ลู่เฟิง วางแผนที่จะให้ ชูฉี เป็นสาวใช้ของเขา เขาค่อนข้างสนใจร่างวิญญาณม่วงของเธอเล็กน้อย แต่มันไม่ใช่สำหรับเขา เขาแค่อยากรู้ว่ามันช่วยให้ผู้คนฝึกฝนได้อย่างไร ประการที่สอง มีสาวใช้หน้าตาไม่เลวติดตามก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไร

สตรีคนแรกในชีวิตนี้ของเขา เขาจะทิ้งมันไปได้อย่างไร

ลู่เฟิงไม่สามารถทำอย่างนั้นได้

ชูฉีได้กัดฟันแน่นและนิ่งเนีย

ลู่เฟิง ลุกขึ้นด้วยร่างกายเปลือยเปล่าและพูดว่า”ใส่เสื้อผ้าให้ข้า แล้วเจ้า เจ้าต้องแต่งตัวให้ดูเหมือนสาวใช้!”

“ท่าน…เมื่อคืนท่านทำร้ายร่างกายของข้าแล้วคิดว่าข้าจะปรนณิบัติท่านอย่างงั้นเหรอ?”ชูฉี กล่าวพูดอย่างขมขื่น

“อย่าได้มาเสแสร้งกับข้า เมื่อคืนที่ผ่านมาแม้ว่าจะเป็นราตรีที่ไม่นานนักแต่ข้าก็รู้ว่าอาการเจ็บของเจ้าทุเลาลงแล้ว จะมีก็แต่ไฟแค้นในใจของเจ้าที่ยังโหมกระหน่ำไม่หยุด”ลู่เฟิงตอบกลับ

ตอนนี้ ใบหน้าของ ชูฉี แดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเพราะเธอโกหกจนหน้าแดงหรือว่าเธอกำลังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

เธอลุกขึ้นและสวมใส่เสื้อผ้าของตนเองก่อนที่จะแต่งตัวให้ ลู่เฟิง

ลู่เฟิงได้สวมเสื้อคลุมลายมังกร จากนั้นก็มองไปที่ ชูฉี สาวใช้ของเขา”ทำได้ดีมาก”

“ข้าจะให้เวลาอิสระเจ้าวันนี้ พรุ่งนี้เจ้าต้องติดตามข้าทุกย่างก้าว”

หลังจากพูดจบเขาก็หันหลังจากไป

เขาไม่กังวลว่า ชูฉี จะฆ่าตัวตาย เพราะ แม่ของเธอยังอยู่ในมือของเขา

แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะดูน่ารังเกียจไปหน่อย แต่เขาก็หาได้สนใจ

ชูฉี มองไปที่ ลู่เฟิงด้วยสายตาซับว้อน

เธอรู้สึกว่าต่อไปนี้ชะตากรรมของเธอได้เชื่อมโยงกับผู้ชายคนนี้โดยสมบูรณ์และไม่สามารถแยกออกจากกันได้

เมื่อคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่พ่อของเธอปราถนาที่จะยึดครองอาณาจักรหนานหยานและเปิดดินแดนให้กับอาณาจักรซีหยาง ทำให้เธอรู้สึกเสียใจขึ้นมา

กองกำลัง 1.3 ล้านคนที่ส่งไปก่อนหน้านี้ได้สูญหาย หลังจากนั้นก็ถึงคราวล่มสลายของเมืองหยุนไห่ และ เมืองหลวง จากนั้นทั้งอาณาจักรซีหยางก็พ่ายแพ้

ทั้งหมดเป็นเพราะบิดาของเขา

และ เมื่อเธอคิดว่า ก่อนหน้านี้ บิดาของเธอทำทุกอย่างเพื่อที่จะขายร่างวิญญาณม่วงให้กับนิกายดาบวิญญาณ เป็นสินค้าแลกเปลี่ยนแลกกับการได้รับการปกป้องจากนิกายดาบวิญญาณ ชูฉี ได้ยิ้มอย่างขมขื่น

จากนั้นเธอก็รู้ว่า สิ่งที่เรียกว่าองค์หญิงแห่งอาณาจักรนั้นเป็นเพียงสิ่งของแลกเปลี่ยนเท่านั้น

“ลู่เฟิง จะคิดว่าข้าเป็นเพียงสินค้าแลกเปลี่ยนหรือไม่?”ชูฉี ได้พูดกระซิบออกมา

ชูฉี ไม่รู้ธรรมเนียมของอาณาจักรหนานหยาน เธอหวังว่า ลู่เฟิงจะไม่ใช่คนแบบนั้น

และสำหรับแม่ของเธอ เธอก็หวังว่านางจะปลอดภัย

“ฝ่าบาทประตูทิศเหนือ แม่ทัพเมิ่งเถียน ได้นำทัพไปจัดการตระกูลหนิงผู้พิทักษ์ประตูทิศเหนือ แต่ทว่า ตระกูลหนิง เป็นตระกูลของอดีตราชานีแห่งอาณาจักรซีหยาง หนิงหยุนเอ๋อ แม่ทัพ เมิ่งเถียนไม่รู้จะจัดการอย่างไร จึงส่งข้าน้อยมารายงานต่อพระองค์”

เมื่อ ลู่เฟิง เดินออกมา ก็มีคนมารายงานเขา

แม่ทัพเมิ่งเถียน ได้จัดการงานอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ประตูทางเหนือก็ได้ถูกยึดไปแล้ว

เมื่อประตูทางเหนือถูกยึด อีกสองประตูก็ยอมจำนนและส่งมอบกองกำลังของพวกเขา

ตอนนี้เมืองหลิงหยางทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การควบคุมของลู่เฟิง

ไม่สามารถจัดการกับตระกูลหนิงได้?

ลู่เฟิงได้ครุ่นคิดเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ เมื่อวาน ชูฉี ได้เข้ามาปรนณิบัติเขา เรื่องนี้ แม่ทัพเมิ่งเถียน ต้องรู้อย่างแน่นอน

หนิงหยุนเอ๋อร์ และ ชูฉี เป็นแม่ลูกกัน ดังนั้น ตระกูลหนิง ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของเธอ ไม่เเปลกใจที่เมิ่งเถียน จะพบว่ามันยากที่จะจัดการ

บางที เขาอาจกังวลว่า ชูฉี จะกลายเป็นนางสนมของเขา ดังนั้น ตระกูลหนิง ก็เท่ากับกลายเป็นญาติของราชวงศ์

ดังนั้นเมิ่งเถียนจึงตัดสินใจได้ยาก

เพราะอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพระสนมของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ

แต่ทว่า เมิ่งเถียน กลับคิดมากไป ตอนนี้ ลู่เฟิง ไม่มีแผนที่จะแต่งตั้ง ชูฉี เป็นนางสนมของเขา อย่างน้อยก็ต้องจนกว่าเขาจะแต่งกับ มู่หลาน เสียก่อน

“ส่งผ่านคำสั่งของข้าไป ให้ฆ่าตระกูลขุนนางที่ต่อต้านทั้งหมดหากยอมจำนนก็ให้คุมตัวไว้ก่อน”ลู่เฟิงได้สั่งการ

“ข้าน้อยรับคำสั่ง”ทหารคนนี้ได้ตอบกลับ

“ฝ่าบาท อดีต ราชินีแห่งอาณาจักรซีหยาง หนิงหยุนเอ๋อร์ ได้มาขอเข้าเฝ้าพระองค์”

ก่อนที่ทหารคนนี้จะเดินออกไป ก็มีคนมาแจ้งเรื่องนี้กับลู่เฟิง

“ดูเหมือนว่าตระกูลหนิงจะมีความสามารถไม่ธรรมดาไม่งั้น หนิงหยุนเอ๋อร์ คงไม่ได้ข่าวเร็วขนาดนี้”ลู่เฟิงยิ้มและมองไปที่ทหารคนนี้”ปล่อยให้เมิ่งเถียนดูแลควบคุมตระกูลหนิงทั้งหมด ใครกล้าขัดขืน ฆ่าให้หมด!”

“ขอรับ!”

หลังจากเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ลู่เฟิง ก็มองไปที่นายทหารที่แจ้งเขา”ให้ หนิงหยุนเอ๋อร์ ไปพบข้าที่ห้องศึกษา”

“ขอรับ!”

ลู่เฟิง ไปที่ห้องศึกษาของชูจิน และนั่งบนเก้าอี้รอให้ หนิงหยุนเอ๋อร์ มาถึง

ไม่นาน หนิงหยุนเอ๋อร์ มาก็ถึง

เธอมองไปที่ ลู่เฟิง บนเก้าอี้ลายมังกรด้วยสายตาที่ซับซ้อน

ก่อนหน้านี้เก้าอี้ตัวนั้นควรจะเป็นพระสวามีของเธอเป็นคนนั่งแต่ตอนนี้มันกลับเป็นเด็กชายอายุน้อยกว่าสิบเจ็ดปี

สำหรับเด็กหนุ่มที่ดุร้ายและนำทัพชนะศึกคนนี้ เธอค่อนข้างหวั่นเกรงอย่างมาก

หนิงหยุนเอ๋อร์ ได้วางความกลัวทั้งหมดลง

เพราะเธอรู้สึกเสียใจตั้งแต่เมื่อวานตอนที่ ชูจิน เต็มใจที่จะขายเธอเพื่อเอาชีวิตรอดเห็นได้ชัดว่านี่ทำให้เธอรู้สึกผิดหวังมาก

ความผิดหวังเหล่านั้นแน่นอนว่ามันคงอยู่ไม่นานเพราะชูจินได้ถูกประหารไปแล้ว เด็กหนุ่มตรงหน้าของเขาคือจักรพรรดิที่เด็ดเดี่ยวและไร้ความปรานีที่สุด

ถ้า ลู่เฟิง รู้ว่าตอนนี้ หนิงหยุนเอ๋อร์ กำลังคิดอะไรอยู่ เขาคงจะหัวเราะออกมาอย่างแน่นอน

เพราะเขาหาได้สนใจสิ่งเหล่านั้นไม่

“หนิงหยุนเอ๋อร์ ถวายบังคมฝ่าบาท”หนิงหยุนเอ๋อร์ ได้คุกเข่าลงพื้นและคำนับ

ลู่เฟิง มองไปที่ หนิงหยุนเอ๋อร์ และยิ้มจาง ๆ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการชงชาชั้นหนึ่ง ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว ทำไมไม่ไปเตรียมชาให้ข้าสักถ้วยล่ะ?”

“หม่อมฉันหาได้มีความสามารถมากขนาดนั้น ฝ่าบาทคงได้ยินข่าวลืมมาผิด ๆ แล้ว”หนิงหยุนเอ๋อร์ได้พูดออกมา

เธอสามารถชงชาได้แต่เธอไม่ต้องการทำให้ ลู่เฟิง

“งั้นเหรอ น่าเสียดาย!”

ลู่เฟิงสั่นศีรษธออกมา”หากเจ้าชงชาดี ๆ มาให้ข้า ข้าคงจะปล่อยตระกูลหนิงของเจ้าไป แต่เจ้าไม่ทำเช่นนั้นก็น่าเสียดาย”

สีหน้าของ หนิงหยุนเอ๋อร์ ได้เปลี่ยนไปเธอพูดอย่างกังวล”ฝ่าบาท หม่อมฉันสามารถชงชาได้เพคะ!”

“ตอนนี้รู้วิธีชงชาแล้วงั้นเหรอ?”ลู่เฟิงหัวเราะเบา ๆ “ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าข้าได้ยินข่าวลือมาผิด ๆ ทำไมภายในเวลาไม่ถึงห้าวินาที เจ้าสามารถชงชาได้แล้ว นี่นับว่าเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งหรือไม่ ? หรือว่าแท้จริงแล้วก่อนหน้านี้เจ้ากล้าหลอกลวงข้ากัน?”

“หม่อมฉัน…”

หนิงหยุนเอ๋อ ได้กัดฟันแน่นและตอบกลับ”หม่อมฉันผิดไปแล้ว”

“ความผิดฐานหลอกลวงจักรพรรดิ มีโทษสังหารทั้งตระกูล ก่อนหน้านี้ เจ้ากล้าโกหกข้า เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะทำลายตระกูลของเจ้างั้นหรือ?”ลู่เฟิงตอบกลับเบา ๆ

“หม่อมฉันยินดีชดใช้ด้วยทุกอย่างขอเพียงพระองค์ไว้ชีวิตตระกูลของหม่อมฉัน!”

หนิงหยุนเอ๋อร์ ได้ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“ชดใช้ด้วยทุกอย่าง?”ลู่เฟิง จ้องมองไปที่ หนิงหยุนเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม”เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าจ่ายไหว?”