ตอนที่ 225 พ่อเฒ่าเฮ่อแวะมาเยี่ยม
ฟางเว่ยกั๋วถอนหายใจเบา ๆ “หรงหรงหลานสาวตัวดีของคุณกระทำความผิดโดยประมาท ทำให้ถิงถิงตกที่นั่งลำบากมาก พ่อของหล่อนจึงอยากเปิดร้านขายเสื้อผ้าให้ เลยมาขอหยิบยืมเงินจากผมสักห้าพันหยวน ผมว่าจะถอนเงินห้าพันหยวนจากบัญชีเงินฝากแล้วมอบให้เขา”
หวังเหวินฟางทำท่าไม่พอใจ “ครอบครัวของเขาได้รับเงินชดเชยจากครอบครัวพี่ชายฉันไปตั้งสองหมื่นหยวนไม่ใช่หรือคะ ทำไมถึงยังกล้าแบกหน้ามาขอยืมเงินคุณอีก?”
ใบหน้าของฟางเว่ยกั๋วมืดมนลง “เป็นเพราะผมยอมเข้าข้างญาติของคุณ ผมจึงทำผิดต่อครอบครัวของเว่ยตั่ง แล้วจะไม่ให้ผมชดเชยความผิดนั้นด้วยเงินแค่ห้าพันหยวนเชียวหรือ?”
หวังเหวินฟางไม่กล้ามอบสมุดบัญชีให้กับเขา “เดี๋ยวช่วงบ่ายฉันจะออกไปถอนเงินมาให้คุณเองค่ะ”
ฟางเว่ยกั๋วขมวดคิ้ว “ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากด้วย ธนาคารตั้งอยู่ข้างที่ทำงานของผมแท้ ๆ ให้ผมออกไปถอนเงินด้วยตัวเองไม่สะดวกกว่าหรือ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันรับผิดชอบหน้าที่นี้เอง การถอนเงินไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเสียหน่อย!”
เมื่อเห็นว่าหวังเหวินฟางพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ส่งสมุดบัญชีเงินฝากให้กับเขา ฟางเว่ยกั๋วก็เริ่มเกิดความสงสัย “ทำไมคุณถึงไม่ยอมส่งสมุดบัญชีให้ผมดี ๆ อย่าบอกนะว่าคุณแอบถอนเงินไปให้พี่ชายของตัวเอง?”
“ไม่ใช่นะคะ จะเป็นไปได้ยังไง!” หวังเหวินฟางพยายามสงบสติอารมณ์ “ฉันแค่อยากทำอะไรให้คุณเท่านั้นเอง”
“เอาสมุดบัญชีมาให้ผม!” ฟางเว่ยกั๋วเริ่มขึ้นเสียง
หวังเหวินฟางยังคงยืนนิ่ง
ฟางเว่ยกั๋วส่งเสียงตะคอกอีกครั้ง “ส่งสมุดบัญชีมาให้ผมเดี๋ยวนี้!”
เนื่องจากท่าทางของเขาดูดุร้ายเกินไป หวังเหวินฟางไม่อาจทนรับแรงกดดันจากเขาได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหยิบสมุดบัญชีเงินฝากออกมา แล้วค่อย ๆ ยื่นออกไปตรงหน้าฟางเว่ยกั๋ว
ฟางเว่ยกั๋วรีบคว้ามาเปิดดู เมื่อเห็นว่าเมื่อไม่นานมานี้มีรายการถอนเงินจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นโกรธจัด
เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณถอนเงินออกไปทำไม?”
เมื่อหวังเหวินฟางเห็นว่าความผิดของตัวเองถูกเปิดโปง หล่อนก็คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับตีอกชกหัว พูดทั้ง ๆ ที่น้ำตารินไหลอาบแก้ม
“เหล่าฟางคะ เรื่องนี้คุณตำหนิฉันไม่ได้ ครอบครัวน้องรองของคุณกดดันครอบครัวของพี่ชายฉันมากเกินไป ฉันเองก็หมดทางเลือก ถึงได้ถอนเงินหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนออกไปเพื่อช่วยเหลือพี่ชายเป็นกรณีฉุกเฉิน คุณต้องยกโทษให้ฉันนะคะ”
“ครอบครัวน้องรองของผมกดดันครอบครัวพี่ชายคุณมากเกินไปงั้นเหรอ? ทำไมคุณไม่หัดบอกให้พวกเขายอมรับความจริงเสียบ้าง?”
ฟางเว่ยกั๋วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความโกรธ ก่อนจะพูดต่อ “เงินที่พี่ชายคุณยืมไปไม่ใช่น้อย ๆ คุณได้ขอให้พวกเขาเขียนสัญญาชำระหนี้หรือเปล่า? แล้วพวกเขาจะหามาจ่ายคืนเมื่อไหร่?”
หวังเหวินฟางยังคงก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่ยอมตอบคำถามของเขา
ฟางเว่ยกั๋วพูดต่อไปอย่างเย็นชา “เอาสมุดบัญชีเงินเดือน และสมุดบัญชีรายการต่าง ๆ ในบ้านออกมาให้ผมซะ!”
หวังเหวินฟางเงยหน้าขึ้น ก่อนจะถามทั้งน้ำตา “คุณจะเอาสมุดบัญชีพวกนั้นไปทำไมคะ?”
ฟางเว่ยกั๋วอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาอุตส่าห์เลี้ยงดูปูเสื่อภรรยาคนนี้เป็นอย่างดี ไม่คาดคิดว่าท้ายที่สุดหล่อนจะทำตัวเป็นสุนัขเลี้ยงไม่เชื่อง เขาวาดขาเตะหวังเหวินฟางจนหล่อนล้มลงไปกองกับพื้น
“ผมอยากได้สมุดบัญชีของผมคืน คุณไม่มีสิทธิ์ถามหรือทำตัวราวกับตัวเองเป็นเจ้าของ!”
เขาเดินเข้าไปในห้อง ค้นตามกล่อง ลิ้นชัก และตู้ต่าง ๆ จนกระทั่งเจอสมุดบัญชีทุกรายการที่ถูกเก็บซ่อนไว้ จึงยัดพวกมันใส่ลงในกระเป๋า แล้วหยิบสมุดบัญชีเงินฝากเดินออกจากบ้านไป
หวังเหวินฟางกุมหน้าท้องที่ถูกเตะเข้าอย่างจัง เอาแต่ขดตัวนอนอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวด แต่หัวใจของหล่อนกลับรวดร้าวยิ่งกว่า
หลังจากแต่งงานกันมาหลายปี ฟางเว่ยกั๋วไม่เคยทำร้ายร่างกายหล่อนแม้สักครั้ง แต่ตอนนี้เขากลับเตะหล่อนเพราะเรื่องเงิน!
ความโหดเหี้ยมของเขานั้นไม่ต่างอะไรจากตอนที่เขาทรมานแม่ของฟางจั๋วหรานในอดีต เพื่อที่หล่อนจะได้ตายเร็วขึ้น ทั้งไร้หัวใจและไร้มนุษยธรรม!
…….
หลินม่ายตื่นจากการงีบหลับในตอนเที่ยง เธอลุกขึ้นมาทำแบบทดสอบ ขณะนั้นเองโต้วโต้วก็เดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับข้าวโพดฝักเล็กในมือน้อย ๆ ทั้งสองข้าง
หล่อนส่งข้าวโพดฝักที่ยังไม่ได้แทะให้หลินม่าย “แม่จ๋า กินสิ”
ถึงแม้หลินม่ายจะเติบโตขึ้นในสังคมชนบท แต่เธอก็ชอบกินข้าวโพดมาก
เธอรับมันมากัดไปคำหนึ่ง ถึงแม้ว่าข้าวโพดนึ่งจะไม่มีความหอมเท่ากับข้าวโพดย่าง แต่ก็ยังมีรสชาติที่อร่อยไม่แพ้กัน
เธอถามเด็กหญิงตัวน้อย “ลูกไปเอาฝักข้าวโพดมาจากไหน?”
โต้วโต้วนั่งลงด้านข้าง ก่อนจะแทะข้าวโพดอีกฝักหนึ่งด้วยความเอร็ดอร่อยไปพลาง ๆ “ป้าอวิ๋นให้มาค่ะ”
หลินม่ายรีบวิ่งลงมาชั้นล่างทันที ถามโจวฉายอวิ๋นว่า “พี่เอาฝักข้าวโพดพวกนั้นมาจากไหนเหรอ?”
“ตอนที่ลุงฉีมาส่งผักเขาเอาติดมือมาฝากเราด้วยสองสามฝักน่ะ ทำไมหรือ?” โจวฉายอวิ๋นมองเธออย่างงงงวย
“เปล่าหรอก” หลินม่ายแทะข้าวโพดในมือ “ฉันว่าจะซื้อฝักข้าวโพดมาอบขายช่วงกลางคืนน่ะ”
โจวฉายอวิ๋นนึกสงสัย “จะมีใครสนใจซื้อเหรอ?”
ในชนบท ข้าวโพดถือเป็นธัญพืชเบ็ดเตล็ด ชาวบ้านไม่นิยมกินเท่าไรนัก นับประสาอะไรกับการจ่ายเงินเพื่อซื้อมัน
“คนที่ชอบกินมีถมเถไป”
ภพชาติก่อนหลินม่ายอาศัยอยู่ที่เจียงเฉิงมานานหลายสิบปี เธอรู้ดีว่าชาวเมืองเจียงเฉิงชอบกินอะไร
ข้าวโพดย่าง มันเทศเผา ถั่วลิสงต้มเครื่องเทศ… ของว่างพวกนี้เป็นสิ่งที่มีขายกันทั่วไปในท้องตลาด
“พี่รู้ไหมว่าที่บ้านของลุงฉีเขาปลูกข้าวโพดไว้เยอะหรือเปล่า?” หลินม่ายถาม
โจวฉายอวิ่นตอบพลางส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ฉันไม่ทันได้ถาม”
หลังจากหลินม่ายแทะข้าวโพดจนเหลือแต่ซังแล้ว เธอก็ถีบรถสามล้อออกไปที่บ้านของลุงฉี เพื่อขอซื้อข้าวโพดไปขาย
แต่เมื่อคุยไปคุยมา ลุงฉีบอกว่าบ้านของเขาปลูกข้าวโพดไว้กินเองแค่สิบกว่าต้นเท่านั้น จึงไม่คิดขายให้กับเธอ
หลินม่าย “แล้วมีใครในหมู่บ้านของคุณลุงที่ปลูกข้าวโพดจำนวนเยอะ ๆ อีกไหมคะ?”
ลุงฉีส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว ใครบ้างจะแบ่งพื้นที่สำหรับทำนาไปปลูกข้าวโพด? กว่ามันจะเจริญเติบโตก็ใช้เวลานานมาก แถมยังขายแลกเงินไม่ได้อีก ใครบ้างจะอยากปลูกพืชที่ทำเงินไม่ได้?”
หลินม่ายจึงกลับมาที่ร้านโดยที่ไม่บรรลุข้อตกลง
ระหว่างนั้นก็คิดในใจ หากหาซื้อข้าวโพดในเมืองไม่ได้ อย่างนั้นคงต้องกลับชนบทเพื่อไปรับซื้อข้าวโพดเสียแล้ว
ทันใดนั้นเธอก็คิดถึงสภาพอากาศที่ร้อนจัด คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต้องผ่านหน้าร้อนไปอย่างยากลำบากมากแน่ ๆ
ดังนั้นเธอจึงวางแผนว่าจะแวะไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อพัดลมตั้งพื้นสักตัว รวมถึงอาหารเสริมอีกหลายอย่าง เพราะวันพรุ่งนี้จะได้กลับไปเยี่ยมเยียนคุณปู่ฟางกับภรรยาของเขา
หลินม่ายถีบรถสามล้อกลับเข้าไปในลานหลังบ้าน
โจวฉายอวิ๋นได้ยินหลินม่ายร้องเรียกอยู่ที่นอกประตู ก็รีบเดินออกมาเปิดประตูลานบ้านให้เธอเข้าไป
ขณะนั้นก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พ่อเฒ่าเฮ่อแวะมาหา”
หลินม่ายตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “เขามาทำอะไรที่นี่? อย่าบอกนะว่ามาทวงบ้านคืนอีกคน?”
โจวฉายอวิ๋นส่ายหน้า “เขาไม่ได้พูดอะไรเลย บอกแค่ว่าอยากเจอเธอ”
หลินม่ายเข็นรถสามล้อเข้าไปจอดในลานหลังบ้าน แล้วขอให้โจวฉายอวิ๋นช่วยขนของที่เธอซื้อมาขึ้นไปเก็บไว้ชั้นบน จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้าน
พ่อเฒ่าเฮ่อนั่งอยู่ภายในร้านด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย พอไม่มีอะไรทำก็เอาแต่กระดกน้ำอัดลมขึ้นดื่มขวดแล้วขวดเล่า
ทันทีที่เห็นหลินม่ายเดินเข้ามา เขาก็ส่งยิ้มให้อย่างไม่สบายใจ “เสี่ยวหลิน ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ”
หลินม่ายยิ้มตอบ “ฉันเองก็มีเรื่องบางอย่างอยากจะบอกคุณเหมือนกันค่ะ”
ว่าแล้วเธอก็เชื้อเชิญเขาให้ขึ้นไปบนห้องนั่งเล่นขนาดเล็ก
ทันทีที่ทั้งสองหย่อนก้นลงนั่ง หลินม่ายก็ถามอย่างตรงไปตรงมา “ตอนเที่ยงลูกชายของคุณมาที่นี่ โวยวายจะยึดบ้านหลังนี้คืน นั่นเป็นความต้องการส่วนตัวของเขาหรือของคุณกันคะ?”
พ่อเฒ่าเฮ่อเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวที่มุมปาก “แน่นอนว่านั่นเป็นความต้องการของลูกชายฉันแค่คนเดียว ฉันมาที่นี่ก็เพื่อย้ำเตือนว่าบ้านหลังนี้เป็นของฉัน และคนที่ตกลงเซ็นสัญญาเช่ากับเธอก็คือฉันเช่นกัน ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องสนใจไอ้ลูกไม่รักดีคนนั้น”
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ว่าฉันอยากให้ความสนใจกับลูกชายของคุณมากมายนักหรอกค่ะ แต่ถ้าเขาคอยแวะเวียนมาสร้างปัญหาให้กับฉันบ่อยครั้งเข้า ฉันจะทำธุรกิจด้วยความสบายใจได้อย่างไร? ใครจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องรายได้ที่เสียไป?”
สีหน้าของพ่อเฒ่าเฮ่อแข็งค้างไปเล็กน้อย “ฉัน ฉันจะกลับไปตักเตือนลูกชายให้ดี ไม่ให้เขามาสร้างปัญหาให้กับเธอ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณพ่อเฒ่าเฮ่อมาก ๆ เลยค่ะ”
หลังจากขอบคุณเขาแล้ว หลินม่ายก็เปลี่ยนเรื่อง “แต่ฉันขอเตือนไว้ก่อนเลยนะคะ ถ้าในอนาคตลูกชายของคุณยังมาสร้างปัญหาให้กับร้านของฉันอีก ฉันจะแจ้งตำรวจให้มาจับเขาทันที ตอนนี้อยู่ในช่วงบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด การส่งเขาเข้าคุกไม่ใช่เรื่องยาก”
สีหน้าของพ่อเฒ่าเฮ่อดูย่ำแย่ผิดธรรมชาติกว่าเดิมเสียอีก เขาพูดย้ำหลายครั้งติดต่อกัน “ฉันจะห้ามปรามลูกชายฉันอย่างแน่นอน เธออย่ากังวลไปเลย” หลังจากนั้นเขาก็ลุกยืนขึ้นแล้วขอตัวลา
หลินม่ายไม่รั้งตัวเขาไว้
ทันทีที่พ่อเฒ่าเฮ่อจากไป โจวฉายอวิ๋นก็กระซิบถามหลินม่ายเสียงแผ่ว “พ่อเฒ่าเฮ่อพูดอะไรกับเธอบ้าง?”
หลินม่ายจึงถ่ายทอดทุกประโยคที่พ่อเฒ่าเฮ่อพูดให้เธอฟัง
โจวฉายอวิ๋นพยักหน้าหงึกหงัก “อย่างน้อยพ่อเฒ่าเฮ่อก็ยังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ยินดีปกป้องผลประโยชน์ของเธอ มีเขาอยู่ทั้งคน เฮ่อเชิ่งคงไม่กล้ามาสร้างปัญหาอีก”
แต่หลินม่ายกลับไม่เห็นด้วย ถ้าคนอย่างพ่อเฒ่าเฮ่อสามารถควบคุมลูกชายให้อยู่ในลู่ในทางได้จริง ลูกชายของเขาคงไม่เที่ยวเตร่อย่างเกียจคร้านเป็นเวลาหลายปีแบบนี้
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นั่นไง เดาผิดที่ไหน ถอนเงินลับหลังสามีขนาดนั้นจะไม่เป็นเรื่องได้ไง
ลูกบางคนพ่อแม่สอนแล้วแต่มันไม่จำเองค่ะ
ไหหม่า(海馬)