บทที่ 206 เจ้ากลับมาแล้ว 1 (1)

เรือสีแดงเข้าโอบล้อมเรือสีทอง

เชวฮันและหัวหน้าอัศวินกระโดดขึ้นไปบนเรือทองคําและหยุดยืนอยู่ข้างหลังคาร์ล ทาช่าและอามูร์ก็ขยับไปยืนอยู่ข้างหลังคาร์ลเช่นกัน

“ท่านคาร์ล”

เชวฮันเป็นคนแรกที่เอ่ยเรียกคาร์ลขึ้นมา เขาหันตามสายตาของคาร์ลเพื่อมองไปยังมหาสมุทรที่คาร์ลจ้องอยู่ มันมีซากศพขึ้นมาลอยเกลื่อนข้างๆกับซากเรือที่กระจัดกระจายทั่วท้องมหาสมุทร

เชวฮันยังคงลอบมองคาร์ลเงียบๆ เขาเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นของคาร์ล

‘…ท่านคาร์ลมีจิตใจที่อ่อนโยนยิ่งนัก’

เป็นจังหวะเดียวกับที่คาร์ลพูดขึ้น

“สันติสุข”

เสียงของคาร์ลฟังดูเหนื่อยๆ ความอ่อนเพลียเห็นได้ชัดจากสิ่งที่เขาพูดออกมา ทุกคนพากันนิ่งงันหลังจากคาร์ลพูดจบ แม้คาร์ลจะพูดเรื่องดีแต่ความอัดแน่นและความเศร้าในน้ําเสียงก็ถึงกับทําให้พวกเขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ทันใดนั้นขุนนางผู้หนึ่งก็นึกบางอย่างออกเมื่อได้ยินคําว่า ‘สันติสุข’ สงครามที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทําให้เขานึกถึงคติพจน์ประจําตระกูลเฮนิตัสขึ้นมาได้

เขาเผลอเอ่ยออกมาเสียงดัง

“…ไม่จําเป็นต้องถูกจารึกชื่อในหน้าประวัติศาสตร์แค่มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและสงบสุขก็เพียงพอแล้ว”

เสียงที่เอ่ยขึ้นมาโดยไม่มีใครคาดคิดทําให้ทุกคนหันขวับไปมองขุนนางที่เอ่ยขึ้นทันที ขุนนางหลายๆคนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย พวกเขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินสิ่งนี้มาก่อนแต่ พวกเขานึกไม่ออกว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน

คาร์ลเองก็ตอบโต้ขุนนางผู้นั้นขึ้นมาทันที

“ข้าเดาว่าท่านคงรู้คติพจน์ประจําตระกูลของเราสินะ”

คติพจน์ประจําตระกูลเฮนิตัส

สีหน้าของเหล่าขุนนางเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การรู้แหล่งที่มาของประโยคนี้ทําให้พวกเขาพูดอะไรไม่ออก พวกเขามองเห็นความโศกเศร้าบนใบหน้าของคาร์ลได้ถนัดแม้ว่าเขาจะเริ่มยิ้มออกมาก็ตาม

ผู้คนบนดาดฟ้าเรือสามารถบอกได้ว่า ‘ความสุขและความสงบสุข’ มีน้ําหนักมากเพียงใดสําหรับคนในตระกูลเฮนิตัส

“เอ่อ…”

ดวงตาของขุนนางผู้หนึ่งเริ่มเบิกกว้าง เขารู้สึกอิจฉาที่คาร์ลเข้ามามีบทบาทสําคัญในการทําศึกครั้งนี้ เขาอิจฉาที่คาร์ลกําลังจะถูกจารึกชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามคนที่เขานึกอิจฉานั้นเพียงนึกถึงความสุขและความสงบสุขมากกว่าชื่อเสียงใดๆ

ขุนนางที่ตาเบิกกว้างเมื่อครู่นี้เริ่มตระหนักได้ถึงบางอย่าง

‘การที่เขามีความเชื่อเช่นนั้นก็เลยทําให้เขาทําสิ่งต่างๆได้มากขนาดนี้สินะ?’

เขาได้ยินมาว่าเคานต์เฮนิตัสควักกระเป๋าเงินส่วนตัวเพื่อปรับปรุงกําแพงเมืองในอาณาเขตเฮนิตัสและเป็นหุ้นส่วนของการสร้างกองทัพเรือ นอกจากนี้เขายังแจกอาหารและเครื่องมือทําการเกษตรให้กับชาวบ้านอีกด้วย

คติพจน์ประจําตระกูลเฮนิตัส

เหตุผลที่พวกเขาไม่ต่อสู้เพื่อฐานอํานาจของตนเองจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสงบสุขเท่านั้น

ความเงียบปกคลุมไปทั่วดาดฟ้าเรืออีกครั้ง

ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คาร์ลกําลังนึกถึงคติพจน์ประจําตระกูลเช่นเดียวกัน

‘ไม่จําเป็นต้องถูกจารึกชื่อในหน้าประวัติศาสตร์แค่มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและสงบสุขก็เพียงพอแล้ว! อ่า…คนเก่าคนแก่ช่างฉลาดจริงๆ’

คาร์ลรู้สึกถึงกับความคิดของบรรพบุรุษตน

ลืมความคิดที่จะปรากฏตัวในหน้าประวัติศาสตร์ไปซะ!แค่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและพักผ่อนได้ เต็มที่ก็พอแล้ว พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทําให้คาร์ลตระหนักถึงความลําบากที่ตนกําลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

คิ้วของเขาผูกเป็นปมยิ่งขึ้น

เขาไม่ได้เพียงแค่ลําบากเท่านั้นแต่เขากําลังหิวโหยอย่างหนัก

‘ฉันต้องทําอะไรตั้งมากมายเพื่อให้ได้มันมาสินะ?’

คาร์ลเริ่มปลอบใจตนเองเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องทนลําบากในตอนนี้เพื่อความสุขและความสงบสุขไปอีก 50 ปี ความปราถนาของคาร์ลคือการได้กลับบ้านและนอนกลิ้งอยู่บนเตียงนุ่ม

คําสั่งของเขาถูกส่งไปยังเรือสีแดงที่กําลังโอบล้อมเรือของเขาอยู่

“กลับบ้านกันเถอะ”

ทุกคนได้ยินเสียงของคาร์ลได้อย่างชัดเจน

“กลับไปยังดินแดนของเรา”

กลับไปบ้านของเรากันเถอะ! ชาวอาณาจักรโรมันเม้มริมฝีปากแน่นแทนที่จะส่งเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีออกมา

พวกเขายังมีชีวิตอยู่และสามารถกลับบ้านได้

พวกเขารู้สึกสงบเพราะยังคงมีชีวิตกลับไปหาคนในครอบครัวมากกว่าที่จะรู้สึกดีใจที่ได้รับชัยชนะจากสงคราม

เรือสามร้อยลําที่เคลื่อนทัพราวกับนกอพยพย้ายถิ่นเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เรือสีทองและเรือสีแดงกําลังแล่นกลับบ้านของตน

แน่นอนว่าไม่ใช่เรือทุกลําที่จะได้กลับบ้านโดยทันที เรือส่วนหนึ่งถูกคาร์ลสั่งการให้ประจําการอยู่ที่นี่ชั่วคราว พวกเขาถูกสั่งให้ค้นหาและจัดการกับซากศพของศัตรูที่ลอยเกลื่อนเต็มมหาสมุทร

แม้ว่าคาร์ลจะดูเย็นชาและโหดร้ายกับศัตรูของพวกเขาแต่คาร์ลก็รู้ดีว่ามีคนอีกมากที่ไร้ความผิดใดๆ พวกเขาเป็นทหารก็เพื่อปากท้องของตนเองและต้องทําตามคําสั่งของผู้บังคับบัญชาเท่า

คาร์ลมองดูเรือที่กําลังเข้าเคลียร์พื้นที่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับ เรือสีทองกําลังแล่นกลับฝังอย่างรวดเร็ว

นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจของคาร์ลเมื่อเขาสัมผัสเข้ากับรูปปั้นเต่าทองคํา

‘ทําไมมันจะหิวอะไรขนาดนี้ ถ้าฉันกลับถึงฝั่งฉันจะไปหาอะไรกินทันที’

หากพูดถึงผลลัพธ์ในสิ่งที่คาร์ลต้องการแน่นอนว่าเขาไม่ได้ทําอย่างที่ตั้งใจเอาไว้

ยังมีอีกหลายอย่างที่รอให้คาร์ลจัดการในทันที คาร์ลอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

“ฮ่าฮ่าฮ่า!!”

เสียงหัวเราะของเขาดังก้องไปทั่วคุกใต้ดิน หลังจากหัวเราะเสร็จก็ยกมือขึ้นมาตบหน้าผากของตนเบาๆ เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานมากแล้ว

‘ฉันไม่ควรเชื่อใจพวกเขามากเกินไป’

คาร์ลลดมือลงเพื่อจะได้สังเกต่างที่กองอยู่บนพื้นได้ถนัด

เขาเป็นชายชราผู้มีดาวสีแดงประดับอยู่บนเสื้อคลุม เขาคือนักเวทย์วัยชราจากอาร์มนั่นเอง

คาร์ลจ้องร่างนั้นนิ่งๆก่อนจะแบ่งปันความรู้สึกกับตนเอง

“…นั่นเขายังมีชีวิตอยู่จริงๆหรือ?”

ราอนได้กล่าวไว้ว่า

‘เจ้าบอกให้ข้าจับเป็นเขาแต่ตอนนี้ชีพจรของเขาเต้นแผ่วลงเรื่อยๆ…เขาใกล้จะตายเต็มที่แล้ว แต่เจ้าอย่ากังวลไปเพราะตอนนี้เขายังไม่ตาย…ข้าป้อนยาให้เขาแล้วแต่เขาก็น่าจะตายภายในสองวันนี้!’

แต่แท้จริงแล้วชายชราผู้นี้ใกล้ถึงประตูแห่งความตายไปทุกที ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ผิวของเขากลายเป็นสีน้ําเงินราวกับถูกพิษร้ายแรง วงเวทย์ของเขาน่าจะถูกทําลายระหว่างการต่อสู้เพราะผิวบริเวณหน้าอกของเขาเป็นรอยช้ําสีดํา คาร์ลหันไปมองราอนที่คลายเวทย์ล่องหนออกเนื่องจากมีแค่พวกเขาเท่านั้นที่อยู่บริเวณนี้ ราอนเลี่ยงสายตาที่คาร์ลจ้องมาก่อนจะพาออนและฮงหลบไปยืนอยู่มุมห้องอย่างช้าๆ

ราอนพึมพําออกมา

“พวกเขาทําให้มนุษย์ของเราเลือดออก!…พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องเลือดออกเท่านั้นแต่ เลือดของพวกเขาจะต้องนองไปทั่วพื้น…พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ตายง่ายๆ…เราต้องฉีกร่างพวกเขาเป็นชิ้นๆแล้วตัดคอเสียบประจาน!”

“เจ้าพูดถูก!”

“น้องเล็กของพวกเราทําได้ดีจริงๆพวกเราก็ทําได้ดีเช่นกัน”

คาร์ลตัดสินใจที่จะปล่อยผ่านมันไปเพราะแม้แต่ออนที่เขาเห็นว่าความคิดโตที่สุดก็ยังเห็นด้วยกับน้องๆทั้งสอง

เด็กๆอายุเฉลี่ยเก้าขวบ นี่เขากําลังคาดหวังอะไรกับเด็กๆเหล่านี้

ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถพูดคุยกับนักเวทย์วัยชราได้ มันน่าผิดหวังจริงๆ เขาจึงหันไปมองร่างสองร่างที่มีดาวสีแดงประดับอยู่บนเสื้อคลุม นอกจากนี้ยังเห็นบารอคกําลังถอดถุงมือสีขาวซึ่งกรังไปด้วยเลือดออกจากมือทั้งสอง

ตุบ!

ถุงมือซึ่งกรังไปด้วยเลือดถูกโยนไปที่โต๊ะพร้อมกับเครื่องมือที่ใช้ในการทรมานส่วนหนึ่ง บารอคปัดผมที่ปรกหน้าตนออกก่อนจะเอ่ยรายงานต่อคาร์ล

“ตอนนี้พวกเขาหมดสติอยู่ขอรับ..แต่พวกเขาจะสามารถพูดคุยกับนายน้อยได้ทันทีที่พวกเขาฟื้นขึ้นมา”

พวกเขาทําได้แค่พูดเท่านั้น

สายตาของคาร์ลหยุดนิ่งที่นักล่ามังกรและหมอหนุ่มซึ่งกําลังคืบคลานไปยังประตูนรกเข้าทุกที่ๆ จากนั้นเขาก็มองเห็นอีกร่างหนึ่ง

“…เฮือก!”

เมื่อสายตาของคาร์ลปะทะไปยังร่างนั้น เจ้าของร่างก็สะดุ้งเฮือกขึ้นทันที

นักหอกเวทย์! เขาคือคนที่เชี่ยวชาญในการใช้หอกและมีพลังเวทย์ติดตัว เขาเป็นคนที่เผชิญหน้ากับกลุ่มของคาร์ลบ่อยที่สุดเกือบจะทุกครั้งที่มีการต่อสู้กับอาร์มเลยด้วยซ้ํา เขาอ้าปากค้างตาเบิกกว้างเมื่อสบตาเข้ากับคาร์ล เขาอยากจะหันหน้าหนีแต่ไม่สามารถทําเช่นนั้นได้

“ไม่เสียมารยาทไปหน่อยที่จะหันหน้าหนีเช่นนี้! นายน้อยของข้ากําลังมองเจ้าอยู่นะ!”

รอนจิกผมของนักหอกเวทย์ขึ้น ด้วยน้ําหนักมือที่ใช้ทําให้เป็นเรื่องยากสําหรับนักหอกเวทย์ที่จะหันหน้าหนี้ไปได้ นักหอกเวทย์ไม่กล้าปรายตามองรอนและร่างของเขาก็เริ่มสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

คาร์ลคิดว่ามันแปลก

‘นักหอกเวทย์แทบจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยด้วยซ้ําแล้วทําไมเขาถึงดูหวาดกลัวขนาดนี้ล่ะ?’