ตอนที่ 118.1 การผลิตโอสถปรารถนา ผลิตภัณฑ์พิเศษแห่งยอดเขาหยกน้อย (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

“คู่บำเพ็ญเต๋าเป็นเพียงผู้ที่ฝึกฝนร่วมกันไม่ใช่หรือ แล้วคู่บำเพ็ญเต๋ากลายเป็นคู่สามีภรรยากันตั้งแต่เมื่อใด ข้าไม่อาจมุ่งความสนใจไปที่เต๋าอันยิ่งใหญ่ได้หรือ…

…ข้าไม่อาจฝึกฝนอย่างสงบสุขเงียบๆ ใช่หรือไม่ ทำไม่ได้!?!”

ในหอโอสถแห่งยอดเขาหยกน้อย บัดนี้ ใบหน้าของจิ่วอูแดงก่ำเล็กน้อยขณะนั่งลงบนโต๊ะแล้วทุบโต๊ะไม่หยุดพลางเปล่งเสียงคำรามต่ำอย่างหดหู่

ในงานเลี้ยงของหอโอสถ เวลานี้ จิ่วอูนั่งอยู่ในที่นั่งประธาน ที่ด้านข้างของเขามีศิษย์น้องหญิงคนที่หกของเขานาม จิ่วลู่เอ๋อร์และศิษย์น้องชายคนที่เจ็ดของเขานามว่า จิ่วฉี

และแน่นอนว่า จิ่วจิ่วก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน แต่ในเวลานี้นางนั่งอยู่ข้างๆ หลี่ฉางโซ่ว และหลิงเอ๋อร์ ปานประหนึ่งเจ้าบ้านอีกคนที่คอยดูแลให้ความเพลิดเพลินแก่บรรดาแขกมากกว่า

จิ่วลู่เอ๋อร์ดูเหมือนเทพธิดาแสนสง่างามและชาญฉลาดที่แผ่กลิ่นอายละเอียดอ่อนและนุ่มนวล

ดูเหมือนว่านางจะโปรดปรานสีเขียว เมื่อนางสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดูหรูหราและเสื้อคลุมสั้นสีเขียวหญ้าฟาง และปักปิ่นสีแดงที่แกะสลักจากหยกใสอย่างประณีตของนาง

จิ่วลู่เอ๋อร์มีความสูงปานกลางและรูปร่างเล็กเพรียวบาง ซึ่งค่อนข้างคล้ายกับจิ่วจิ่ว แต่ด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น

นางมีใบหน้ากลมเล็กน้อย คิ้วโก่งงามดั่งกิ่งหลิว ดวงตารูปผลซิ่ง และริมฝีปากบางเล็ก และมีลำคอยาวและขาวผุดผ่องยิ่ง…

เมื่อเห็นนางแวบแรก จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอ่อนโยนมาก นางเอื้อนเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเบาอ่อนโยนช้าๆ และคำพูดของนางก็เป็นจังหวะจะโคนดี และดูราวกับว่าหากมีผู้ใดพูดเสียงดังกับนาง ย่อมจะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังหยาบคายและก้าวร้าวระราน

ส่วนจิ่วฉีที่อยู่ข้างๆ จิ่วอูนั้น…เขารู้สึกไม่สบายใจและเป็นห่วงศิษย์พี่ห้าของเขา ดังนั้น พวกเขาทั้งสองคนจึงตามเขามางานเลี้ยงด้วย

หลังจากที่จิ่วอูดื่มสุราไปสองจอกด้วยความเศร้าโศกแล้ว จิ่วลู่เอ๋อร์ก็ถามเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ห้า เกิดอันใดขึ้นระหว่างท่านกับศิษย์พี่หญิงสี่หรือเจ้าคะ”

ดังนั้นจิ่วอูจึงระเบิดถ้อยคำออกมาทำลายความเงียบและเริ่มพร่ำบ่นเต็มที่

จิ่วลู่เอ๋อร์และจิ่วฉีพลันขมวดคิ้วและยังคงฟังอยู่เงียบๆ

หลี่ฉางโซ่วซึ่งอยู่ข้างๆ คอยปลอบโยนเขาอยู่ตลอดเวลาจนเรียกได้ว่า เขาบีบจมูกของจิ่วอูแล้วอัดน้ำแกงไก่[1] ให้จิ่วอูกล้ำกลืนเข้าไปรัวๆ

ในขณะนั้น มีเพียงหลิงเอ๋อร์และจิ่วจิ่วสองคนเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และต่างก็มองหน้ากันและกัน…

หลิงเอ๋อร์รู้เรื่องเกี่ยวกับความรักของชายหญิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้น จิ่วจิ่วก็ได้รับอิทธิพลมาตั้งแต่ยังเยาว์ นางฝึกฝนมานานกว่าพันปีและยังพอรู้เรื่องเหล่านั้นบ้าง แต่ด้วยไร้ประสบการณ์ จึงไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับศิษย์พี่ห้า แล้วทันใดนั้นเขาก็พร่ำบ่นโอดครวญในเรื่องนี้…

ในช่วงเริ่มต้นของงานเลี้ยง นางก็ได้ยินจิ่วอูคร่ำครวญไม่หยุด

โชคดีที่หลี่ฉางโซ่วแนะนำให้จิ่วอูออกไปเดินเล่นผ่อนคลายในขณะที่ขอให้ทั้งสี่คนกิน ดื่ม และเล่น เพื่อไม่ให้อาหารจานเด็ดดีๆ ต้องสูญเปล่า

ขณะที่หลี่ฉางโซ่วเดินไปรอบๆ กรงสัตว์วิญญาณ เขาก็กำลังคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์นี้

เมื่อเห็นว่า จิ่วอูสงบลงแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ถามเสียงเบาว่า “ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอู บัดนี้ ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่แล้ว ข้าปฏิบัติต่อท่านดุจอาจารย์ลุงและเป็นสหายสนิทของข้า โปรดบอกข้าเถิดว่าเกิดอันใดขึ้นกับท่าน ท่านกับอาจารย์ป้าจิ่วซือยังรักกันดังเดิมหรือไม่ขอรับ”

จิ่วอูถอนหายใจแล้วหันศีรษะไปโดยไม่เอ่ยอันใด

หลี่ฉางโซ่วจึงถามอีกครั้งว่า “ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอู ท่านมีบางอย่างที่…ยากจะพูดออกมาได้หรือใช่ไม่ขอรับ”

“หึ!”

จิ่วอูพลันถอนหายใจอีกครั้งและลังเลที่จะกล่าว ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดในเรื่องนี้และกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านอาจารย์ลุง ข้ามีบางเรื่องที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่ขอรับ”

จิ่วอูจึงกล่าวว่า “พูดมาเถิด ข้าฟังอยู่”

“ท่านอาจารย์ลุง บางครั้งท่านก็ไม่มีความมั่นใจในด้านนี้” หลี่ฉางโซ่วกล่าวและเสริมต่ออีกว่า “ความจริงแล้ว ท่านเก่งกาจมากอยู่แล้ว แต่หากท่านเป็นเช่นนี้ ในอนาคตข้าคงจะอยู่ให้ห่างจากเรื่องคู่บำเพ็ญเต๋าอย่างแน่นอนขอรับ”

“นี่…” จิ่วอูชะงักงันพลันหัวเราะขื่นออกมาก่อนจะตบต้นขาของเขา

“ก็ได้ ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า! ไม่รู้ว่าเหตุใด แต่…ข้าแค่ไม่อยากใกล้ชิดสตรีในช่วงนี้…”

หลี่ฉางโซ่วถอยหลังไปครึ่งก้าวทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ในขณะที่เมื่อมาถึงจุดนี้ จิ่วอูก็บันดาลโทสะจนระเบิดเสียงหัวเราะออกมากะทันหันแล้วสบถก่นด่าว่า “อย่าคิดมาก! ข้าหาได้ไร้สมรรถภาพไม่!”

“อืม ขอรับ” แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วแค่ทำล้อเล่นเท่านั้น เพราะนอกจากนี้ เขายังรู้ด้วยว่ารากแห่งปัญหาของจิ่วอูในยามนี้คืออะไร

หลังจากบ่นพึมพำกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ลุง ข้าได้ยินมาว่าท่านอาจารย์พูดถึงรายละเอียดของการกำจัดปีศาจของพวกท่าน แล้วท่านเคยเห็นภาพวาด ‘ราชินีไป่เหมย’ ที่ข้าวาดเอาไว้หรือไม่ขอรับ”

“ใช่ ข้าเห็นแล้ว” จิ่วอูขมวดคิ้วและกล่าวต่อว่า “ภาพวาดของเจ้านั้นเป็นเพียงภาพวาด แล้วมันจะส่งผลต่อข้าได้อย่างไรเล่า ข้าเป็นเซียนเสิ่น สภาพจิตใจของข้าย่อมค่อนข้างมั่นคง”

“มันไม่ใช่แค่ภาพเพียงอย่างเดียวเท่านั้นอย่างแน่นอน แต่ในขณะนั้น ดูเหมือนว่า ท่านอาจารย์ลุงจะถูกมนต์สะกดของปีศาจจิ้งจอก และในเวลานั้น จิตใจของท่านไม่มีการเตรียมการป้องกันเอาไว้เลยขอรับ …”

หลี่ฉางโซ่วเตือนเขาเล็กน้อยในขณะที่จิ่วอูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้

“เช่นนั้นหรือ”

“น่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางถอนหายใจแล้วเสริมว่า “เรื่องนี้เกิดจากภาพวาดของข้าเอง แม้ท่านจะได้รับผลกระทบจากผลที่ตามมาของเสน่ห์อาคม แต่ข้าก็ยังต้องรับผิดชอบเช่นกัน อาจารย์ลุง หากท่านเชื่อใจข้า ขอให้ข้าลองดูว่า จะแก้ไขเรื่องนี้ได้หรือไม่นะขอรับ” ในขณะนั้น จิ่วอูพลันขมวดคิ้วสั้นและหนาของเขาพลางกล่าวว่า “แล้วเจ้าคิดว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร”

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เผยยิ้มสงบและมั่นใจออกมา

หลังจากนั้นไม่นาน จิ่วอูพลันเต็มไปด้วยพลัง และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความหวังในขณะที่กลับไปที่งานเลี้ยงในหอโอสถนั้นอีกครั้ง

ในขณะนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และยังทักทายพวกเขาสองสามคนและขอร่วมกินดื่มกับพวกเขาต่อไป และในไม่ช้าบรรยากาศก็ครึกครื้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว…

และแน่นอนว่า ทั้งศิษย์น้องชายและหญิงสองคนของเขาล้วนสับสนงงงัน

หลี่ฉางโซ่วไม่ได้กลับมาพร้อมกับจิ่วอู แต่กลับเอามือก่ายหน้าผากของเขาแล้วจึงกลับไปที่หอโอสถในอีกหนึ่งชั่วยามต่อมา จากนั้นเขาก็ยัดถุงเก็บสมบัติเอาไว้ในมือของจิ่วอูด้วยท่าทีเคร่งขรึม

จิ่วอูพลันถามเสียงเบาว่า “มีเท่าใดกัน”

“สามสิบหก เป็นจำนวนรวมของกลุ่มเทียนกัง”

“ดียิ่ง! ขอบใจเจ้ามาก ศิษย์หลาน!” จิ่วอูยิ้มออกมาทันที

แล้วทันทีที่เห็นว่า จิ่วจิ่วจ้องมองถุงเก็บสมบัติในมือของเขาด้วยสายตาลุกโชน นักพรตเต๋าร่างเตี้ยก็หัวเราะแล้วดุว่า “อย่าจ้องนานนัก นี่ไม่ใช่สิ่งที่เด็กอย่างเจ้าจะดูได้!”

หลังจากนั้น จิ่วอูจึงเก็บถุงเก็บสมบัติเอาไว้อย่างสงบและยกนิ้วให้หลี่ฉางโซ่ว “ศิษย์หลาน เจ้ายังเชื่อใจได้ที่สุด!” “แค่เรื่องเล็กน้อยขอรับ ท่านอาจารย์ลุง แต่โปรดอย่าลืมข้อตกลงของเราเมื่อก่อนหน้านี้ด้วยนะขอรับ” “แน่นอน! มานี่ มา! ข้าขอดื่มให้เจ้า! หากข้าทำสำเร็จในครั้งนี้ ข้าย่อมตอบแทนเจ้าอย่างงามแน่นอน!”

“ท่านอาจารย์ลุง โปรดอย่าได้เกรงใจขอรับ เพียงอย่าลืมว่าห้ามบอกผู้ใดนะขอรับ”

พวกเขาสองคนต่างพูดคุยถ้อยทีต่อกันจนทำให้ผู้คนรอบข้างล้วนอยากรู้กันไปหมด แต่ไม่ว่าพวกเขาทั้งสี่คนจะพยายามงัดแงะและสืบหาอย่างไร ทั้งสองคนต่างก็เพียงแย้มยิ้มโดยไม่เอ่ยอันใดออกมา

และในไม่ช้า จิ่วอูก็ทิ้งศิษย์น้องทั้งชายหญิงของเขาไปและเร่งรีบขับเคลื่อนก้อนเมฆจากไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น จิ่วลู่เอ๋อร์และจิ่วฉีก็กล่าวอำลาจากไปในทันที

หลังจากที่พวกเขาจากไป จิ่วจิ่วก็จ้องไปที่หลี่ฉางโซ่ว และระดมคำถามใส่เขาไม่หยุดจนหลี่ฉางโซ่วอับจนหนทางแล้วต้องชี้แจงให้อาจารย์อาน้อยของเขาฟัง

“ร่างกายของท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูกำลังมีปัญหาบางอย่าง และสูญเสียพลังหยางของเขาไปเล็กน้อย ข้าจึงให้ยาแก่เขาและวาดภาพที่น่ามองให้เขาดูขอรับ”

“แค่นั้นหรือ”

“ขอรับ แค่นั้น”

ทว่าทันทีที่หลี่ฉางโซ่วกล่าวจบ หลิงเอ๋อร์ที่กำลังเก็บจานอยู่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และจู่ๆ มือของนางก็พลันสั่นขึ้นมาจนเกือบจะทำให้จานหยกตกแตกกระจาย

หลี่ฉางโซ่วจึงหันศีรษะไปมองนาง และทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์ก็ก้มหน้าลงเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะของนางทันที และจากนั้นนางก็กลับมาเคลื่อนไหวคล่องแคล่วมากขึ้นขณะที่หวนนึกถึงการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วของกบหยก…

[1] การปลอบใจอีกฝ่ายโดยหาเหตุผลมากมายเพื่อให้อีกฝ่ายคล้อยตาม