ่นจากอุณหภูมิของทั้งสองคน

และด้านหลังพวกเขาที่ห่างออกไปแค่ยี่สิบเมตร ก็มีเสียงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นก็มีคลื่นความร้อนพัดเข้ามา

ช่วงเวลาก่อนที่หลานเสี่ยวถางจะหลับตา เธอเห็นประกายไฟสีแดงเต็มท้องฟ้าไปหมด

แต่เมื่อคลื่นความร้อนหายไป เธอก็พบว่าตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนเลย แต่เสื้อผ้านั้นเป็นรูจำนวนมาก ผมเผ้าถูกไหม้ไปเล็กน้อย

ในอากาศมีเศษผงสีดำลอยลงมา จากนั้นเปลวเพลิงที่อยู่ห่างไกลก็ค่อยๆจางลง

เมื่อกี้เกิดการระเบิดขึ้นจริงๆเหรอ? พวกเขารอดแล้วใช่ไหม?

หลานเสี่ยวถางดีใจที่รอดมาได้ เธอจึงยื่นมือไปเขย่าหน้าของสือมูเฉิน : “มูเฉิน เราไม่เป็นไรแล้วนะ!”

และเมื่อเธอก้มหน้าลง จึงเห็นว่าดวงตาของเขากำลังมองเธอไม่เคลื่อนไปไหน

เธอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แล้วจึงยิ้มให้เขา: “มูเฉิน ฉันคิดว่าครั้งนี้คงจบเห่แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะไม่เป็นไรแล้วจริงๆ!”

สือมูเฉินมองใบหน้าที่ค่อนข้างขมุกขมัวของหลานเสี่ยวถาง แล้วก็เปลวเพลิงที่อยู่ด้านหลัง เขาจึงเปิดริมฝีปากพูดว่า: “เสี่ยวถาง——”

“หืม?” หลานเสี่ยวถางได้ยินเสียงกระซิบเบาๆของเขา ด้วยเหตุนี้ จึงโน้มตัวลงไปเพื่อจะฟังให้ชัดเจน

แต่ทว่า เขายื่นแขนมาโอบท้ายทอยของเธอเอาไว้ แล้วจูบไปที่ริมฝีปากของเธอ

เขาจูบอย่างช้าๆและตั้งใจ ทีละน้อยๆ วาดไปตามรูปทรงของริมฝีปากเธอ ลมหายใจตกกระทบลงบนแก้มของเธอ เร่าร้อนแผดเผาราวกับความร้อนเมื่อกี้นี้

เป็นเวลานาน เขาจึงปล่อยเธอเล็กน้อย: “ยายบื้อ คุณปกป้องฉัน แล้วตัวคุณล่ะจะทำยังไง?”

หลานเสี่ยวถางจึงตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอหันกลับไปมองอิริยาบถของพวกเขาในเวลานี้ จึงได้สติกลับมา

เมื่อกี้ เธอกระทำไปด้วยจิตสำนึกจริงๆ พอตอนนี้ได้คิดแล้ว เธอยอมให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บดีกว่า เพื่อจะปกป้องให้เขาปลอดภัย

เธอกัดริมฝีปาก: “คุณหมดสติไป ฉันก็จำเป็นต้องปกป้องคุณ!”

“เสี่ยวถาง ขอบคุณ คุณนะ” สือมูเฉินยิ้มให้เธอ ในดวงตาเต็มไปด้วยความรัก: “แต่ต่อไปถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ห้ามซื่อบื้ออีกนะ!”

“ทำไมล่ะ คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่!” หลานเสี่ยวถางชี้ไปยังรถยนต์ของพวกเขาแล้วกล่าวว่า: “คุณว่า พวกเราคงไม่ได้ไม่มีปัญหาหรอกใช่ไหม?”

สือมูเฉินถอนหายใจแล้วส่ายหน้า พยายามประคองตัวเองขึ้น

สมองของเขารู้สึกหนักเล็กน้อย ปวดแบบแน่นๆ เขาลุกขึ้นแล้วล้วงกระเป๋า: “ฉันจะโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้”

หลานเสี่ยวถางหยิบมือถือออกมา: “อืม เมื่อกี้พวกเขาไปแล้ว ไม่สามารถรบกวนสัญญาณได้แล้ว!”

สือมูเฉินแจ้งความต่อตำรวจแล้ว คนทั้งสองก็กลัวว่ารถจะระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ จึงพากันเดินไปให้ไกลหน่อย แต่เวลานี้ มีเงาดำเงาหนึ่งออกมาจากสถานที่ก่อสร้างอย่างเงียบๆ มาถึงด้านหลังของคนทั้งสอง ทันใดก็ฟาดท่อนไม้ในมือไปอย่างแรง…..

ทันใดหลานเสี่ยวถางก็รู้สึกเจ็บที่ศีรษะ จากนั้น ก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็พบว่าตนเองอยู่ที่ริมแม่น้ำ

หลานเสี่ยวถางขยับร่างกายที่หนักอึ้ง แล้วประคองตัวลุกขึ้น

พบว่าสือมูเฉินไม่ได้อยู่ข้างๆ เธออยากจะตะโกนเรียกชื่อของเขา แต่ลำคอแห้ง จนส่งเสียงไม่ออก

เธอพยายามประคองตัวลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซไปข้างหน้า

เดินไปประมาณสิบกว่าเมตร พอเธอกวาดสายตามอง ก็เห็นสือมูเฉินที่ล้มหมดสติอยู่ในพงหญ้า

อีกทั้งบนใบหน้าของเขายังมีคราบเลือดอีกด้วย!

ชั่วพริบตาหลานเสี่ยวถางก็เหมือนกับเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในทะเลทรายที่เวิ้งว้าง และลมที่เย็นยะเยือกพัดผ่านเธอจนกระทั่งลมหายใจก็ไม่มั่นคง

เธอยืนอยู่กับที่ พยายามสูดลมหายใจเข้า จึงทำให้กล้าเดินเข้าไปใกล้สือมูเฉินอย่างช้าๆ ยื่นมือไปสัมผัสที่แก้มของเขา

แก้มของเขาค่อนข้างเย็น เพียงแต่ความรู้สึกที่อ่อนนุ่ม ทำให้เธอผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เธอก้มตัวลง นำหูไปแนบที่หน้าอกของเขา ได้ยินหัวใจที่เต้นเสมอกัน

หัวใจที่แทบจะพุ่งออกมาจากลำคอก็กลับมาที่เดิม หลานเสี่ยวถางจะร้องไห้: “มูเฉิน!”

เขาไม่ได้ตอบสนอง นอนอยู่อย่างสงบนิ่ง เสื้อผ้าบนร่างกายเปียกชื้นเล็กน้อย เพราะเปียกน้ำค้างที่อยู่บนพงหญ้า

“มูเฉิน ตื่นสิ!” หลานเสี่ยวถางเรียกอยู่หลายครั้ง แต่สือมูเฉินก็ยังคงไม่ขยับ

เธอออกแรงพลิกตัวของเขา จึงเห็นว่าท้ายทอยด้านหลังบวมปูด คาดว่าอาจเป็นเพราะสาเหตุที่ถูกคนตีถึงสองครั้งติดต่อกัน

หลานเสี่ยวถางลุกขึ้นยืน มองโดยรอบอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน

ในขอบเขตของสายตา นอกจากพงหญ้าที่รกร้างกับก้อนหินที่สะเปะสะปะแล้ว ก็ไม่มีอะไรเลย ชัดเจนว่าเป็นสถานที่ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆของผู้คน

หลานเสี่ยวถางยื่นมือไปคลำตนเอง มือถือ กระเป๋าสตางค์ กุญแจ ของทั้งหมดได้หายไปหมดแล้ว

และบนตัวของสือมูเฉินก็เช่นเดียวกัน

ดังนั้น พวกเขาคงถูกคนตีจนสลบแล้วเอามาทิ้งไว้ที่นี่ แล้วนำสิ่งของที่จะขอความช่วยเหลือทั้งมดไปด้วย ก็เพื่อ…..

นึกถึงโทรศัพท์ที่ก่อนหน้านี้สือมูเฉินได้รับ ที่หยานชิงเจ๋อบอกว่ามีเรื่องที่ต้องจัดการ หลานเสี่ยวถางคิดว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในแผนการสำคัญ

หลานเสี่ยวถางมองไปยังท้องฟ้าที่สว่างไสวโดยรอบ หัวใจของเธอก็ยิ่งไม่สงบ ตอนนี้เป็นเวลาเท่าไรแล้ว? เขาสลบไปนานแค่ไหนแล้ว?

และเวลานี้ ในห้องโถงต้อนรับแขกของTimes Group ทนายความได้หยิบเอกสารการโอนสิทธิ์ผู้ถือหุ้นออกมา แบ่งแล้ววางตรงหน้าของโจวเหวินซิ่วและสือมูชิง: “ถ้าทั้งสองท่านไม่มีปัญหาอะไร ก็สามารถเซ็นชื่อได้เลยครับ”

โจวเหวินซิ่วดูแล้ว ก็หวดปากกาลงเซ็นชื่อของตัวเอง

สือมูชิงที่อยู่ข้างๆมองโควตาหุ้นส่วนที่อยู่ด้านบนแล้ว นิ้วมือก็สั่นเล็กน้อย: แม่ คุณเต็มใจที่จะยกหุ้นส่วนทั้งหมดในมือให้ฉันจริงๆเหรอ?”

“ฉันก็อายุมากแล้ว หุ้นอยู่ในมือจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ? คุณเป็นลูกชายหัวโปรดของฉัน ให้คุณก็เป็นเรื่องธรรมดานี่” ดวงตาของโจวเหวินซิ่วเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู

“แต่หลังจากที่คุณให้ฉันแล้ว หุ้นส่วนที่ถืออยู่ระหว่างฉันกับมูเฉิน ก็แทบจะใกล้เคียงกันแล้วนะ? กระทั่งหุ้นของฉันจะดูมากกว่าเขาด้วยซ้ำ…..” สือมูชิงแทบไม่อยากจะเชื่อ

“เดิมทีTimes Groupก็เป็นของพวกคุณสองพี่น้องอยู่แล้ว ใครคือผู้ถือหุ้นใหญ่ คนนั้นก็เหมือนกับเป็นประธาน” โจวเหวินซิ่วยิ้มแล้วกล่าว

สือมูชิงไม่ลังเลใจอีก เซ็นชื่อของตัวเองด้วยความตื่นเต้น