บทที่ 193 สติสร้างประวัติศาสตร์

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 193 สติสร้างประวัติศาสตร์

ตอนที่เจียงหลานเคยเป็นเทพ ถึงแม้นางจะเกิดมาจากพ่อแม่ตัวเอง แต่ความจริง ตอนที่เกิดขึ้นมา เป็นจิงเหว่ยผู้เป็นแม่ที่เข้าร่วมกับกองกำลังด้วยกฎแห่งสวรรค์กับโลกเพื่อให้กำเนิดนางขึ้นมา ดังนั้นเจียงหลานคนก่อนจึงไม่ต้องการอวัยวะอย่างทะเลลมปราณ นางมีพลังศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย หรือก็คือทั่วร่างถูกสร้างขึ้นจากกฎเกณฑ์และพลังศักดิ์สิทธิ์

หลังจากแหล่งกำเนิดพลังศักดิ์สิทธิ์ถูกพรากไป ร่างของนางก็เป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่า ในตอนนั้นมีเพียงลมปราณที่แท้จริงของไป๋ชิวหรานที่เข้ามาเติมเต็ม จึงทำให้ร่างกายกลับมามั่นคงอีกครั้ง และเลือดเนื้อได้เข้าไปเติบโตแทนที่พลังศักดิ์สิทธิ์

ถึงแม้ร่างนี้จะอยู่รอดมาได้ แต่ท้ายที่สุดก็ยังเป็นร่างของเทพ เทพไม่ต้องการทะเลลมปราณ… และเจียงหลานย่อมไม่มีของแบบนั้น

หลังจากทราบผลลัพธ์แล้ว ไป๋ชิวหรานจึงดึงมือกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ถึงแม้เจียงหลานจะไม่สามารถทะลวงขั้นสร้างรากฐานจนอดรู้สึกสงสารในตัวนางไม่ได้ แต่ยังไม่ลืมว่านางไม่ใช่มนุษย์ในยุคของเขา

หากคิดในหนทางที่เลวร้ายที่สุด เจียงหลานคงจะผ่านช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเชื่อ และได้มาพบกับเขาในอีกยุคหนึ่งได้ในที่สุด… สิ่งนี้เป็นไปได้เมื่อกลายเป็นเซียนเท่านั้น

หากนางไม่สามารถก้าวสู่ขั้นสร้างรากฐานเพื่อการฝึกฝนได้ เช่นนั้นที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็สูญเปล่า

“สภาพของข้าสาหัสมากเลยงั้นหรือ?”

เมื่อเห็นสีหน้าของไป๋ชิวหราน เจียงหลานจึงถามออกไป

“ใช่”

ชายหนุ่มตอบโดยไม่คิดปกปิด ทว่าเขาก็ตบบ่าเจียงหลานทันที

“แต่ข้าจะแก้ไขให้ เชื่อใจเถอะ”

สตรีพยักหน้า ไป๋ชิวหรานก้มศีรษะพลางครุ่นคิด ก่อนเดินออกจากกระท่อมไป

เหล่าทวยเทพอาจจะรู้สึกหยามเกียรติหลังจากถูกเขาเล่นงานจนพ่ายแพ้ วันนี้จึงจงใจขัดขวางเขา… ในเวลานี้ทันทีที่เดินออกจากประตูมา ไป๋ชิวหรานเห็นไป๋ลี่กับเจ้าลิงตัวน้อยกำลังยืนอยู่นอก เมื่อเด็กหนุ่มเห็นเขาจึงเดินเข้ามาทันที

“อาจารย์”

“มีอะไรหรือ?”

ไป๋ชิวหรานถาม

“มีบางสิ่งที่ศิษย์คนนี้ไม่เข้าใจ… จึงอยากให้อาจารย์ช่วยชี้แนะเพื่อคลายความสงสัย”

ไป๋ลี่ก้มศีรษะ

เมื่อเห็นสีหน้าระแวดระวังของเขา ไป๋ชิวหรานจึงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

“ข้าคืออาจารย์ของเจ้า มันเป็นหน้าที่ที่ต้องเทศนาอยู่แล้ว สอนสั่งและไขข้อสงสัย ไม่ว่าปัญหาจะเป็นอะไรเชิญบอกมาได้เลย”

“ขอรับ”

ไป๋ลี่ชำเลืองมองชายหนุ่มอย่างระแวดระวัง และกล่าวต่อว่า

“ปัญหาของศิษย์คือปัญหาเรื่องขั้นการฝึกฝน เมื่อวานซืนสอนว่าจงเรียนรู้จากอาจารย์ แต่อย่าวางใจอาจารย์จนเกินงาม ข้าจึงกลับมานอนคิดกับตัวเอง และเจ้าพวกลิงใช้คัมภีร์ที่ท่านสอนพวกข้า ทำให้อนุมานการฝึกฝนตัวเองขึ้นมาเก้าขั้น ข้าครุ่นคิดจนได้คำตอบว่าตัวเองแข็งแกร่งจนถึงขั้นสูงสุดของมหายาน”

“ไม่เลวนี่”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้า พรสวรรค์ของไป๋ลี่ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริง ๆ

“หลังจากคิดดูแล้ว… ข้าเกิดความสงสัยขึ้นในใจ”

ไป๋ลี่ลังเลก่อนกล่าวว่า

“ข้าอยู่ขั้นมหายาน ซ้ำยังห่างไกลจากอาจารย์ผู้อยู่ขั้นสูงสุด เมื่ออยู่ต่อหน้าก็ไม่ต่างจากมด… จึงไม่กล้าดูถูกท่าน แต่เมื่อฟังจากที่บอก ลำดับพลังอำนาจของอาจารย์ในเผ่าเทพไม่ใช่ที่หนึ่ง… แต่เหนือขึ้นไปยังมีเทพอันชอบธรรมอีกเก้าองค์ ห้าจักรพรรดิสวรรค์ สองผู้นำ อีกทั้งยังมีจักรพรรดิตะวันออกไท่อีผู้อยู่จุดสูงสุดอีก กำลังของพวกเขาน่าจะเหนือกว่าท่านใช่หรือไม่?”

ผ่านไปสักพัก เขากล่าวต่อว่า

“หากเป็นเช่นนี้ มนุษย์อย่างพวกเราจะต่อสู้กับเทพได้อย่างไร?… จะต้องขึ้นอยู่กับการสืบพันธุ์ระยะยาวเพื่ออาศัยความได้เปรียบเรื่องจำนวนใช่หรือไม่?”

“แน่นอนว่าไม่ หลังจากถึงขั้นมหายานแล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์จะก้าวทะยานไปถึงระดับที่สูงยิ่งกว่า ตอนนี้มนุษย์มีอายุยืนยาวเทียบเท่ากับพวกที่อยู่บนสวรรค์ที่สามารถย้ายขุนเขาและเรียกทะเลได้เหมือนกับเทพนั่นแหละ”

ไป๋ชิวหรานได้ฟังคำถามของไป๋ลี่จึงหัวเราะออกมาทันที

ที่จริงถ้าอยากนับอำนาจเหนือท้องทะเล… กำลังของเจียงหลานน่าจะเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาเทพทั้งเก้าในสวรรค์ แต่ไป๋ชิวหรานไม่เคยบอกไป๋ลี่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในใจของเขา… นางคือเทพโรคระบาดและพิษมาโดยตลอด

และในเก้าหน่วยสวรรค์ หน่วยโรคระบาดอยู่อันดับท้ายสุด เจียงหลานผู้ใช้ได้เพียงอำนาจของโรคระบาดย่อมมีกำลังด้อยกว่าเก้าเทพอันชอบธรรมองค์อื่น

ดังนั้นสิ่งที่กล่าวมาจึงไม่ผิด วัตถุประสงค์ของการเปรียบเทียบเมื่อครู่ น่าจะเป็นตัวเจียงหลานผู้ใช้ได้เพียงอำนาจของโรคระบาดเท่านั้น

“เป็นแบบนี้เองสินะ เฮ้อ”

ไป๋ลี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็ถามอย่างไม่ลังเลว่า

“ถ้าเป็นเช่นนั้น… ขั้นที่ต่อจากขั้นมหายาน มันเป็นอย่างไรหรือ?”

ไป๋ชิวหรานตกตะลึง

ใช่แล้ว สภาพหลังจากขั้นมหายานคืออะไร?

ตามความรู้ของเขา หลังจากขั้นมหายานน่าจะเป็นขั้นเซียน เพราะความแตกต่างในโลกที่เซียนอาศัยอยู่ทำให้แบ่งออกได้อย่างหลายหลาก ยกตัวอย่างเช่นโลกเซียนจะเรียกว่าเซียนสวรรค์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์จะเรียกว่าเซียนปฐพี เชวียหลิงผู้มาจากยมโลกถูกเรียกว่ายมทูต

แต่ว่า… แล้วเหนือกว่าเซียนคืออะไร?

กำลังของเซียนปฐพีที่เคยต่อสู้ด้วย มันย่อมชัดเจนแล้วว่า… เซียนปฐพีไม่ใช่ศัตรูของแม่ทัพใหญ่ในหมู่เทพ ตอนที่เขากับซูเซียงเสวี่ยอยู่ที่สุสานบรรพบุรุษจักรพรรดิอสูรองค์แรก รวมไปถึงเบาะแสที่หลีจิ่นเหยาสำรวจในซากปรักหักพังสวรรค์ของดินแดนคนตายเผยให้เห็นว่า… ยังมีขั้นที่เหนือกว่าเซียนปฐพีอยู่!

ไป๋ชิวหรานมองสีหน้าคาดหวังของไป๋ลี่ เขาทำได้เพียงกล่าวว่า

“ข้าต้องขอคิดเรื่องนี้สองวัน เจ้าไปพักผ่อนให้สบายใจก่อน ภายหลังจากพบคำตอบแล้วจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติม”

“โอ้”

ไป๋ลี่ดูผิดหวังเล็กน้อย แต่เขายังตอบรับแต่โดยดี

“ข้าจะเชื่อฟังท่าน”

ชายหนุ่มมองไป๋ลี่พาเจ้าลิงกลับไปฝึกฝน จากนั้นลากเก้าอี้ไม้มาก่อนนั่งลงตรงหน้ากระท่อม

ในเวลานั้น เขาปลดจื้อเซียนออกจากเข็มขัดและถามว่า

“จื้อเซียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับระดับของเซียนปฐพี?”

“แน่นอนว่ารู้ ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ ข้าสามารถเล่าให้เจ้าฟังได้ยาวเลยล่ะ”

จื้อเซียนตอบกลับอีกครั้ง

“แต่ระดับที่เหนือกว่าเซียนปฐพี ข้าไม่รู้หรอก สิ่งเหล่านั้นล้วนหายไปพร้อมกับการล่มสลายของราชวงศ์ชิงตะวันออกในชั่วข้ามคืน มีเพียงในโลกเซียนเท่านั้นที่มีการอยู่รอด จนกว่าจะได้เห็นข้อมูลข้าไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ถ้าอยากให้มนุษยชาติพ้นจากภยันตราย ใช่ว่าขยับแค่ริมฝีปากหรือใช้กำลังก็จะสามารถทำได้”

ไป๋ชิวหรานมองอีกาสีทองในนภา ก่อนจะทอดถอนหายใจ

ตอนนี้เขาเหมือนอยู่ในถิ่นทุรกันดารมืดมิด มีทางตันอยู่รอบด้านไม่รู้ว่าต้องไปที่ใด

“แต่สิ่งที่เรียกว่าสติต่อให้จะเป็นถิ่นทุนกันดารที่มืดมิด มันหล่อหลอมเส้นทางสู่ข้างหน้าได้อย่างแม่นยำไม่ใช่หรือ?”

ชายหนุ่มเตรียมใจเอาไว้นานแล้วจึงได้แต่ทำใจ

“ในเมื่อข้าไม่รู้ เช่นนั้นก็สร้างมันขึ้นมา และเชื่อว่าในวิถีของการฝึกฝนไม่ใช่สิ่งที่โผล่ออกมาจากอากาศธาตุ”

เมื่อเขาลุกขึ้นยืน และก่อนจะรู้ตัวตะวันก็เคลื่อนไปทางตะวันตกแล้ว เจียงหลานกำลังทำอาหารด้วยการช่วยเหลือของเหล่าสาวใช้ มีกลิ่นควันหอมกำจายจากการปรุงอาหารลอยอบอวลอยู่ทั่วหุบเขา

ไป๋ชิวหรานมาพบเจียงหลาน ก่อนบอกสิ่งที่เขาตัดสินใจได้

“ให้เงียบ ๆ งั้นหรือ?”

เจียงหลานตกตะลึงสักพัก

“นั่นมันหมายความว่าอย่างไร?”

“ข้าแค่ต้องการสถานที่ที่เงียบสงบเปี่ยมด้วยอิสระ เพื่อครุ่นคิดถึงปัญหาอย่างละเอียด”

ไป๋ชิวหรานบอกนาง

“หลังจากนี้เจ้าไม่ต้องรอกินพร้อมข้าก็ได้ แต่จงจำไว้ว่ากินให้ตรงเวลา เข้านอนให้ไว… ก่อนข้าจะออกมาดูแลตัวเองให้ดีล่ะ”

เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก่อนบอกกับสาวใช้รอบข้าง

“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ฝากพวกเจ้าดูแลนางด้วย”

ไป๋ชิวหรานกำชับ ก่อนจะเดินไปพูดคุยไป๋ลี่กับเจ้าลิงอีกครั้ง จากนั้นก็พาจื้อเซียอนออกมาเพื่อเริ่มหาสถานที่สำหรับพักผ่อน

ชายหนุ่มไม่ได้ไปไกลนัก มีน้ำตกอยู่ฝั่งด้านในสุดของหุบเขา มีถ้ำลึกอยู่ในน้ำตก เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการพักผ่อน ไป๋ชิวหรานติดตั้งค่ายกลกันเสียงไว้นอกน้ำตก

เมื่อเข้ามาด้านในสุดของถ้ำ เขาได้พบกับแท่นสูงและทำการนั่งขัดสมาธิ ไป๋ชิวหรานนำจื้อเซียนออกมาวางไว้ข้างกาย

“เหล่าไป๋”

จื้อเซียนพลันกล่าวขึ้น

“ขอบคุณมาก”

“ขอบคุณเรื่องอะไร?”

ไป๋ชิวหรานเตรียมติดตั้งการป้องกันเบื้องต้น เมื่อได้ยินดังนี้จึงตกตะลึงไม่น้อย

“ขอบคุณที่ให้ข้าเป็นสักขีพยานกับการสร้างประวัติศาสตร์ของเจ้า”

จื้อเซียนตอบ

“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ประวัติศาสตร์ดั้งเดิมเป็นเช่นไรนั้น มันไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะยามนี้ประวัติศาสตร์ที่เจ้าสร้างขึ้นมา คือประวัติศาสตร์ที่แท้จริง”

ไป๋ชิวหรานยิ้ม ก่อนจะกล่าวด้วยสุ้มเสียงหนักแน่น

“เช่นนั้นเจ้าต้องเป็นสักขีพยานให้ดี”