บทที่ 239 ความอิจฉาที่ไร้เดียงสา

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 239 ความอิจฉาที่ไร้เดียงสา
บทที่ 239 ความอิจฉาที่ไร้เดียงสา

ไม่ได้เจอกันเกือบเดือนแล้ว อีกทั้งยังต้องงดไปหกเดือนเพราะการตั้งครรภ์ ตอนกลางวันมีลูกอยู่ด้วยก็ไม่เป็นอะไรมาก ทว่าตอนนี้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง คำพูดธรรมดาของฉินปู้เข่อจึงกลายเป็นเหมือนยากระตุ้นของเขา จนทำให้อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้

อันที่จริงฉินปู้เข่อก็ค่อนข้างกระหายเช่นกัน แต่นางกังวลเกี่ยวกับเรื่องการอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น และกังวลเรื่องที่นางยังอยู่ในช่วงอยู่ไฟ ดังนั้นนางจึงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ภายในใจเท่านั้น แต่เมื่อเห็นว่าพ่อเทพบุตรมีความต้องการในตอนนี้ หัวใจที่เงียบงันของนางก็เต้นระรัวขึ้นมาทันที

ในที่สุดเมื่อนางได้พักหายใจก็พบว่า เสียงผ้าของพวกเขาก็หลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย และเกือบจะถึงประตูแล้ว

“โม่ โม่หรู่ เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่ง…” ฉินปู้เข่อพยายามอย่างยิ่งที่จะยึดความอดทนสุดท้ายในใจของตนไว้ และกระซิบเพื่อหยุดเขา

มือใหญ่ของหมี่โม่หรู่ที่กำลังซุกซนหยุดลง เขาเองก็รู้ว่าเวลาและสถานที่แห่งนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก สักพักก็ฟุกหน้าซบคอของฉินปู้เข่อ และสูดกลิ่นหอมจากกายของนาง แล้วพูดเสียงเบาว่า “เจ้าต้องเรียกข้าด้วยคำเรียกอื่นบ้าง”

“หือ?” น้ำเสียงออดอ้อนที่ไม่ได้ยินมานานเช่นนี้ทำให้ฉินปู้เข่ออารมณ์ดี

นางสบตาเขา การเปลี่ยนคำเรียกเขาหมายถึง…

นางเข้าใจทันทีว่าเป็น “พ่อของลูก”

ความคิดที่กำลังพลุ่งพล่านของหมี่โม่หรู่ถูกขับไล่ไปด้วยคำเรียกนี้ เขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้เอ่ยเอื้อนคำใดก่อนจะเชยคางของฉินปู้เข่อขึ้นและพูดซ้ำ “พ่อของ…ลูกเหรอ?”

“ก็ท่านบอกว่าต้องการให้เปลี่ยนคำเรียกนี่นา ไม่ใช่แบบนี้หรือเพคะ?” ฉินปู้เข่อยังคงไม่เข้าใจ “หรือให้เรียกว่าพ่อของหมิงเอ๋อร์?”

‘ฟึ่บ’ หมี่โม่หรู่ลุกขึ้นนั่งตัวตรงก่อนจะจับไหล่ของฉินปู้เข่อแล้วบอกใบ้ว่า “ไม่ได้เกี่ยวข้องกับลูก เพียงแค่เราสองคน”

“อ๋อ~~” ฉินปู้เข่อมองหมี่โม่หรู่ที่พยายามบอกใบ้นางด้วยการแสดงออกทางทางอ้อม แล้วนางก็พูดเสียงหวานว่า “สามี~”

เอิ่ม…

หมี่โม่หรู่ยกมือกุมหน้าผากตนเอง เขารู้สึกเศร้าและหมดหนทาง ปกติพระชายาตัวน้อยฉลาดมาก ทว่าเหตุใดตอนนี้สมองนางถึงช้าจัง

“ไม่ใช่ ‘สามี’ หรือเพคะ?” ฉินปู้เข่อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่มผู้นี้ จู่ ๆ ก็ต้องการคำเรียกพิเศษ

เป็นเพราะความปรารถนาทางกามารมณ์ที่แสวงหาความพึงพอใจแบบใหม่หรือ?!

“เช่นนั้นโม่หรู่ช่วยบอกใบ้อีกหน่อยได้หรือไม่?”

หมี่โม่หรู่ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเข่อปีนี้อายุเท่าไร?”

“เกือบสิบแปดเพคะ” อืม ยังไม่แก่เกินไป ฉินปู้เข่อมีความมั่นใจมากขึ้น อย่างน้อยหากดูที่อายุของนาง นางก็ไม่ใช่หญิงแก่หน้าเหลือง[1]

“แล้วสามีล่ะ”

“มากกว่ายี่สิบสี่” ฉินปู้เข่อจับนิ้วของเขาพลางคิดกับตัวเองว่า มันเป็นช่วงอายุที่ชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยพลังมากที่สุด และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชายหนุ่ม

ด้วยเหตุนี้หมี่โม่หรู่จึงรู้สึกว่าเขาจะต้องได้ยินสิ่งที่เขาต้องการจะได้ยินในประโยคถัดไปแน่ ดังนั้นเขาจึงพูดต่อว่า “ดังนั้นเจ้าต้องเรียกข้าว่า…”

“อ๋อ อ๋อ อ๋อ~~” ฉินปู้เข่อเข้าใจขึ้นมาทันที นางทำหน้าตาใสซื่อและทำท่ารอตอบด้วยการนั่งตัวตรง ก่อนจะกระแอมเบา ๆ บีบเสียงเล็กน้อย พยายามทำให้เสียงของนางทุ้มและดูเป็นผู้หญิงน้อยลง

“พี่เจ็ด”

หมี่โม่หรู่ “…”

สีหน้าจริงจังถึงเพียงนั้น น้ำเสียงที่หนักแน่นถึงเพียงนั้น… ก็เรียกว่าพี่ชายแต่… เหตุใดทุกอย่างถึงแตกต่างไปจากที่เขาคาดไว้

“เสี่ยวเข่อ เจ้าตั้งใจทำเช่นนี้หรือ” หมี่โม่หรู่ทำหน้าผิดหวังอย่างแรง

ฉินปู้เข่อตกใจมาก นางรู้สึกว่าตนเองพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้เข้าใจอารมณ์ของหมี่โม่หรู่ ทว่าเหตุใดมันถึงไม่ถูกต้อง ในฐานะที่เป็นคนไม่อายที่จะถามคำถาม นางจึงตัดสินใจถามเขาตามตรงว่า “ท่านไม่คิดหรือว่าเราทุกคนต้องเรียกหมี่ฉงว่า ‘พี่ชายสาม’ และพวกเขาก็เรียกท่านว่า ‘เจ้าเจ็ด’ ไม่มีใครเรียกท่านว่า ‘พี่ชาย’ เลย แล้วท่านจะมาไม่พอใจอะไร”

หมี่โม่หรู่มองพระชายาตัวน้อยของตนด้วยความตกใจ ริมฝีปากของเขาสั่นระริกและหัวใจของเขาก็สั่นระรัว หรือความเข้าใจเช่นนี้ของนางจะเกิดจากสิ่งที่นางเคยพูดในระหว่างตั้งครรภ์ว่า ‘ตั้งครรภ์หนึ่งครั้งโง่ไปสามปี’ จริง ๆ?!

“เอ๊ะ ท่านทำหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ หมี่โม่หรู่!” ฉินปู้เข่อรู้สึกผิดเล็กน้อย “หม่อมฉันเปลี่ยนคำเรียกไม่ได้ ท่านกำลังพยายามทำให้หม่อมฉันทำเรื่องยากอยู่หรือเปล่า”

เมื่อเห็นว่าการแสดงความรักระหว่างสามีภรรยากำลังจะกลายเป็น ‘การต่อสู้นองเลือด’ ระหว่างสามีและภรรยา หมี่โม่หรู่จึงมองนางอย่างหงุดหงิด “ข้าต้องการให้เจ้าเรียกข้าว่า ‘พี่ชาย’ แต่ไม่ใช่ ‘พี่ชายเจ็ด’ แบบสหายคนสนิท แบบ… แบบ…”

เขาสามารถพูดได้หรือไม่ว่าตอนที่เขาไปหาซือต๋าเพื่อรับจดหมายเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาบังเอิญได้พบกับจานหานชิวและซือต๋าที่ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย แต่คำเรียก ‘พี่ซือต๋า’ ที่จานหานชิวเรียกก่อนจากกันทำให้เขารู้สึกอิจฉาทันที

สองคนนี้ยังไม่มีความสัมพันธ์ที่สนิทกันมากนัก แต่ตอนแรกก็เรียกว่า ‘พี่ชาย’ หลังจากนั้นก็เรียก ‘พี่ชาย’ และดูเหมือนว่าพระชายาตัวน้อยของเขาจะไม่เข้าใจอะไรเลย ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่เคียงข้างนาง และยั่วยวนนางด้วยความเป็นชายอย่างเปิดเผยและได้กอดรัดเขาอยู่ทุกวันก็ตาม

แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ เขาต้องถูกเรียกว่า “โม่หรู่” และ “หมี่โม่หรู่” อยู่เสมอ ซึ่งมันสุภาพเกินไป เขาจึงไม่ชอบ

“อะไรนะ ท่านพูดดัง ๆ หน่อยสิ” ฉินปู้เข่อรู้สึกว่าความอดทนของนางกำลังจะหมดลง

“พี่โม่หรู่” หมี่โม่หรู่พูดอย่างรวดเร็ว แล้วหันหน้าหนีด้วยความเขินอาย

ในฐานะผู้ชายเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มขอให้เรียกได้อย่างไร มันขึ้นอยู่กับผู้หญิงที่จะเป็นฝ่ายเริ่มเรียกไม่ใช่หรือ

“อะไรนะ”

ฉินปู้เข่อถามอย่างเย็นชา และรู้สึกว่าต้องยุ่งกับประเด็นนี้ตลอดทั้งคืน

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เห็นหรือไม่ว่าเจ้าไม่เคยเรียกข้าด้วยคำหวาน ๆ บ้างเลย เจ้าเรียกแค่ ‘โม่หรู่’ และ ‘โม่หรู่’ อยู่ทุกวันเหมือนพี่ชายสาม…”

“พี่โม่หรู่~” เสียงของหญิงสาวที่หวานหยาดเยิ้มจนเกือบเลี่ยนขัดจังหวะพูดของหมี่โม่หรู่ ซึ่งทำให้หัวใจของหมี่โม่หรู่รู้สึกอบอุ่น และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

“พี่โม่หรู่ พี่โม่หรู่~” ฉินปู้เข่อรู้ทันความคิดของชายหนุ่มและตามน้ำไป เพื่อชดเชยอารมณ์ของเขาในตอนนี้

ชายหนุ่มละทิ้งความต้องการจะจัดการนางไปอย่างสมบูรณ์ แล้วนอนหลับตาหนุนหมอนขณะเพลิดเพลินกับคำเรียกพิเศษนั้น

เฮ้อ เขาก็มีเหมือนกันนะ

การเปรียบเทียบที่ไร้สาระระหว่างผู้ชาย

คืนนั้นหมี่โม่หรู่เข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมดื่มด่ำกับคำเรียกใหม่ที่นางเพิ่งเรียก ยามเช้าเขาตื่นขึ้นและทิ้งจูบไว้บนใบหน้าของฉินปู้เข่อ และกระโจนออกไปนอกหน้าต่าง

หลังจากผ่านไปกว่าชั่วยาม ฉินปู้เข่อก็ตื่นขึ้นแล้วบิดขี้เกียจ เมื่อมองดูพื้นที่ว่างข้างกายนาง นางก็อดกลอกตาไม่ได้แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มที่มุมปาก

“อ่า ช่างเป็นผู้ชายที่ไร้เดียงสายิ่งนัก”

อีฮ่วยที่เข้ามาทางประตูเห็นว่านางตื่นแล้วและกำลังยกยิ้มก็เอ่ยแซวว่า “วันนี้ฮูหยินยังจะไปหานายน้อยอยู่หรือไม่เจ้าคะ ดูเหมือนว่าแม่คนนี้จะแยกจากลูกไม่ได้แม้แต่หนึ่งวัน รอยยิ้มบนริมฝีปากของฮูหยินไม่เคยหายไปเลยตั้งแต่กลับมาเมื่อวานนี้นะเจ้าคะ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินปู้เข่อกว้างขึ้น “ใช่หรือไม่ล่ะ ทุกครั้งที่ข้าเห็นเจ้าตัวเล็ก ข้าก็หลงเขายิ่งนัก และข้าอยากจะหอมและกอดเขาให้หนำใจเลย”

โชคดีที่หมี่อี้เหิงไม่ได้ห้ามฉินปู้เข่อเจอลูกจนกว่าจะถึงตอนเย็นก่อนงานฉลองพระจันทร์เต็มดวงของหมิงเอ๋อร์

หมี่โม่หรู่มาเยือนอีกครั้งและพาฉินปู้เข่อกลับไป ส่วนหมิงเอ๋อร์ก็ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง

รถม้าแล่นไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่หมี่โม่หรู่ยังคงขมวดคิ้วต่อหน้านาง

………………………………………………………………………..

[1] 黄脸婆 huáng liǎn pó หญิงแก่หน้าเหลือง เป็นคำด่าหมายถึงผู้หญิงที่ไม่น่าสนใจ หรือแก่แล้ว แล้วก็ไม่สวยแล้ว