หยวนชิงหลิงมองเห็นสีหน้าหยู่เหวินเห้าแลดูเป็นกังวล

นางจึงถามขึ้นว่า “เป็นอะไรหรือ?”

หยู่เหวินเห้าถอนหายใจเบาๆ จับมือของนางไว้พร้อมพูดขึ้นว่า “เพียงแค่รู้สึกไม่มีแรง”

เขาเป็นคนในราชวงศ์ เขาสามารถกระทำเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของผู้คน แต่ไม่ว่ายังไงกำลังที่มีก็ยังมีไม่เพียงพอ

หยวนชิงหลิงเข้าใจความคิดของเขา แต่ก็ยิ่งรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่ารักมาก

เดินหน้าต่อไป ก็ทำได้เพียงเบียดเสียดเข้าไป ตรงสุดทางมีโรงหมอแห่งหนึ่ง หน้าประตูมีคนต่อคิวไว้อย่างยาว มีผู้ป่วยบางคนล้มนอนอยู่บนพื้น เสื้อผ้ามอมแมมขาดรุ่ย แมลงวันบินตอม

“คนต่อคิวมากมายขนาดนี้? ไปโรงหมอที่อื่นไม่ได้หรือ?”หยวนชิงหลิงถามขึ้น

สวีอีหัวเราะพร้อมพูดว่า “พระชายา โรงหมอที่อื่นพวกเขาไม่มีปัญญาไป”

“ไม่มีปัญญาไป? งั้นของรัฐ…. โรงหมอของราชสำนักไม่มีหรือ?”

“มี โรงหมอหุ้ยหมิง”หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น

หยวนชิงหลิงถามว่า “โรงหมอหุ้ยหมิงนั่นก็แพงมากหรือ?”

“ในเมืองหลวงมีโรงหมอหุ้ยหมิงเพียงสองแห่ง หากต่อคิวรักษา ดีหน่อยก็รอสามถึงห้าเดือน หากนานก็ต้องรอเป็นปีก็มี”

หยวนชิงหลิงตกตะลึง “มีโรงหมอหุ้ยหมิงเพียงแค่สองแห่งหรือ? เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ จะเพียงพอได้อย่างไร?”

“ตามที่ต่างๆในเมืองหลวงล้วนมีโรงหมอ แต่ไม่ใช่คนธรรมดาจะมีปัญญาไปหาได้”หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น

หยวนชิงหลิงถามขึ้นว่า “นี่เป็นเพราะสาเหตุอะไรหรือ? ราชสำนักไม่สามารถจัดสรรโรงหมอหุ้ยหมิงได้หลายแห่งหรือ?”

“ไม่มีหมอ” หยู่เหวินเห้าจูงมือนางแล้วเบียดออกมาจากฝูงคน ค่อยอธิบายให้นางฟังอย่างช้าๆว่า “ใครที่ศึกษาจนสามารถเป็นหมอได้ ล้วนเลือกที่จะไปเปิดโรงหมอเป็นของตนเอง จะยินยอมที่จะมารับตำแหน่งในโรงหมอหุ้ยหมิงได้อย่างไร? เงินเบี้ยเลี้ยงไม่ได้แตกต่างอะไรจากข้าราชการท้องถิ่นคนหนึ่ง คนที่เรียนหมอมาตั้งนานหลายปี ล้วนไม่ยอมที่จะอยู่อย่างธรรมดาเช่นนี้อยู่แล้ว”

“งั้นหากคนที่ป่วยหนัก ต่อคิวไม่ไหว หรือไม่มีปัญญาไปโรงหมอ จะทำอย่างไร?”

สวีอีพูดตอบก่อนว่า “งั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้ว มีหมอเท้าเปล่าหาหมอเท้าเปล่า หาหมอเท้าเปล่าไม่เจอ งั้นก็รอความตาย”

หยวนชิงหลิงฟังเช่นนี้แล้ว ในใจรู้สึกแย่มาก

แต่สถานการณ์แบบนี้นางก็ไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลงอะไรได้

ตลอดทางที่กลับมา นางก็ค่อนข้างเงียบ

คนในครอบครัวของนางทั้งหมดล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัญหาทางด้านการรักษาอย่างมาก

บนโต๊ะอาหารตอนที่ทานข้าวด้วยกัน เรื่องที่พูดคุยกันมากที่สุดก็คือเงื่อนไขทางการแพทย์ ความก้าวหน้าของอุปกรณ์และการพัฒนายา

ส่วนตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงปัญหาพวกนี้ เพราะหลายคนไม่สามารถรับการรักษาพยาบาลได้

ไม่มีความสุขตลอดทั้งวัน

หยู่เหวินเห้าก็อารมณ์ไม่ค่อยดี แอบหลบตัวเงียบอยู่ในห้องหนังสือ

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากหยู่เหวินเห้ากลับที่ทำการปกครอง หยวนชิงหลิงไปยังจวนอ๋องหวยแล้วก็กลับมาเลย

เพิ่งกลับมาถึงจวนอ๋อง ก็ได้ยินลู่หยาพูดว่าหยวนชิงผิงมาแล้ว

นางกำลังนั่งอยู่ด้วยจิตใจว้าวุ่น จึงพูดกับหยวนชิงผิงว่า “ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย”

“ไปที่ไหน?” หญิงคนใช้ของหยวนชิงผิง ยังเอาสิ่งของมาด้วยมากมาย นางพูดขึ้นว่า “นี่เป็นของที่ท่านย่าให้เจ้า”

หยวนชิงหลิงมองดู ล้วนเป็นผ้าไหม ขนมหวาน อาหารเสริม

“ทำไมท่านย่าถึงเอาของมาให้ข้าเยอะขนาดนี้?”หยวนชิงหลิงถามขึ้น

หยวนชิงผิงพูดขึ้นว่า “ท่านย่ารู้ว่าเจ้าเคยได้รับบาดเจ็บ ได้ยินว่าข้าจะมา จึงได้ให้ข้าเอาของพวกนี้มาให้เจ้า”

หยวนชิงหลิงค่อนข้างรู้สึกผิด ช่วงนี้เพิ่งเคยไปหาท่านเพียงแค่ครั้งเดียว

“สุขภาพร่างกายท่านย่าเป็นอย่างไร?”

หยวนชิงผิงพูดว่า “ก็งั้นๆ ไม่ได้ดีอะไรมาก แต่ก็ไม่เลวร้ายลง”

“อีกสองวันข้าค่อยกลับไปดูนาง”หยวนชิงหลิงพูดขึ้น

ทั้งสองพี่น้องออกจากจวนขึ้นรถม้าไป คนขับรถม้าถามขึ้นว่า “พระชายาจะไปที่ไหน?”

หยวนชิงหลิงถามลู่หยาว่า ที่เราไปเมื่อวานคือที่ไหน?”

“ถนนซิงผิง”ลู่หยาพูดขึ้น

“งั้นก็ไปถนนซิงผิง”หยวนชิงหลิงพูดขึ้น

คนขับรถม้าพูดตอบว่า “ขอรับ”

รถม้าบดเคลื่อนไหวไปบนถนนหินชนวน ขับเคลื่อนออกจากถนนจวนอ๋อง

สักพัก รถม้าก็หยุดจอด

“พระชายา ถึงแล้ว”คนขับรถม้าพูดขึ้น

หยวนชิงหลิงเปิดม่านออก กลับเห็นว่าไม่ใช่สถานที่ที่นางต้องการ แต่เป็นถนนที่เมื่อวานนางไปครั้งแรก ยังคงเจริญรุ่งเรือง

หยวนชิงผิงกลับลงจากลงม้า พูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “พี่สาว เราไปร้านเครื่องสำอางกัน ข้าจะซื้อของเยอะแยะมากมาย”

พูดจบ นางยื่นมือมาจูงมือหยวนชิงหลิง

หยวนชิงหลิงจึงต้องเดินเป็นเพื่อนนางก่อน

นางไม่มีอะไรต้องซื้อ แต่หยวนชิงผิงชอบมาก โดยเฉพาะชอบร้านน้ำหอมกลับร้านเครื่องสำอาง

ซื้อถุงหอมได้มาหลายอัน แล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปในร้านเครื่องสำอาง

เมื่อเข้าไปแล้ว ก็เห็นฉู่หมิงชุ่ย กับหญิงสาวสองคนกำลังเลือกเครื่องสำอางอยู่ ด้านข้างตามด้วยหญิงรับใช้ฝูงหนึ่ง ดูอลังการอย่างมาก

ฉู่หมิงชุ่ยมองเห็นหยวนชิงหลิง อึ้งเล็กน้อย แต่แล้วก็ยิ้มทักทายพูดขึ้นว่า “พระชายาอ๋องฉู่ บังเอิญจังเลย”

หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “พระชายาฉี บังเอิญจริงๆ”

ได้ยินฉู่หมิงชุ่ยเรียกพระชายาอ๋องฉู่ หญิงสาวด้านข้างสองคนต่างก็เงยหน้าขึ้นมามองนาง

หญิงสาวคนด้านซ้ายสวมกระโปรงจีบผ้าฤดูใบไม้ร่วงสีที่มีลวดลายดอกไม้ รวบผมเป็นม้วนคู่กลม ปักด้วยปิ่นลายหางนกฟีนิกซ์หยกขาว ใบหน้างดงามมีเสน่ห์ งดงามอย่างไร้ที่ติ ดุจดอกกุหลาบสีแดงที่กำลังแย้มบานครึ่งดอก

หญิงสาวที่ยืนทางด้านขวาของฉู่หมิงชุ่ย ค่อนข้างผอม ตาสามเหลี่ยม ลักษณะใบหน้าก็งดงามอยู่ในระดับหนึ่ง เพียงแต่ลักษณะการแต่งกายดูด้อยกว่าหญิงสาวทางด้านซ้ายไปนิด ปิ่นมุกที่ปักอยู่ก็ไม่ใช่อย่างดี

ฉู่หมิงชุ่ยพูดกับทั้งสองคนว่า “หมิงหยาง หมิงเฟิ่ง ยังไม่รีบทักทายพระชายาอ๋องฉู่?”

แววตาของหยวนชิงหลิง มองดูฉู่หมิงหยาง

ความงดงามของนาง เป็นแบบมีเสน่ห์ที่เต็มไปด้วยหนาม ดูเย็นชา เหยียดหยาม นางก็ไม่ทักทาย เปลี่ยนแค่มองดูหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง

ส่วนหญิงสาวทั้งด้านขวาคนนั้น ฉู่หมิงเฟิ่งมองดูหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง สีหน้ายิ่งไม่เป็นมิตร นางหันไปพูดกับเถ้าแก่ร้านว่า “นี่ร้านของเจ้าเป็นสถานที่อะไรกัน? คนอะไรก็สามารถเข้ามาได้หรือ? พระชายาอ๋องฉู่อะไร? ใครไม่รู้ว่าตำแหน่งพระชายาอ๋องฉู่นี้แย่งได้มายังไง? น่าอับอาย”

หยวนชิงหลิงรู้ข้อด้อยของตนเองดี ทะเลาะกับคนอื่นล้วนถูกเอาเปรียบมาตลอด

ดังนั้น นางหันหน้าเตรียมพาหยวนชิงผิงออกไป

หยวนชิงผิงแกะมือของนางออก เดินหน้าไปชี้หน้าก่นด่าฉู่หมิงเฟิ่งว่า “เจ้าว่าใครหน้าไม่อาย? ตำแหน่งพระชายาอ๋องฉู่ของพี่ใหญ่ข้า ได้มายังไงเจ้าพูดมาให้กระจ่าง แย่งใคร? แย่งของเจ้าหรือ? พระอยากเป็นพระชายาอ๋องฉู่หรือ? เจ้ามีสิทธิ์อะไร? ลูกเมียน้อยคนหนึ่ง ก็ยังมากล้าอวดดีที่นี่ ตระกูลฉู่ถูกอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาทมาอย่างเข้มงวดตลอด ทำไมถึงยังมีเจ้าที่ปากเสียแบบนี้? ถูกพูดออกไปไม่กลัวคนอื่นจะชี้หน้าด่าตามก้นหรือ?”

ฉู่หมิงเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าจะถูกตอบโต้ และยังด่าอย่างไม่น่าฟัง สีหน้าจึงขาวที เขียวที

ต้องรู้ว่าพี่สาวทั้งสองต่างก็เคยเกลียดหยวนชิงหลิง เมื่อกี้ที่พูดเช่นนี้เพียงแค่อยากพูดระบายแทนพี่สาวคนโต เพื่อเอาหน้า

มองเห็นสายตาเยือกเย็นที่พี่สาวคนโตหันมามอง ในใจตื่นตระหนกทันที แล้วจึงตบลงไปบนหน้าหยวนชิงผิงหนึ่งที พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าจะตบเจ้าให้ตาย”