แม้หลิงเอ๋อร์จะไม่รู้ว่าเหตุใด จู่ๆ ศิษย์พี่ของนางจึงอยากจัดงานฉลองเช่นนี้ในขณะที่ไม่มีอะไรควรค่าให้ฉลองบนภูเขา แต่แน่นอนว่า นางย่อมยอมทำทุกอย่างจนสุดกำลังเพื่อช่วยให้อาจารย์ของนางออกจากเก็บตัวเงียบเชียบโดยเร็วที่สุดและกลับมาร่าเริงมีชีวิตชีวามากขึ้น
และหลังจากวุ่นวายกันมานานถึงครึ่งวัน ในที่สุด ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งคู่ก็มายืนอยู่หน้ากระท่อมมุงจากของท่านอาจารย์ของพวกเขา
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วส่งเสียงเรียกดังลั่น “ท่านอาจารย์ขอรับ ยังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งปีก่อนที่การแข่งขันภายในสำนักจะเริ่มขึ้น ท่านอยากชี้แนะทักษะการต่อสู้ให้พวกเราหรือไม่ขอรับ”
ทว่าไร้เสียงตอบรับจากกระท่อมมุงจาก
ดังนั้น หลานหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ จึงกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะร้องตะโกนว่า “อ่า…ศิษย์พี่ อย่าทำเช่นนี้เจ้าค่ะ! ท่านอาจารย์ยังไม่ได้อนุญาตให้พวกเราทำเลยนะ เช่นนั้น เราย่อมไม่อาจทำได้เจ้าค่ะ!”
“เฮ้! เจ้าศิษย์หัวดื้อ หยุดนะ! พวกเจ้ากำลังทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลก ถูกผู้อื่นขบขันแล้ว พวกเจ้าต้องไปที่หอไป่ฝานเพื่อลงบันทึกก่อน!”
โครม! ทันใดนั้น ประตูกระท่อมมุงจากก็ถูกเตะเปิดออกอย่างกะทันหัน! แล้วนักพรตเต๋าชราฉีหยวนก็รีบออกมาพร้อมด้วยชูแส้หางม้าขึ้นและพุ่งออกไปพร้อมกับเสี้ยวอักขระเฉิงเต๋า
ครั้นเห็นศิษย์ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา นักพรตเต๋าชราก็หัวเราะแห้งแล้วสบถด่าออกมาฉับพลันว่า “พวกเจ้าล้อเล่นเช่นนี้ได้อย่างไร มันเกี่ยวกับความภาคภูมิใจของพวกเจ้านะ!”
“ฮิฮิ” หลิงเอ๋อร์ทำหน้าบูดอย่างรวดเร็วขณะกล่าวว่า “ท่านอาจารย์! มาลองชิมกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าร่วมมือกับศิษย์พี่ ไม่สิ พวกเราสองคนร่วมกันทำอาหารจานเด็ดจนเต็มโต๊ะเลยเจ้าค่ะ!”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวเสริมว่า “ยังมีสุราชั้นดีอีกสองไหด้วยขอรับ ศิษย์เพิ่งบ่มเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ขอรับ”
ชั่วขณะนั้น นักพรตเต๋าชราฉีหยวนก็ถอนหายใจเบาๆ ใบหน้าของเขาดูผิดหวังและสายตาของเขาเหม่อมองออกไปไกลในขณะที่เส้นผมสีเทาของเขากระพือพลิ้วปลิวไสวเบาๆ
“หัวใจของอาจารย์ตายด้านไปแล้ว ข้าจะอยู่กับพวกเจ้าไปตลอดชีวิต อาหารเลิศรส สุราชั้นเยี่ยม พวกเจ้าหนุ่มสาวจงใช้เวลาลิ้มชิมรสพวกมันเถิด…เฮ้อ ฉางโซ่ว อาจารย์เพิ่งตระหนักความจริงได้เมื่อไม่นานมานี้”
“ท่านอาจารย์ โปรดบอกข้าเถิดขอรับ” หลี่ฉางโซ่วตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง
ฉีหยวนจึงกล่าวว่า “จงทะนุถนอมผู้คนที่อยู่ต่อหน้าเจ้า อย่าพูดถึงอนาคต สถานการณ์ต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ ผู้ใดจะรู้ได้ว่าเป็นพรหรือโชคร้ายเล่า”
ที่ด้านข้างนั้น หลิงเอ๋อร์พลันกะพริบตาปริบๆ พลางเม้มริมฝีปากและลอบมองศิษย์พี่ของนางขณะที่ใบหน้าของนางแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
นี่เป็นคนประเภทพูดถึงสิ่งหนึ่งแต่จงใจหมายถึงอีกสิ่งหนึ่ง
หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์จดจำไว้แล้วขอรับ ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ศิษย์จะปกป้องดูแลศิษย์น้องหญิงเป็นอย่างดีขอรับ”
“ดีแล้ว” ฉีหยวนโบกมือของเขาและกล่าวว่า “เจ้ามีความสามารถมากกว่าข้า เจ้าและหลิงเอ๋อร์สามารถตัดสินใจเรื่องการแข่งขันภายในสำนักเองได้”
“อาจารย์จะปิดด่านฝึกฝนต่อไป เจ้าน่าจะบรรลุสู่เซียนเสิ่นได้ในไม่ช้าและจงทำตามสิ่งที่เจ้ากล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ไปจนตลอดชีวิตที่เหลือในอนาคตของเจ้า อาจารย์จะตั้งตารอดูพวกเจ้าทั้งสองคนมีความสุขสบายดี”
หลังจากกล่าวเช่นนั้นแล้ว นักพรตเต๋าชราฉีหยวนก็หันหลังกลับไปที่กระท่อมมุงจาก แผ่นหลังของเขาดูเย็นยะเยือกเล็กน้อย และดูเหมือนว่าจะมีเสียงเพลงอยู่รอบๆ กายเขา…
‘เกล็ดหิมะโปรยปราย สายลมเหนือเย็นเยือกพัดพลิ้วหวีดหวิว…’
และพร้อมด้วยเสียงแอ๊ด ฉับพลันนั้น ประตูไม้ของกระท่อมมุงจากถูกปิดลงในขณะที่ค่ายกลก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง
ทันใดนั้น ทั้งหลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ต่างก็มองหน้ากันอย่างกังวลใจ
จากนั้น หลิงเอ๋อร์พลันเอ่ยถามอย่างเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะขณะยังคงซาบซึ้งใจ
สำหรับท่านอาจารย์ของเขา ความสัมพันธ์ของเขากับท่านอาจารย์ป้าไม่ใช่เพียงแค่ความรักที่น่าเศร้าสลดใจเท่านั้น แต่ยังเป็นปมในหัวใจและยังตราตรึงฝังแน่นอยู่ในใจของเขาด้วย
โชคยังดีที่เขาเลือกไม่บอกความจริงกับท่านอาจารย์ของเขา ไม่เช่นนั้น สภาพจิตใจของท่านอาจารย์ของเขา ในยามนี้อาจจะเป็นดั่งเช่น ‘หลังจากสายฝนสาดกระหน่ำลงมาอีกครั้ง บนเทือกเขารกร้างว่างเปล่า ข้าจะแขวนตัวเองไว้บนกิ่งไม้ในทิศตะวันออกเฉียงใต้…’
“อืม มันเป็นการยาก” หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในขณะนี้ เขายังไม่มีแผนที่ดี หลิงเอ๋อร์ถอนหายใจและกล่าวว่า “ความรักช่างทรมานจริงๆ” “ไม่สิ” หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะพลางกล่าวอย่างสงบว่า “ในเวลานี้สิ่งที่เจ้าเห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงๆ และสิ่งที่ทรมานที่สุด หาใช่การมีความรักไม่ แต่เป็นคนที่แอบคอยปั่นป่วนกวนใจให้วุ่นวาย…ช่างมันเถิด ข้าไม่อาจพูดมากในเรื่องนี้ เมื่อขอบเขตพลังการฝึกฝนของเจ้าสูงขึ้นในภายหน้า เจ้าจะเข้าใจเองเมื่อได้สัมผัสกับพระสูตรนิรกรรม”
ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์กะพริบตาด้วยความสับสน
หลี่ฉางโซ่วโบกมือและกล่าวว่า “เจ้าไม่ควรปล่อยให้อาหารที่เราทำเสียไป ทำอาหารเพิ่มอีกสักสองสามจานเถิด ข้าจะไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์เพื่อเชิญท่านอาจารย์อาน้อยรวมถึงท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูและภรรยาของท่าน แล้วนำอาหารไปที่หอโอสถกัน”
“เจ้าค่ะ!” หลิงเอ๋อร์ตอบรับอย่างเชื่อฟัง
“อย่างไรเสีย ทำปลาอีกสักสองตัวและใส่ในภาชนะใส่อาหาร ข้าจะนำไปเยี่ยมผู้อาวุโสว่านหลินหยุนในภายหลัง”
“ข้า แม่ครัวของยอดเขาหยกน้อยจะเชื่อฟังบัญชาของท่านเจ้าค่ะ!”
“แม่ครัวหรือ เจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผ้ากันเปื้อนคืออะไร”
หลี่ฉางโซ่วยกมือขึ้นลูบศีรษะของหลิงเอ๋อร์ แล้วขับเคลื่อนเมฆบินตรงไปยังยอดเขาพิชิตสวรรค์
ทว่าในเวลานั้น หลิงเอ๋อร์ยังคงคิดหาวิธีช่วยท่านอาจารย์ของนางให้พ้นจากสภาพจิตใจในยามนี้ของเขา ขณะเดินไปที่ครัวริมทะเลสาบเพื่อทำอาหารต่อ…
ข้าจะช่วยท่านอาจารย์ได้อย่างไรนะ
ทว่าจู่ๆ หลิงเอ๋อร์ก็พลันหวนรำลึกถึงความทรงจำของนางในภูเขา และหัวใจของนางก็เต็มไปด้วยเงาของศิษย์พี่ของนาง จึงนึกถึงข้อมูลใดมาต่อยอดเพื่อขบคิดหาวิธีไม่ออก
นางพลันนึกถึงสถานการณ์ในตระกูลมนุษย์สามัญของนาง และจำการสนทนาระหว่างมารดาและมารดาเลี้ยงของนางได้อย่างเลือนรางในยามที่นางยังเยาว์วัยนั้น ในคราวนั้นเป็นเรื่องที่ภรรยาของท่านลุงซึ่งเป็นแม่ทัพคนหนึ่งได้ตกตายไป เขาจึงเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก…ทว่าหลังจากนั้น มารดาและมารดาเลี้ยงของนางก็แนะนำให้เขารู้จักกับสตรีสาวสวยผู้หนึ่ง และในเวลาเพียงไม่ถึงสองเดือน…ท่านลุงของนางก็ได้จัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้ง
คติเรื่องสอนใจของเรื่องนั้นก็คือ เหล่าบุรุษล้วนเจ้าชู้ยิ่ง พวกเขาล้วนหลงสตรีใหม่และลืมสตรีเก่า และเราต้องคอยจับตาดูพวกเขาเป็นพิเศษ
แต่นางสามารถใช้วิธีนี้มาเป็นข้อมูลต่อยอดได้เช่นกัน
หลิงเอ๋อร์กะพริบตาและเริ่มครุ่นคิดอย่างรอบคอบ เพื่อเตรียมพร้อมจะเสนอวิธีแก้ปัญหาให้กับศิษย์พี่ของนางในภายหลัง
นางไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่ามใดๆ เพราะไม่อยากถูกลงโทษให้คัดลอกพระสูตรมั่นคงราวสองสามพันจบอีกต่อไป
บนยอดเขาพิชิตสวรรค์ ขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วบินไปจนถึงที่พักของเซียนจิ่วจิ่ว ทว่าก่อนที่เขาจะลงมาจากก้อนเมฆ เขาก็เห็นภาพเหตุการณ์ครั้งใหญ่
ในเวลานี้ ไม่เพียงแต่เขาคนเดียวเท่านั้น แต่ยังมีศิษย์สองสามคนที่รับผิดชอบงานซ่อมบำรุงเบ็ดเตล็ดต่างๆ ท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่ว และเหล่าเซียนจิ่วอื่นๆ อีกสองสามคนที่ปรากฏตัวระหว่างการต่อสู้ที่สำนักตู้เซียน ต่างก็พากันมาที่นี่เพื่อแอบสังเกตดูที่พำนักของท่านอาจารย์ลุงจิ่วอู…
เขาได้ยินว่า…
“หากเจ้ามีผู้อื่นในใจของเจ้า ก็พูดออกมาสิ! ข้า จิ่วซือจะไม่ยุ่งกับเจ้าอีกต่อไป!”
หลังจากนั้น จิ่วซือก็เอามือปิดจมูกและปากของนาง ขณะที่บินออกไปจากที่พำนัก ชั่วขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มขื่นออกมา
เอ่อ ด้วยความจริงที่ว่าเขาได้รับรู้เรื่องของอาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่ จึงยุ่งอยู่กับการเฝ้าดูยอดเขาเซียนหลิน จึงยังไม่ได้มอบสุรามังกรพิษให้แก่ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอู
ในเวลานั้น เขาคิดว่า ได้มอบสูตรสุรามังกรพิษให้กับท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูและอาจารย์อาจิ่วจิ่วแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีปัญหา…
หลี่ฉางโซ่วร่อนลงที่ด้านหน้าที่พำนักของท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ลุง ศิษย์ฉางโซ่ว มีบางอย่างจะขอกล่าวกับท่านขอรับ”
“ฉางโซ่ว” มีเสียงถอนหายใจดังมาจากข้างในและกล่าวว่า “เข้ามาเถิด”
และทันทีที่หลี่ฉางโซ่วก้าวเข้าไป เขาก็เห็นข้าวของต่างๆ ถูกโยนลงบนพื้นขณะที่ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูก็เปิดใช้ค่ายกลโดยรอบ
“เจ้ามีอันใดหรือ”
ชั่วขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันถามเสียงเบาว่า “ท่านอาจารย์ลุง เกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ”
จิ่วอูนั่งอยู่ด้านข้างขณะเอามือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากแล้วหายใจออกมาช้าๆ…
เขาถอนหายใจและกล่าวออกมาว่า “เฮ้อ ความสัมพันธ์ของข้าแตกสลายลงแล้ว”