บทที่ 206 เจ้ากลับมาแล้ว 1 (2)
คาร์ลเต็มไปด้วยความสับสนก่อนจะเห็นรอยยิ้มที่รอนส่งมาให้ตน นั่นก็เพียงพอแล้วที่คาร์ล จะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
‘คงเป็นเพราะชายชราที่น่ากลัวที่สุดอยู่ข้างๆเขากระมัง’
มันคงจะผิดปกติเกินไปหากเขาไม่รู้สึกหวาดกลัว
คาร์ลมองร่างที่สั่นเทิ้มด้วยความกลัวของนักหอกเวทย์และเอ่ยถามอย่างจงใจ
“นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้พบกันหรือไม่?”
นักหอกเวทย์ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ อารมณ์เกือบทุกประเภทปรากฏอยู่ในสายตาของเขา
การตอบสนองดังกล่าวทําให้คาร์ลฉีกยิ้มเย็นออกมา
หมอกพิษที่เกิดจากฝีมือของออนและฮง ออร่าสีดําของเชวฮัน ทักษะการอําพรางกายและ การลอบสังหารของรอน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่นักหอกเวทย์เคยเห็นมาก่อน มันเกิดขึ้นที่ภูเขาสิบนิ้ว นักหอกเวทย์ได้เห็นยอดฝีมือเหล่านี้ในหมู่บ้านเอลฟ์บนภูเขาสิบนิ้ว แน่นอนว่ามันมาจากกลุ่มคน ที่สวมชุดเลียนแบบอาร์ม ผู้นําระดับสูงของอาร์มต่างโกรธแค้นกลุ่มคนเหล่านี้ยิ่งนักแต่ก็ไม่สามารถหาตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเจอ
ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนักหอกเวทย์ก็เผชิญหน้ากับพวกเขาเช่นกัน
นักหอกเวทย์เงยหน้ามองคาร์ล เฮนิตัส ไม่สิ!? เขากําลังเงยหน้าขึ้นมองผู้นําของกลุ่มที่เผชิญหน้ากับอาร์มหลายต่อหลายครั้ง ผู้นําคนนี้ค่อยๆนั่งลงและสบสายตากับนักหอกเวทย์
“เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครสินะ?”
มันเป็นน้ําเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนแต่เนื้อความของประโยคกลับทําให้ดวงตาของนักหอกเวทย์สั่นคลอนมากขึ้น ในที่สุดเขาก็หลบสายตาและจ้องไปที่พื้น
เสียงของคาร์ลดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าดูฉลาดดีนี่…อย่างน้อยเจ้าก็รู้ว่าเมื่อไหร่ควรที่จะพูดและเมื่อไหร่ควรที่จะเงียบ”
ประโยคนี้ทําให้ร่างของนักหอกเวทย์สะท้านเฮือกอีกครั้ง
ราวกับคาร์ลจะบอกว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันและเขาอาจจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่เพื่อรอดูพรุ่งนี้ได้หากเขาพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวตนที่แท้จริงของคาร์ล ออกไป
รอนพยายามกระชากผมของนักหอกเวทย์ขึ้นเพื่อให้เขาสบตากับคาร์ล อย่างไรก็ตามนักหอกเวทย์พยายามฝืนตัวเองไว้อย่างสุดความสามารถ สายตาของเขายังคงจ้องไปที่พื้นอย่างต่อเนื่อง เขารู้ความแตกต่างดีระหว่างคนที่เขาควรสบตาและคนที่เขาไม่ควรสบตา
“เจ้าฉลาดจริงๆ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงของคาร์ล นักหอกเวทย์ก็รู้สึกโล่งใจ เขายังรู้สึกถึงสายตาที่คาร์ล เฮนิตัสมองมาที่เขา
‘ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเป็นอย่างไรกันแน่? ข้าได้ยินมาว่าคาร์ล เฮนิตัสเป็นเพียงนายน้อยที่ต้องการเวลาในการพักฟื้นร่างกายเท่านั้น แล้วนี่มันคืออะไรกัน? ความเยือกเย็นและความโหดเหี้ยมเช่นนี้คืออะไรกันแน่’
เขาไม่ควรคิดอะไรเช่นนี้ หากเขายังคงคิดอยู่มันจะแสดงออกบนใบหน้าของเขา เขาจึงเลือกมองพื้นและพยายามไม่คิดฟุ้งซ่านอะไรทั้งนั้น
คาร์ลยังคงลอบสังเกตนักหอกเวทย์อย่างเงียบๆ ฮันนาห์เคยบอกคาร์ลว่าชายผู้นี้บอกให้เธอปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นพี่ชายของเธอคนหนึ่ง แม้ว่าฮันนาห์จะคิดว่าเขาคือพี่ชายของเธอจริงๆแต่นักหอกเวทย์แค่เล่นละครให้ฮันนาห์ตายใจเท่านั้น คนที่สามารถหักหลังคนอื่นได้อย่างเลือดเย็นย่อมเป็นคนที่ฉลาดที่สุด
คาร์ลพูดขึ้น
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร…ข้าก็ควรแยกเจ้าออกจากคนอื่น”
เฮือก!
นักหอกเวทย์หลับตาลง เขามีปัญหาใหญ่แล้ว เขาต้องทําทุกอย่างตามที่องค์กรสั่งเพื่อความอยู่รอดของตนเอง แล้วทําไมเขาถึงจบลงเช่นนี้ได้? ทุกอย่างผิดพลาดไปหมดนับตั้งแต่ฮันนาห์หนีไป นักหอกเวทย์ยิ่งก้มหน้ามองพื้นมากกว่าเดิม
คาร์ลออกคําสั่งแก่รอน
“จับเขาแยกออกไปแต่ไม่ต้องทรมานเขามากนัก…แค่ทําไม่ให้เขาหลบหนีไปได้ก็พอ.อ้อ! สกัดพลังเวทย์และออร่าของเขาไว้ด้วย”
ไม่ต้องทรมานเขามากนัก
คําพูดเหล่านี้ทําให้นักหอกเวทย์รู้สึกโล่งอก
นี่คือขุนนางที่ปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตนเอาไว้และคอยสร้างความเสียหายให้กับอาร์มเป็นระยะๆ แต่เขาสามารถรอดพ้นความน่ากลัวที่ขุนนางผู้นี้จะมอบให้ไปได้
อย่างไรก็ตามนักเวทย์ไม่สามารถมองเห็นสายตาของสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มของคาร์ลเพราะ ตาของเขายังคงมองไปที่พื้น
รอนรีบย้ายนักหอกเวทย์ไปยังห้องขังอื่นทันที เชวฮันที่มองตามหลังของนักหอกเว ทย์เผลอพึมพําออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ตายอย่างทรมานที่สุด”
“แน่นอน…ฮันนาห์จะเป็นคนลงมือฆ่าเขาเอง”
นักหอกเวทย์จะถูกส่งตัวไปให้ฮันนาห์และเธออาจขอให้รอนหรือบารอคทรมานเขาแทนเธอ
คาร์ลเดินออกจากบารอคและเชวฮันเพื่อไปดูสมาชิกของอาร์มทั้งสามคนใกล้ๆ ไม่มีอะไรให้กังวลมากนักเพราะออร่าและพลังเวทย์ของพวกเขาถูกสกัดไว้แล้ว ไหนจะร่างกายที่โดนพิษนั่นอีก
“ดูแลให้เรียบร้อย”
บารอคตอบกลับอย่างมั่นใจ
“ขอรับ! จะไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นก็คงจะเป็นการที่กระผมตั้งใจฆ่าพวกเขากระมัง!”
‘สมกับเป็นลูกชายของรอนจริงๆ’
คาร์ลมองบารอคด้วยสายตาอึ้งๆเล็กน้อยก่อนจะทันเห็นว่าเขวฮันพยักหน้าเห็นด้วยกับบารอค
เขาหันหลังให้กับคนทั้งสองและคิดว่าพวกเขาทําเรื่องพวกนี้ได้ดีกว่าตนเสียอีก
‘ดาวสีขาว?…ฉันต้องได้ข้อมูลของคนผู้นี้’
ร่างที่หมดสติทั้งสามนี้จะเป็นใบเบิกทางให้คาร์ลได้ข้อมูลของหัวหน้าองค์กรซึ่งเป็นเจ้าของดาวสีขาว พวกเขาต้องฟื้นสติขึ้นมาอย่างน้อยก็หนึ่งครั้งเพื่อคายรายละเอียดเหล่านี้ออกมา แน่นอนว่ามันต้องสร้างความเจ็บปวดให้ทั้งสามคนไม่น้อยแต่มันก็ไม่ใช่ธุระของคาร์ลเช่นกัน
ทําไมเขาต้องเห็นใจคนที่พยายามจะฆ่าเขาด้วย? ไหนจะคนของเขาที่ได้รับบาดเจ็บอีกล่ะ? สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งสามก็มาจากการกระทําชั่วๆของพวกเขาเองไม่ใช่หรือ?
คาร์ลมุ่งหน้าไปยังคุกใต้ดินอีกห้อง
เขาไปหาคนที่ถูกจับตัวมาไว้เมื่อก่อนหน้านี้
“สวัสดี”
อัศวินผู้พิทักษ์โคลเปย์ ตัวสั่นเล็กน้อยก่อนจะขยับแขนที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้เพื่อโค้งคํานับให้กับ คาร์ล ท่าทางของเขาราวกับกําลังรับใช้พระเจ้า
อาการของโคลเปย์ดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย ผู้ที่รับผิดชอบรักษาอาการบาดเจ็บให้กับโคลเปย์ เริ่มเอ่ยขึ้น
“นาย…น้อยคาร์ล”
เสียงยานๆคล้ายกับหุ่นยนต์เอ่ยทักคาร์ลขึ้น แน่นอนว่าเสียงนี้คือแมรี่ เธอไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้กับข้าศึกทางเรือ
“ไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
กรึ๊ก! กรึ๊ก!
ชิ้นส่วนกระดูกที่แมรี่ต่อเข้าไปให้ใหม่หยุดชะงักทันที คาร์ลชี้ไปที่ร่างของโคลเปย์เมื่อรู้สึกถึงร่างของราอนที่กลับมาใช้เวทย์ล่องหนอีกครั้ง
“ลากเขาไปด้วย”
ลากไปด้วย
นั่นคือคําสั่งที่คาร์ลส่งให้ราอนเมื่อชี้ไปที่ร่างของโคลเปย์
เผ่าวาฬจะเข้าโจมตีอาณาจักรพารัน
‘ฉันต้องทําอะไรต่อนะ?’
แน่นอนว่าคาร์ลรู้ดีว่าตัวเองต้องทําอะไร เผ่าวาฬไม่ได้มีความคิดที่จะยึดเอาอาณาจักรพารันมาไว้ครอง พวกเขากําลังทําสิ่งนี้เพื่อแก้แค้น
หลังจากที่ทบทวนเรื่องต่างๆได้ระยะหนึ่งคาร์ลก็ตัดสินใจได้ทันที
‘มาดัดหลังพวกเขากันเถอะ!’
เขากําลังจะสร้างหนอนบ่อนไส้ให้กับพันธมิตรไร้พ่าย
อาณาจักรพารันผู้สร้างตํานานแห่งการผูกขาดทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตนเองจะรู้สึกอย่างไรกันนะ? ที่ต้องตกอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอาณาจักรโรมันและถูกใช้ให้เป็นหนอนบ่อนไส้แก่พันธมิตรของตนเอง
สายตาของคาร์ลจ้องไปที่โคลเปย์เงียบๆ
แผนที่จะเกิดขึ้นคงเป็นสิ่งที่พันธมิตรไร้พ่ายไม่เคยคาดคิดเอาไว้ พวกเขาจะถูกแทงข้างหลังจนแทบกระอักออกมาเป็นสายเลือด