บทที่ 192 ไม่สามารถทะลวงได้

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 192 ไม่สามารถทะลวงได้

ขณะมองตะขาบที่เจียงหลานปล่อยไป ไป๋ชิวหรานถึงได้เข้าใจบางสิ่งในตอนนั้น แต่ก็ไม่ได้ห้ามเช่นกัน เหมือนอย่างที่สอนวิถีฝึกฝนให้กับเจ้าลิง หากเผ่าพันธุ์มนุษย์อยากโค่นล้มเทพจริง พลังจากเผ่าพันธุ์อื่นอย่างอสูรเผ่ามารก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน

แต่จากมุมมองของประวัติศาสตร์ในอนาคต การต่อสู้กับอสูรเผ่ามาร… ไป๋ลี่ไม่เคยพ่ายแพ้

ในช่วงเวลาหลังจากนั้น ไป๋ชิวหรานนั่งอย่างสงบในหุบเขา ขณะสอนสั่งศาสตราแห่งเทพจำนวนมากให้กับไป๋ลี่กับเจ้าลิง รวมไปถึงดูแลการฝึกฝนและชีวิตประจำวันของเจียงหลานเช่นกัน

ตอนไป๋ชิวหรานสอนสั่งวิชาและเคล็ดให้ไป๋ลี่และลิง บางครั้งจะพบว่า ตะขาบสีดำขนาดเล็กนอนอยู่บนหินสีน้ำเงินข้างป่าอย่างเงียบงัน

แต่ชายหนุ่มไม่สนใจมากนัก เขาสอนตามวิธีที่ต้องการ… เหมือนอย่างที่เจียงหลานว่า ‘ทุกสิ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญ’

ในช่วงที่อ่อนแอของเจียงหลาน แม้ว่าไป๋ชิวหรานจะมีสิ่งที่ต้องจัดการ แต่ก็ยังดูแลนางเป็นอย่างดีเสมอ ส่วนเหตุผลที่ทำไมถึงเป็นห่วงเจียงหลานมากนั้น อาจจะเป็นเพราะนางมอบกระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าให้อย่างใจกว้าง หรืออาจจะเป็นเพราะมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ในใจ แต่ไป๋ชิวหรานเป็นคนโง่เรื่องความรักจึงไม่แน่ใจนัก

ทว่าระหว่างที่เจียงหลานอยู่ในขั้นผสานร่าง นางได้ผ่านขั้นกลั่นลมปราณได้สำเร็จ หลังจากอาการดีขึ้นจนทำงานบ้านได้… ท่าทีที่มีต่อเขาก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากนัก

ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจียงหลานเข้ากับเขาได้ไม่ดี แต่ตอนนี้ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่านางคล้ายกับสนิทชิดใกล้ขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ระหว่างทั้งสองเคยมีความแตกแยกมาก่อนไม่ต่างจากคนนอก แต่หลังจากเจียงหลานเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไป วิธีที่พวกเขาเข้าหากันนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับคู่รักเก่า…

แต่จะมาคาดหวังความฉลาดทางอารมณ์ของไป๋ชิวหรานไม่ได้ เนื่องจากเจียงหลานไม่ได้บอกกล่าวออกมาอย่างชัดเจน… จึงเป็นไปไม่ได้ที่บุรุษพรหมจรรย์แสนน่าเบื่ออายุมากกว่าสามพันปีจะเป็นฝ่ายรุกก่อน อีกอย่าง ในตอนนี้จุดมุ่งหมายหลักของชายหนุ่มคือทุ่มให้กับโอกาสในการวางแผนเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์

นอกจากการสอนวิธีการฝึกฝนให้ไป๋ลี่แล้ว ตอนนี้มีปัญหาร้ายแรงอีกอย่างอยู่ตรงหน้า คือวิญญาณของเผ่าพันธุ์มนุษย์หลังจากถูกเหล่าเทพสังหาร!

วิญญาณเหล่านี้ถูกรวบรวมอยู่ภาพวาดของเขาชั่วคราว เหมือนกับมนุษย์ที่มีชีวิตคนอื่น วิชานี้ทำให้เหล่าวิญญาณอยู่ในสภาพนิ่งเฉยชั่วคราว และยังมีวิญญาณภรรยาของไป๋ลี่รวมอยู่ด้วย

พวกเขาสูญเสียเนื้อหนัง ตามกฎแห่งอนาคต มันถึงเวลาที่ต้องไปยมโลกแล้วรับการเกิดใหม่ผ่านการกลับชาติมาเกิดในหกภพ

แต่ยุคนี้ที่ถูกเทพปกครอง ยมโลกที่เซียนสร้างทีละขั้นตอนคงจะยังไม่มี ใต้พื้นดินนอกจากชั้นหินแล้วยังมีลาวาร้อนระอุ เมื่อตรงไปยังใจกลางปฐพีในมิติที่ต่างออกไป… ไม่มีสถานที่ที่มีเพียงคนตายอาศัยอยู่อีกต่อไป

ในยุคนี้ หลังจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ตาย วิญญาณของพวกเขาจะท่องไปในปฐพีเพียงลำพังโดยไม่ถูกรบกวน ท้ายที่สุดจะสลายไปในสวรรค์กับโลก เจตจำนงและพลังงานจะกลับสู่วัฏจักรอันยิ่งใหญ่ของสวรรค์กับโลก หรือไม่ก็กลายเป็นอาหารของเทพหรือสัตว์อสูรต่างแดนที่ชอบกินวิญญาณ

สิ่งที่ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดตอนนี้ คือวิธีสร้างต้นแบบของยมโลกนี้ขึ้นมา ยมโลกของรุ่นหลังย่อมไม่มีทางสำเร็จได้ในวันเดียว แต่อย่างน้อยเขาต้องสร้างรากฐานที่สมบูรณ์เอาไว้ก่อน

ทว่าถึงแม้เขาจะถูกกำหนดให้เป็นจักรพรรดิภูตผีของยมโลกในรุ่นหลัง แต่ความจริง ชายหนุ่มยังไม่เคยเข้าสู่แกนยมโลกที่แท้จริง กระบวนการกลับชาติมาเกิดหกภพเป็นอย่างไรนั้น… เขาไม่มีเบาะแสด้วยซ้ำ

โชคดีที่จื้อเซียนคล้ายกับค้นคว้าเรื่องยมโลกมามากมาย ไป๋ชิวหรานยังคงจำได้ ตอนที่อยู่ในถ้ำเซียนมีการทดสอบพิเศษที่ส่งผู้ทดสอบไปยมโลกเพื่อทำการเดินทางครึ่งวัน ทั้งเขาและหลีจิ่นเหยาต่างเผชิญกับการทดสอบนี้

“ในราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะการหายไปอย่างฉับพลันของราชวงศ์ชิงตะวันออก ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องสร้างระบบศาสตราจำนวนมากที่ไปถึงจุดสูงสุดในช่วงราชวงศ์เซียน หนึ่งในระบบการสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ มันคือการแยกส่วนของกฎของการกลับชาติมาเกิดแห่งความเป็นความตาย”

จื้อเซียนกล่าวกับไป๋ชิวหราน

“ถึงแม้จะรู้เพียงผิวเผิน แต่ในฐานะที่เป็นแนวทางในการแนะนำความคิดให้กับเจ้ามันก็มากเกินพอแล้ว ข้าเชื่อในความสามารถที่คงจะสามารถสร้างสิ่งต่าง ๆ หลังจากนี้ด้วยตัวเองได้อย่างแน่นอน”

ดังนั้นหลังจากศึกษาระบบศาสตรามิติแล้ว ไป๋ชิวหรานก็ได้เริ่มสืบค้นระบบศาสตราแห่งความเป็นความตายอีกครั้ง

ความคืบหน้าในครั้งนี้ช้ากว่าการเรียนรู้ศาสตรามิติ เพราะถึงแม้ศาสตรามิติจะลึกลับและคลุมเครือเพียงใด แต่อย่างน้อยเซียนบนโลกในช่วงราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ได้อนุมานระบบที่สมบูรณ์เอาไว้ ส่วนระบบศาสตราแห่งความเป็นความตายในตอนนั้นเป็นความรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น

นอกเหนือจากการเปิดประเด็นของจื้อเซียนแล้ว ไป๋ชิวหรานก็ทำได้เพียงค้นคว้าต่อไปด้วยตัวเองเพื่อพยายามสร้างขึ้นมาเท่านั้น

เมื่อดำดิ่งสู่ศาสตราแห่งความเป็นความตาย หลังจากหลายปีผ่านไปไป๋ชิวหรานก็ยุ่งกับเรื่องราวมากมาย ทำให้เจียงหลานผู้ฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยเริ่มทำงานบ้านทั้งหมด และปล่อยให้ชายหนุ่มใช้พลังงานเพื่ออุทิศกับการสร้างศาสตราแห่งความเป็นความตาย

อีกด้าน ไป๋ลี่ผู้มากพรสวรรค์ ในช่วงหลายปีมานี้ เขารับการสอนสั่งจากไป๋ชิวหราน ทำให้รากฐานการฝึกฝนก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ไม่เพียงแค่ทะลวงขั้นแยกวิญญาณเท่านั้น แต่ยังได้รวบรวมทุกสิ่งที่ไป๋ชิวหรานสอนสั่งขึ้นมาอีกด้วย หากในอดีตยังพึ่งการลอบโจมตีเพื่อฆ่าเทพระดับต่ำที่สุด ถ้างั้นตอนนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับเทพระดับต่ำที่สุด… แม้จะเป็นหนึ่งต่อห้า เขาก็ไม่หวาดกลัว

ส่วนเจ้าลิงที่ฝึกฝนกับเขามีความคืบหน้ารวดเร็วยิ่งเช่นกัน มันเปลี่ยนจากสัตว์อสูรเป็นอสูรได้สำเร็จ ตอนที่เปลี่ยนได้สำเร็จ มันถึงขั้นเปลี่ยนกฎเกณฑ์ระหว่างสวรรค์กับโลก เมฆฝนที่รวมตัวกันแทบจะเผยว่าพวกไป๋ชิวหรานอยู่ที่ไหน

โชคยังดีที่ชายหนุ่มทำให้เมฆฝนหายไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงที่จะถูกบริวารของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีพบได้

แต่ต่อให้เปลี่ยนเป็นอสูรได้สำเร็จ ลิงตัวนี้ก็ยังคงชอบอยู่ในรูปลักษณ์ของสัตว์ ยามว่างมันจะออกเที่ยวกับสัตว์ป่าตัวอื่นในหุบเขาทั้งวัน เพราะการฝึกฝน ทำให้ตอนนี้เจ้าลิงกลายเป็นราชาแห่งหุบเขาในพื้นที่ใกล้เคียง

ไป๋ชิวหรานเห็นลิงตัวนี้สอนสั่งวิชาให้สัตว์ป่าตัวอื่น แต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก

นอกจากไป๋ลี่กับเจ้าลิงแล้ว เจียงหลานผู้ฝึกฝนวิชาโดยไม่หยุดพักทำการฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุดของกลั่นลมปราณในที่สุด แต่ในเวลาเดียวกัน ปัญหาที่ไป๋ชิวหรานกังวลมาโดยตลอดก็ได้ปรากฏขึ้น

“ชิวหราน”

เจียงหลานเรียกหาไป๋ชิวหราน หนึ่งเดือนหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขานี้ นางเริ่มใช้ชื่อในการเรียก

“ข้าเหมือนจะก้าวเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานไม่ได้น่ะ”

“หืม?”

ไป๋ชิวหรานรีบให้นางนั่งลงและกล่าวว่า

“ขอข้าดูอาการหน่อย”

ชายหนุ่มปล่อยสัมผัสเทวะทะลวงเข้าสู่ร่างของเจียงหลาน น้ำพิษอันเกรี้ยวกราดไหลเวียนอยู่ในร่างนางอย่างช้า ๆ ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ

“ลองพึ่งโชคดู”

ไป๋ชิวหรานสั่ง

เจียงหลานทำตามที่เขาว่า ลมปราณที่แท้จริงในร่างไหลเวียนตามวิถีวิชาอย่างรวดเร็ว ระหว่างการไหลเวียน ลมปราณที่กำลังอิ่มตัวเหล่านี้ยังคงเพิ่มขึ้น และกดทับลงบนเส้นลมปราณในร่างของเจียงหลาน เพื่อให้นางขับลมปราณอันเกรี้ยวกราดเหล่านี้ออกจากร่าง

เมื่อถึงตรงนี้ ไป๋ชิวหรานก็พบปัญหาเช่นกัน เหตุผลที่ทำไมเจียงหลานไม่สามารถสร้างรากฐานได้นั้น มีสาเหตุไม่ต่างจากเขานั่นคือเป็นปัญหาเกี่ยวกับทะเลลมปราณที่ใช้เก็บพลังงาน

ถึงแม้เจียงหลานจะถือว่าเป็นเทพธิดา ผู้มีรูปลักษณ์คล้ายเผ่าพันธุ์มนุษย์มากที่สุดหากไม่นับจักรพรรดิตะวันออกไท่อี แต่อย่างไรร่างกายก็ยังแตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์

หากไป๋ชิวหรานไม่สามารถสร้างรากฐานได้เพราะทะเลลมปราณอันไร้พรมแดน… จนทำให้ไม่สามารถบีบอัดลมปราณที่แท้จริงเพื่อสร้างพลังวิญญาณที่แท้จริงขึ้นมาได้ เช่นนั้นในกรณีของเจียงหลานก็เป็นเพราะร่างกายไม่มีทะเลลมปราณที่สามารถเก็บลมปราณที่แท้จริง