บทที่ 159 ไปเดินซื้อของ
หยู่เหวินเห้าไม่ได้สังเกตเห็นนางใจลอย เพียงแค่พลิกตัวทับขึ้นไป พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถควบคุมได้ นี่เป็นโชคชะตาระหว่างเรากับลูก”
ม่านถูกดึงลง สะบัดชายแขนเสื้อแล้วเทียนไขก็ดับ
“วันนี้พักผ่อนได้ไหม?”ได้ยินเพียงเสียงขอร้องของหยวนชิงหลิง
“อีกสองปีค่อยพัก”หยู่เหวินเห้าทาบริมฝีปากลงไป ไม่ปล่อยโอกาสให้นางได้เปิดปากพูด
กลิ่นกรุ่นคลุ้งไปทั่วห้อง
เช้าวันรุ่งขึ้น อ๋องซุนสองสามีภรรยามาเป็นแขกที่จวนอ๋อง
หยู่เหวินเห้าทำงานราชการเสร็จก็กลับมาแล้ว กำลังคุยอยู่กับอ๋องซุนที่เรือนด้านข้าง ส่วนหยวนชิงหลิงกับพระชายาอ๋องซุนเดินเล่นอยู่ในสวน
พระชายาอ๋องซุนมีท่าทีหนักอกหนักใจ
“พี่สะใภ้รองเป็นอะไรหรือ?”หยวนชิงหลิงถามขึ้น พร้อมยื่นมือตีหลังหนึ่งที อย่างรู้สึกปวดเมื่อย
“ไม่เป็นไร” พระชายาอ๋องซุนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองดูนางและพูดขึ้นว่า “เอวของเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? เห็นทุบนวดอยู่บ่อยครั้งทำไม?”
“ไม่เป็นไร”หยวนชิงหลิงชักมือกลับ ตอบนางกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนกัน
พระชายาอ๋องซุนหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “เอาเถอะ แบบนี้ใครไม่เคยผ่านมาบ้าง”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างโศกเศร้าว่า “พี่สะใภ้รองคิดมากไปแล้ว ข้าแค่เหนื่อย”
“เข้าใจ”พระชายาอ๋องซุนพูด พร้อมชี้ไปที่เก้าอี้หินตรงหน้า และพูดว่า “นั่งสักครู่เถอะ ไม่อยากเดินแล้ว เดินไม่ไหวแล้ว”หยวนชิงหลิงเดินไปเป็นเพื่อน นาง
หลังจากนั่งลงแล้ว พระชายาอ๋องซุนก็ถามหยวนชิงหลิงว่า “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ เจ้าไม่ให้เจ้าห้าสู่ขอฉู่หมิงหยาง”
ไม่เป็นธรรมเลยจริงๆ
“ใช่ ข้าไม่ให้เขาสู่ขอ”
พระชายาอ๋องซุนอึ้ง มองดูนางพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”
หยวนชิงหลิงคิดถึงก่อนหน้านี้เคยได้ยินว่าพระชายาอ๋องซุน จัดการช่วยตามสนมให้กับอ๋องซุน จึงพูดขึ้นว่า “ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครจะอยากแบ่งสามีให้กับผู้หญิงคนอื่น?”
“ล้วนเป็นแบบนี้กันอยู่แล้ว”พระชายาอ๋องซุนพูดพึมพำ
“แต่ข้าไม่ยินยอม”
พระชายาอ๋องซุนมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ยินยอมแล้วมีประโยชน์อะไร? เจ้าไม่ยินยอม ก็จะมีคนช่วยหาให้กับเขา ตนเองหาให้ด้วยตนเองไม่ดีกว่าหรือ”
หยวนชิงหลิงมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ดังนั้น เจ้าจะตามสนมให้กับท่านพี่รองหรือ?”
พระชายาอ๋องซุนพยักหัวยอมรับ พร้อมพูดขึ้นว่า “กำลังมองหาดูอยู่”
นางถอนหายใจขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าอภิเษกเข้าจวนอ๋องซุนมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีลูกชาย หากเป็นคนอื่น คงมีสนมให้กอดซ้ายโอบขวาสามสี่คนแล้ว”
หยวนชิงหลิงจำได้ว่าพระชายาอ๋องซุนมีเพียงลูกสาว
“ท่านพี่รองต้องการหรือ?”หยวนชิงหลิงถามขึ้น
พระชายาอ๋องซุนส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “เปล่า”
นางมองดูหยวนชิงหลิง พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ยินมาว่า ตอนนี้ฮ่องเต้ดูว่าท่านอ๋องคนไหนมีลูกชายก่อนก็จะแต่งตั้งให้เป็นองค์ชายรัชทายาท ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแน่ มีท่านอ๋องมากมายขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีใครมีลูกชายสักคน”
หยวนชิงหลิงคิดถึงคำพูดของฮ่องเต้ สิ่งที่พระชายาอ๋องซุนพูด น่าจะมีความเป็นไปได้ตามที่ฮ่องเต้คิดจริงๆ
เพียงแต่ไม่แต่งตั้งคนโต ไม่แต่งตั้งคนที่สืบสายเลือดโดยตรง ไม่แต่งตั้งบุตรที่เกิดจากสนม แต่จะดูเพียงว่าสามารถคลอดลูกชายได้หรือไม่?
ฮ่องเต้คงไม่คิดว่าพวกท่านอ๋องต่างก็ไม่สามารถมีลูกชายได้มั้ง
งั้นฮ่องเต้ พูดกับนางพวกนั้น หมายความว่าอย่างไร?
ความคิดอ่านของผู้ชายยากที่จะคาดเดานัก
นางพูดกับพระชายาอ๋องซุนว่า “หากไม่มีใครบังคับให้เจ้าตามสนมให้กับอ๋องซุน เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องทำให้เขาไม่สบายใจ ผู้ชายเป็นของตนเอง เมื่อมีพระชายารองแล้ว เจ้าคิดว่าเป็นการให้ไปแค่ครึ่งเดียวแค่นั้นหรือ? ไม่ใช่หรอก เป็นการให้ไปทั้งหมดไม่เหลืออะไรแล้ว หากไม่ใช่เพียงของเราคนเดียว ไม่เอา”
พระชายาอ๋องซุนจ้องมองดูนางเนิ่นนาน ค่อยพูดอย่างเชื่องช้าว่า “พูดตามความจริง เมื่อก่อนข้าไม่ชอบเจ้าเลย”
“ข้าก็ไม่ชอบตัวข้าที่เป็นคนก่อน”หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างจริงใจ
พระชายาอ๋องซุนหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “แต่ระยะนี้ข้าชอบเจ้ามาก สิ่งที่เจ้าพูดมีเหตุผลมาก ถึงแม้ข้าจะทำไม่ได้ แต่เมื่อฟังแล้วในใจก็สบายใจอย่างมาก”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าไม่มีทางพูดโน้มน้าวนางได้ ความคิดบางอย่างถูกฝังไว้อย่างลึก ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย
เมื่อส่งอ๋องซุนสองสามีภรรยากลับไปแล้ว หยู่เหวินเห้าพาหยวนชิงหลิงไปยังจวนอ๋องหวย
ตามปกติที่ผ่านมา จะต้องตรวจก่อนค่อยให้ยา พูดคุยอยู่สักพัก ก็จะกลับได้แล้ว
“เราไปเดินซื้อของกันไหม”หยวนชิงหลิงเห็นว่ายังเช้าอยู่ และเขาเองก็มีเวลาว่างอยู่กับตนเองแบบนี้น้อยมาก มาที่นี่ตั้งนานขนาดนี้ ผ่านถนนใหญ่อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้ไปเดินเล่นเลย
หยู่เหวินเห้าเองก็อารมณ์ดีมาก ทั้งสองคนค่อยๆเดินไปพร้อมกัน
ลู่หยากับสวีอีตามอยู่ด้านหลัง เดินตามอยู่อย่างไม่เดือดไม่ร้อน
หยวนชิงหลิงรู้เรื่องเป่ยถังไม่มาก แต่เพียงแค่ดูความเจริญรุ่งเรืองภายในเมืองหลวงนี้ คิดว่าเป่ยถังร่ำรวยอยู่ไม่น้อย
เดินไปยังร้านค้าแต่ละร้าน ร้านข้าวสาร ร้านเครื่องประดับ ร้านผ้าไหม โรงหมอ แม้แต่ร้านขายสิ่งประดิษฐ์จากกระดาษที่ใช้ในงานพิธีศพก็เข้าไปดู ทำให้ลู่หยากลัวมาก พระชายาบ้าขนาดนี้ได้อย่างไร? ในที่นั้นขายแต่สิ่งที่ไม่ใช่คนเป็นเขาใช้กัน
หยวนชิงหลิงกลับดีใจและแปลกใจมาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสกับประเพณีท้องถิ่นของที่นี่จริงๆ
ร้านขายสิ่งประดิษฐ์จากกระดาษที่ใช้ในพิธีงานศพ ก็ตกแต่งได้หรูหรามาก เมื่อถามดูราคา ปรากฏว่าของในร้านราคาแพงมาก
“ร้านขายสิ่งประดิษฐ์จากกระดาษที่ใช้ในพิธีงานศพ ขายแพงขนาดนี้ มีคนซื้อหรือ? ประชาชนปกติทั่วไปไม่มีปัญญาซื้อมั้ง?”
“นี่น่าจะทำเพื่อค้าขายให้กับพวกคนรวย มีบางคนตอนที่มีชีวิตอยู่ไม่ได้กตัญญูคนแก่ แต่เมื่อตายจากไปแล้วกลับยอมที่จะจ่ายเงิน หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย”
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าก็ใช่ นางมองเห็นคนเดินไปมาสวมเสื้อผ้าหรูหรา จึงพูดกับหยู่เหวินเห้าว่า “ภายในเมืองหลวงรุ่งเรืองมาก แม้แต่ขอทานก็ไม่มีสักคน”
หยู่เหวินเห้ากลับส่ายหัวพูดขึ้นว่า “คนที่มาเดินซื้อของถนนสายนี้ ล้วนเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวย”
“เช่นนี้หรือ? งั้นเราไปเดินดูที่อื่นกัน”
“ไม่ต้องไปแล้ว เดินใกล้ๆแถวนี้ก็พอ”หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “ข้าอยากดู ไปเถอะ”
สวีอีพูดขึ้นว่า “พระชายา ที่นี่เป็นสถานที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง ที่อื่นไม่มีอะไรน่าเดิน”
“ก็ไม่เป็นไร ไปดูรอบๆ ข้าอยากดูสิ่งของที่ไม่เหมือนกัน”หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างสนใจเป็นอย่างยิ่ง
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิด ให้นางขึ้นรถม้า แล้วก็พานางไปยังสถานที่หนึ่ง
รถม้าวิ่งไปประมาณกว่าครึ่งชั่วโมง ค่อยหยุด
ก่อนลงจากรถม้า หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “เจ้าเดินตามข้าชิดๆ ที่นี่คนเยอะ ขอทานคนขี้ขโมยคนหลอกลวงก็เยอะ”
หยวนชิงหลิงได้ยินเสียงดังจากภายนอก เห็นทีที่นี่จะคึกคักจริง นางพูดขึ้นว่า “ได้ ข้ารู้แล้ว”
ม่านถูกเปิดออก เดิมหยวนชิงหลิงนึกว่าจะได้เห็นถนนกว้าง
แต่ไม่ใช่
หยู่เหวินเห้าประคองนางลงมาจากรถม้า ยืนอยู่ตรงปากทาง มองดูถนนที่คับแคบและแออัด ด้านหนึ่งเป็นร้านค้า ด้านหนึ่งเป็นหาบเร่
คนเยอะมากจริงๆ เบียดเสียดกันแน่น เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในวันแรงงาน
คนที่นี่ ไม่เป็นเพียงแบบเดียวอีก มีแบบแต่งกายธรรมดา มีแบบมอมแมม มีแบบแต่งกายอย่างแปลกประหลาด เมื่อมองดูดีๆแล้ว ที่จริงก็ไม่ใช่การแต่งกายที่แปลกประหลาด เพียงแค่มีรอยปะเยอะ สีอะไรก็มีเต็มไปหมด
พ่อค้าหาบเร่จะตะโกนเรียกลูกค้า เจ้าของร้านเล็กๆยืนตะโกนอยู่หน้าประตู สินค้าทุกชิ้นเน้นอย่างเดียวก็คือ ราคาถูก
มีขอทานมากมายนั่งยองอยู่ข้างถนน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ริเริ่มที่จะร้องขอ เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น มองดูผู้คนที่ไปมาอย่างเฉยๆ
บางครั้ง ก็มีคนโยนหมั่นโถมาให้หนึ่งลูก แล้วก็จะถูกแย่งกันอย่างบ้าคลั่ง
หยวนชิงหลิงมองเห็นเด็กขอทานคนหนึ่ง แย่งไม่ทันขอทานคนอื่น กอดขอทานคนหนึ่งไว้แล้วก็อ้าปากยื่นไปจากกัดหนึ่งคำ สุดท้ายถูกตบไปหนึ่งที แต่เขาก็กลับหัวเราะอย่างพอใจ พร้อมกินอยู่ในปาก
เขาค่อยๆถอยกลับไป หยวนชิงหลิงค่อยพบว่า เขามีขาเพียงข้างเดียว นางมองดูพวกขอทานพวกนั้น อยากให้สวีอีเอาเงินไปให้พวกเขา
สวีอีไปซื้อซาลาเปาอย่างรู้ใจ แล้วก็หอบกลับมาเป็นกอง แบ่งให้คนละสองลูก
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมพวกเขาต้องขอทานอยู่ที่นี่? คนที่นี่ก็ดูไม่ได้ร่ำรวย ไปยังถนนสายเมื่อกี้ ยังน่าจะได้เงินมากกว่า?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “อย่างแรกถูกขับไล่ ไม่ให้ไป อย่างที่สอง ใช่ว่าคนมีเงินทุกคนจะใจดี บางทีอาจจะให้หมั่นโหลายดู แต่ก็จะมีคนจำพวกหนึ่ง ชอบรังแกคนที่ด้อยกว่าอย่างตายทั้งเป็น เพียงเพื่อความสะใจ”
ช่างโหดร้ายอำมหิตอย่างมาก