ตอนที่ 224 คำเตือนของฟางจั๋วหราน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 224 คำเตือนของฟางจั๋วหราน

ร่องรอยแห่งชัยชนะฉายชัดในดวงตาของหวังเหวินฟาง

ถึงแม้ท้ายที่สุดฟางจั๋วหรานจะไม่ได้ลงเอยกับหวังหรงผู้เป็นหลานสาวของหล่อน แต่หล่อนก็จะไม่ละความพยายามแยกเขาออกจากหลินม่าย

หลินม่ายเป็นต้นเหตุที่ทำให้หลานชายคนเดียวอย่างหวังเฉียงต้องเข้าคุก อีกทั้งตอนนี้ครอบครัวของหวังหรงยังติดหนี้ค่าชดเชยของฟางถิงเป็นจำนวนมหาศาล เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะให้นิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร?

หลังจากทั้งสองรับประทานอาหารกลางวันเสร็จได้ไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

หวังเหวินฟางรีบเดินไปเปิดประตู เห็นว่าฟางจั๋วหรานยืนอยู่ข้างนอก

หวังเหวินฟางฉีกยิ้มกว้างทันทีราวกับไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใด ๆ ต่อกันมาก่อน “มาเร็วไม่สู้มาได้ถูกจังหวะ รีบเข้าไปกินแตงโมเย็น ๆ ก่อนเถอะ”

ฟางจั๋วหรานเปล่งเสียงตะคอกอย่างเย็นชา “คุณคงทำงานอยู่ในโรงละครสินะ ถึงได้แสดงละครตบตาได้แนบเนียนขนาดนี้”

ใบหน้าของหวังเหวินฟางร้อนเห่อขั้นมาเหมือนถูกไฟลน ยิ่งนึกเกลียดชังหลินม่ายมากขี้นไปอีก

ถึงแม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับฟางจั๋วหรานจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็พอเผชิญหน้ากันได้อย่างราบรื่น

ทว่าตอนนี้ ฟางจั๋วหรานถึงขั้นพูดจากระแทกแดกดันหล่อนโดยตรง

เมื่อครู่นี้หล่อนเพิ่งออกไปพบกับนังแพศยาคนนั้น นังนั่นคงไม่พอใจที่หล่อนไปรังควานความสุขของตัวเองจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟางจั๋วหรานฟังเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นฟางจั๋วหรานคงไม่ปฏิบัติกับหล่อนแบบนี้

ฟางจั๋วหรานพูดต่อไปด้วยสีหน้าราบเรียบ “ผมมาที่นี่ก็เพื่อเตือนว่าคุณอย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวของผมอีก อย่าคิดแยกหลินม่ายไปจากผม ถ้ายังมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก ก็อย่าได้ตำหนิว่าผมหยาบคาย!”

หวังเหวินฟางโกรธมากจนเผลอขบกรามแน่น เป็นหลินม่ายจริง ๆ ด้วย นังสารเลวนั่นสั่งให้ฟางจั๋วหรานมาหาหล่อนถึงที่เพื่อตบหน้าหล่อนเรื่องนี้

การที่หวังเหวินฟางไปพบหลินม่าย ฟางเว่ยกั๋วเองก็รับรู้เช่นกัน

ลูกชายคนโตของเขามีความสามารถและหน้าตาที่โดดเด่น ควรแต่งงานกับหญิงสาวที่มีฐานะทางสังคมเสมอกัน เพื่อที่เขาจะได้รับผลพลอยได้ด้านการเลื่อนตำแหน่ง จะปล่อยให้เขาคบหากับสาวบ้านนอกได้อย่างไร? ไม่ถือเป็นการเสียเปล่าหรอกหรือ?

เมื่อได้ยินว่าลูกชายคนโตกำลังต่อว่าหวังเหวินฟางอย่างรุนแรง ฟางเว่ยกั๋วก็อยู่ไม่สุขอีกต่อไป แค่นเสียงตำหนิอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “อย่าพูดจากับคุณป้าของแกแบบนั้น!”

ฟางจั๋วหรานเลื่อนสายตาเฉียบคมมองไปยังผู้เป็นพ่อ “แล้วพ่ออยากให้ผมคุยกับหล่อนยังไงล่ะ?”

หวังเหวินฟางรีบเข้าไปเกลี้ยกล่อมสามี “เหล่าฟางคะ นานทีปีหนจั๋วหรานจะกลับมาเยี่ยมพวกเราสักทีหนึ่ง อย่าหาเรื่องทะเลาะกับเขาเลย…”

ทันใดนั้นฟางเว่ยกั๋วจึงปรับน้ำเสียงของตัวเองให้อ่อนลง “คุณป้าทำแบบนั้นลงไป ก็เพื่อประโยชน์ของตัวแกเอง”

ฟางจั๋วหรานเย้ยหยัน “เพื่อประโยชน์ของผม? หล่อนหวังดีกับผมอย่างนั้นเหรอ? พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกตั้งแต่เมื่อไหร่? เห็นชัดว่าหล่อนทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง อย่าพูดเอาดีเข้าตัวไปหน่อยเลย!” พูดจบแล้ว เขาก็หันหลังกลับตั้งท่าเตรียมจะจากไป

ฟางเว่ยกั๋วร้องเรียกเขาไว้ “เข้ามาก่อนสิ พ่อมีเรื่องอยากคุยกับแกดี ๆ”

ฟางจั๋วหรานนึกอยากเตือนฟางเว่ยกั๋วเหมือนกันให้เขาหยุดคุกคามชีวิตส่วนตัวของหลินม่าย ดังนั้นจึงยอมเดินตามเขาไปที่ห้องทำงานแต่โดยดี

ฟางเว่ยกั๋วเหลือบมองลูกชายคนโต แววตาคมเข้มใต้หว่างคิ้วของเขาเหมือนมีเงาของผู้เป็นแม่ซ้อนทับอยู่เสมอ ทำให้เขาหวนนึกถึงรูปลักษณ์ของหล่อนที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้

แต่เมื่อเขานึกถึงสิ่งที่หล่อนทำลงไป ก็กัดฟันกรอดด้วยความชิงชัง

เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จั๋วหราน เลิกกับเสี่ยวหลินซะ”

ฟางจั๋วหรานมองหน้าเขาพลางแสดงสีหน้าเย็นชา “ทำไมครับ?”

ฟางเว่ยกั๋วนึกอยากจุดบุหรี่สูบ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลูกชายคนโตของเขาเกลียดการสูบบุหรี่ยิ่งกว่าอะไรดี จึงจำใจวางบุหรี่มวนหนึ่งที่เผลอหยิบขึ้นมาลงไปตามเดิม

“แกเป็นถึงรองศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยการแพทย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศ แต่เสี่ยวหลินเป็นแค่เด็กสาวบ้านนอก พ่อเกรงว่าหล่อนไม่มีความรู้คู่ควรพอ แน่นอนว่าต้องมีช่องว่างทางวัฒนธรรมที่ไม่สามารถข้ามผ่านได้ ถ้าแต่งงานกันแล้วจะคุยภาษาเดียวกันรู้เรื่องหรือ? ถ้ามีภูมิความรู้คนละระดับ ชีวิตแต่งงานจะราบรื่นไหม? แกกับหล่อนเกิดมาพร้อมกับภูมิหลังที่แตกต่างกัน พฤติกรรมการใช้ชีวิตย่อมสวนทางกันอย่างไม่ต้องสงสัย ยกตัวอย่างเช่น แกเป็นคนฟุ่มเฟือย แต่เสี่ยวหลินมีนิสัยประหยัด หล่อนต้องเป็นคนตระหนี่พอตัว ถ้าแต่งงานกันแล้วคงหนีความขัดแย้งยิบย่อยพวกนี้ไปไม่พ้น ต่อให้รักใคร่กลมเกลียวกันมากแค่ไหน สักวันก็ต้องเกิดปัญหา แทนที่จะรอให้เรื่องบานปลายไปถึงจุดนั้น สู้เลิกกันตั้งแต่ตอนนี้ซะยังดีกว่า เป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย”

ฟางจั๋วหรานยิ้มดูถูก “ไม่ต้องกังวลเรื่องยิบย่อยพวกนั้นแทนผม คนที่ใช้ชีวิตร่วมกันคือเราสองคน พ่อที่เป็นคนนอกจะรู้อะไร?”

ฟางเว่ยกั๋วเลียริมฝีปาก ยังพยายามพูดโน้มน้าวต่อไป “แกไม่ชอบหรงหรง พ่อก็จะไม่บังคับจิตใจแก แต่เสี่ยวหลินไม่เหมาะสมพอที่จะแต่งงานกับแกจริง ๆ พ่อยังมีเพื่อนอีกหลายคนที่มีลูกสาวอยู่ในวัยที่สมควรแก่การแต่งงาน ทำไมแกไม่ลองคบหากับพวกหล่อนดูก่อนล่ะ แล้วแกจะรู้ว่าโลกนี้ยังมีผู้หญิงอีกหลายคนที่ดีกว่าเสี่ยวหลิน แถมยังเหมาะสมคู่ควรมากกว่าหล่อน”

ฟางจั๋วหรานหัวเราะเยาะ “พวกหล่อนไม่ได้ดีไปกว่าม่ายจื่อหรอก พ่อของพวกหล่อนต่างหากที่สามารถมอบผลประโยชน์ให้กับพ่อได้ พ่อพยายามนัดแนะลูกสาวของพวกเขาให้ออกเดตกับผม ไม่ใช่เพราะพ่ออยากใช้ผมเป็นบันไดเพื่อไต่เต้าขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าเหรอ?”

เขาขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อไป “ผมไม่เข้าใจเลย ตอนนี้พ่อดำรงตำแหน่งสูงสุดของแผนกแล้วแท้ ๆ ที่พ่อประสบความสำเร็จมาถึงขั้นนี้ได้ก็เพราะอาศัยชื่อเสียงของผม ทำไมพ่อถึงยังไม่พอใจอีก? ไม่กลัวว่าการกดดันผมแบบนี้ จะทำให้ผมหมดความอดทนจนใช้เส้นสายของตัวเองบีบให้พ่อหลุดจากตำแหน่งหรือไง?”

“แก!” ฟางเว่ยกั๋วเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดออกมาด้วยความอดทน “ใช่ว่าพ่อมีอคติต่อเสี่ยวหลินหรอกนะ แต่แกเคยคิดบ้างไหมว่าทำไมหล่อนถึงได้ยอมคบหากับแก? ก็เพราะแกรวย เพราะแกมีอนาคตที่ดียังไงล่ะ ถ้าแกไม่มีคุณสมบัติพวกนี้ หล่อนจะยังคบกับแกอยู่ไหม? เด็กบ้านนอกคนนั้นคบกับแกก็เพราะหวังจะกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว”

“ไม่เป็นไร” ฟางจั๋วหรานยังคงสงบนิ่ง เขาไม่รู้สึกโกรธเคืองคำพูดเหน็บแนมของผู้เป็นพ่อแต่อย่างใด

“ในเมื่อหล่อนชอบเงินของผม ชอบในอนาคตอันก้าวหน้าของผม อย่างนั้นก็ปล่อยให้หล่อนชอบผมต่อไปเถอะ ถ้าผมเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีอะไรดี แล้วหล่อนจะชอบผมไปเพื่ออะไรกัน?”

ฟางเว่ยกั๋วถามด้วยใบหน้ามืดมน “แกคงไม่ยอมเลิกกับหล่อนดี ๆ สินะ?”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “ก็เหมือนกรณีของแม่นั่นแหละ แม่ของผมถูกฝังร่างลงดินยังไม่ทันครบสามเดือน พ่อก็แต่งงานใหม่กับหวังเหวินฟางแล้ว ตอนนั้นผมห้ามพ่อไม่ให้แต่งงานกับหวังเหวินฟางไม่ได้ ตอนนี้พ่อก็ห้ามผมไม่ให้แต่งงานกับม่ายจื่อไม่ได้เหมือนกัน!”

หลังจากที่เขาพูดในสิ่งที่ต้องการพูดไปหมดแล้ว ฟางจั๋วหรานก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง

เขาเปิดประตูห้องทำงานออกไปอย่างกะทันหัน ทำให้หวังเหวินฟางที่กำลังเงี่ยหูแอบฟังอยู่ด้านนอกเสียการทรงตัว ก้าวถอยออกมาทั้งที่ร่างกายยังซวนเซ

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองหวังเหวินฟางด้วยหางตาอย่างนึกรังเกียจและไม่แยแส ก่อนจะเดินจากไป

หวังเหวินฟางตีหน้าเศร้าเก่งทีเดียว พอเห็นฟางเว่ยกั๋วแสดงสีหน้าผิดหวังก็พูดขึ้นว่า “จั๋วหรานจำเรื่องของเราได้”

ประโยคนี้ทำให้ฟางเว่ยกั๋วเพิกเฉยต่อการที่หล่อนเสียมารยาทแอบฟัง และถ่ายทอดความโกรธทั้งหมดลงกับฟางจั๋วหราน

เขาแค่นเสียงลอดไรฟัน “ต่อให้เขาจะจำเรื่องทั้งหมดได้หรือเกลียดพวกเราก็ตาม ผมไม่มีทางยอมให้เขาคบหากับผู้หญิงบ้านนอกที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วคนนั้นแน่!”

เขาตั้งใจว่าจะบังคับให้ฟางจั๋วหรานไปเจอหน้าซูอวี้หยิง หลานสาวเพื่อนเก่าของคุณปู่ฟางที่อยู่ในแวดวงราชการระดับสูง

ตราบใดที่ฟางจั๋วหรานยอมแต่งงานกับซูอวี้หยิง เขาจะสามารถอาศัยอำนาจของตระกูลซูเพื่อไต่ระดับหน้าที่การงานเข้าสู่แวดวงราชการได้

เป้าหมายสูงสุดของเขา ไม่ใช่แค่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำระดับสูงในองค์กรขนาดใหญ่ของรัฐเท่านั้น แต่จะต้องเติบโตอย่างมั่นคงจนมีอำนาจเหนือวงราชการ

หวังเหวินฟางพูดพลางขมวดคิ้ว “จั๋วหรานจะยอมฟังคุณเหรอ ถ้าคุณเข้าไปวุ่นวายชีวิตส่วนตัวของเขา ไม่กลัวว่าเขาจะหาทางจัดการกับคุณภายหลังหรือยังไง? เด็กคนนั้นโหดเหี้ยมมากกว่าที่เราคิดนะคะ”

สิ่งที่ฟางเว่ยกั๋วเกลียดที่สุดคือความโหดเหี้ยมไม่ไว้หน้าใครของลูกชายคนโต

เขาแค่นเสียงเย็นชา “เขาไม่ฟังผมก็ช่าง แต่เขาจะไม่ยอมฟังปู่กับย่าของเขาเชียวหรือ? ผมจะไปขอให้พ่อกับแม่ยื่นคำขาดให้เขาเลิกกับผู้หญิงม่ายคนนั้น ดูซิว่าเขายังจะกล้าขัดคำสั่งอยู่ไหม?”

หวังเหวินฟางลังเล “ตอนวันปีใหม่ ฉันเห็นว่าเสี่ยวหลินคอยดูแลคุณพ่อกับคุณแม่เป็นอย่างดี เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาคงดีมาก พวกเขาคงไม่ยอมจับหล่อนแยกจากจั๋วหรานแน่…”

ฟางเว่ยกั๋วเหยียดยิ้ม “แล้วถ้าผมทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสั่นคลอนล่ะ? พ่อแม่ของผมเติบโตมาจากตระกูลนักวิชาการ ได้รับการศึกษาที่ดี ถูกปลูกฝังเรื่องชนชั้นมาตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาจะทนเห็นจั๋วหรานแต่งงานกับผู้หญิงที่มีมลทินได้อย่างไร?”

หวังเหวินฟางเตือนว่า “ในเมื่อคุณตั้งใจไว้แล้ว ถ้าอย่างนั้นคงต้องรีบจัดการหน่อย ผู้หญิงม่ายแซ่หลินคนนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ ฉันกลัวว่าถ้าคุณลงมือช้าเกินไป คงไม่อาจขวางทางเรือของจั๋วหรานเอาไว้ได้ ดีไม่ดีเขาอาจย้อนกลับมาทำลายเราในภายหลัง”

“วันพรุ่งนี้ผมจะกลับเมืองซื่อเหม่ยไปเยี่ยมพ่อแม่เพื่อจัดการปัญหานี้”

ว่าแล้วฟางเว่ยกั๋วก็จุดบุหรี่มวนที่สองเพื่อสูบ พูดว่า “ไปหยิบสมุดบัญชีเงินฝากออกมาให้ผมหน่อย”

หัวใจของหวังเหวินฟางแทบหยุดเต้น “คุณจะเอาสมุดบัญชีไปทำไมคะ?”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ดูท่าแผนจะสะดุดก็เพราะยอดเงินเจ้าปัญหาในสมุดบัญชีนี่แหละค่ะ ๕๕๕ ก่อนได้ไปเยี่ยมปู่ย่าฟางคงได้ทะเลาะกันเองก่อน

ไหหม่า(海馬)