บทที่ 204 ความรุนแรงระดับสอง

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

เมื่อมาถึงแผนกศัลยกรรม วารุณีก็ไปลงทะเบียน จากนั้นก็นั่งรออยู่ด้านนอกห้องตรวจ เพื่อรอตรวจ

หลังจากรอไปประมาณสองสามนาที ร่างสองร่างในเสื้อกาวน์สีขาวก็เดินเข้ามา

ผู้ชายหน้าเด็กที่เดินอยู่ตรงหน้าสุดก็เห็นวารุณีที่นั่งอยู่ตรงนี้ หลังจากที่อึ้งไปครู่หนึ่ง ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ “คุณวารุณี ทำไมคุณที่มาอยู่ที่นี่ล่ะ?”

วารุณีได้ยินเสียงที่คุ้นเคย จึงได้เงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ แววตาฉายด้วยความสงสัย “คุณหมอพิชิต?”

พิชิตพยักหน้า จากนั้นก็เห็นใบลงทะเบียนในมือเธอ ขมวดคิ้วถาม “ไม่สบายเหรอ?”

“ไม่ใช่ค่ะ มาชันสูตรบาดแผล” วารุณีลุกขึ้นมา ทำมือปฏิเสธแล้วตอบ

“ชันสูตรบาดแผล?” น้ำเสียงของพิชิตสูงปรี๊ด “ต้องมีความเกี่ยวข้องกับคดีอาญาถึงจะต้องชันสูตรบาดแผล คุณเกี่ยวข้องกับคดีอาญาหรอ?”

“ประมาณนั้น” วารุณีรู้สึกอายเล็กน้อย

ใบหน้าที่บ้องแบ๊วของพิชิตเต็มไปด้วยความจริงจัง “ผมกำลังจะไปหาคุณหมอรณพีร์ที่ตรวจชันสูตรร่างกายพอดีเลย คุณมากับผม ผมจะพาคุณแทรกคิว”

“แบบนี้ไม่ดีมั้ง?” วารุณีมองผู้ป่วยที่รอคิวอยู่โดยรอบๆ

หมอพิชิตทำมือปฏิเสธ ไม่เป็นไร “เดี๋ยวผมจะจัดหมอมาเพิ่ม มาทำหน้าที่แทนคุณหมอรณพีร์ก็ได้แล้ว”

“ก็ได้ค่ะ ขอบคุณคุณหมอพิชิตแล้ว” วารุณีไหว้ขอบคุณ

พิชิตรีบหลบเลี่ยงในทันที

ล้อเล่นสิ หากถูกนัทธีรู้เข้า ว่าเขารับไหว้จากเธอ ระยะเวลาต่อจากนี้ คงได้ชักสีหน้าใส่เขาอย่างแน่นอน

“ไปเถอะ” พิชิตหันหน้าเดินนำ

ค่ะ วารุณีตอบรับไปหนึ่งที แล้วเดินตามไป

มาถึงห้องตรวจของคุณหมอรณพีร์ พิชิตก็ให้เขาช่วยตรวจชันสูตรบาดแผลให้กับวารุณี

พิชิตเป็นประธานของโรงพยาบาลแห่งนี้ ต่อไปก็ต้องเป็นผู้อำนวยการ คุณหมอรณพีร์ก็ต้องยินดีที่จะช่วยเขา เขาได้พาวารุณีเข้ามาในห้องตรวจ

และพิชิตก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องทำงานของคุณหมอรณพีร์ หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรออก “โหล นัทธี นายไปยัง?”

“ยัง นวิยาเพิ่งจะหลับไป กำลังจะไป มีอะไร?” นัทธีมองนวิยาที่เพิ่งจะนอนหลับอยู่บนเตียง กดเสียงให้ต่ำลง ตอบกลับอย่างเรียบเฉย

พิชิตเหลือบมองเข้าไปในห้องตรวจแวบหนึ่ง “เกิดเรื่องแล้ว คนที่นายรักบาดเจ็บ อยู่ตรงแผนกศัลยกรรมน่ะ”

“อะไรนะ? รูม่านตาของนัทธีหดตัวลง ใบหน้าตึงขึ้นมาทันที “วารุณีบาดเจ็บเหรอ?”

“ใช่ ไม่เพียงแต่บาดเจ็บ ยังเกี่ยวข้องกับคดีอาญาด้วย นายจะมาดูหน่อยมั้ย?”

นัทธีไม่ได้ตอบ ทำเพียงเม้มปากอย่างแรง แล้ววางสาย

ไม่ได้ยินเสียงปลายสายแล้ว พิชิตก็เอาโทรศัพท์มาดูแวบหนึ่ง เห็นว่าสายถูกวางไปแล้ว เขาก็ขยับกรอบแว่นแล้วยิ้มๆ

ดูท่าไม่กี่นาที เขาจะต้องมาปรากฏตัวที่นี่อย่างแน่นอน

เป็นจริงดั่งว่า ไม่ถึงห้านาที นัทธีก็ผลักประตูเข้ามา เห็นพิชิตนั่งอยู่ในห้องตรวจคนเดียว ก็ขมวดคิ้ว “วารุณีล่ะ?”

“อยู่ข้างในน่ะ น่าจะใกล้ออกมาแล้ว” พิชิตชี้ไปที่ห้องชันสูตรบาดแผลที่อยู่ข้างใน

นัทธีมองไป มองไปประมาณสิบกว่าวินาที ประตูห้องชันสูตรก็เปิดออก คุณหมอรณพีร์เดินออกมาจากข้างใน ในมือถือรายงานชันสูตรบาดแผล แต่วารุณียังไม่ได้ออกมา กำลังจัดเสื้อผ้าอยู่ข้างใน

“เป็นยังไงบ้าง?” พิชิตนั่งตัวตรง ช่วยนัทธีถาม

คุณหมอรณพีร์หันไปทักทายกับนัทธีแล้ว ก็ได้ยื่นใบชันสูตรบาดแผลให้กับพิชิต

แต่ขณะที่ยังลอยอยู่กลางอากาศ ก็ถูกนัทธีแย่งไปเสียก่อน

“ความรุนแรงระดับสอง?” นัทธีมองผลสรุปในใบชันสูตร สีหน้าก็มืดมนทันที

พิชิตหยิบมาดู “ผิวหนังใต้ไหล่ เส้นเลือดฝอยแตก และมีเลือดออกภายในเล็กน้อย ถือเป็นความรุนแรงระดับสองจริง คุณช่วยสั่งยาทาแผลภายนอกให้เธอด้วย”

คำพูดประโยคสุดท้าย เขานั้นพูดกับคุณหมอรณพีร์

คุณหมอรณพีร์พยักหน้า เดินไปตรงหน้าโต๊ะทำงาน หยิบปากกากับกระดาษ ขีดๆเขียนๆไปไม่กี่วินาที ก็ออกไป ไปเบิกยาที่ห้องยาด้วยตัวเอง

เมื่อเขาออกไป วารุณีก็ได้ก้าวเดินออกมาจากในห้องตรวจแล้ว

เห็นพิชิตกับนัทธียืนอยู่ด้วยกัน เธอนึกว่าตัวเองตาฝาด อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาขยี้ตา แล้วลืมตาอีกครั้ง เห็นว่านัทธียังคงยืนอยู่ตรงนั้น

“ประธนานัทธี คุณมาได้ยังไง?” วารุณีเอียงคอถาม สงสัยอย่างมาก

นัทธีได้ชูใบชันสูตรในมือขึ้นมา ถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “ประโยคที่เขียนว่าเหมือนจะถูกทุบตี มันยังไงกัน ใครทำร้ายคุณ?”

วารุณีก็ไม่ได้ปิดบัง “คุณขยานี”

จากนั้น ก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกอาคารสมาคมให้เขาฟัง

พิชิตไม่ได้ดูถ่ายทอดสด ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไร ดังนั้นเมื่อฟันจบ ดวงตาก็เบิกกว้างทันที “แม่ง แม่ลูกคู่นี้ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน โดยเฉพาะพิชญา นัทธี ฉันนั้นสงสัยมากจริงๆเลย พิชญาที่มีพฤติกรรมที่แย่ขนาดนั้น จะเป็นคนที่ช่วยชีวิตแกจริงๆเหรอ?”

นัทธีกะพริบตา ไม่ได้ตอบเขา และมองไปทางวารุณี “คุณทำได้ดีมาก”

วารุณีรู้ว่าเขากำลังชมการกระทำของเธอที่ส่งขยานีไปที่สถานีตำรวจ จึงยิ้มอย่างเขินอาย

ขณะนี้ คุณหมอรณพีร์ที่ไปเอายาได้กลับมาแล้ว ยังไม่ได้เข้ามา ก็ถูกพิชิตขวางไว้ที่ด้านนอกประตู

พิชิตได้เอายามาจากมือของเขา จากนั้นก็มายืนอยู่ข้างกายของนัทธี ยื่นยาให้กับเขา หลังจากที่หัวเราะแฮ่ๆไปแล้ว ก็กระซิบ “ได้เวลาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีแล้ว ลุยเลยเพื่อน!”

พูดจบ พิชิตก็ตบที่บ่าของนัทธีเบาๆ แล้วจึงออกไป อีกทั้งยังปิดประตูให้ด้วย

นัทธีมองขวดยาหนักๆที่อยู่ในมือของเขา ริมฝีปากบางกระตุกไปหนึ่งที แล้วพูดกับวารุณี “ถอดเสื้อสิ ผมจะช่วยคุณทายา”

วารุณีอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงรีบส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ต้องค่ะคุณนัทธี ฉันทำเองได้ค่ะ”

ขณะที่พูด เธอก็จะเอายามาจากในมือของเขา

นัทธีไม่ได้ให้เธอ ได้เปิดฝาขวดโดยตรง จากนั้นก็ดึงเสื้อตรงไหล่ของเธอลง

วารุณียังไม่ทันรู้สึกตัว จนกระทั่งสึกเย็นๆที่หัวไหล่ จึงรู้ว่าเขาทำอะไร ใบหน้าแดงระรื่น อ้าปากค้างไว้เล็กน้อย ครู่ใหญ่จึงได้เปล่งเสียงพูดออกมา “ประธานนัทธีคุณ……..”

เขาทำแบบนี้ได้ยังไง?

นัทธีไม่ได้สนใจคำพูดของวารุณี หรี่ตามองบาดแผลที่บวมแดงตรงหัวไหล่ของเธอ แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา

จากนั้น เขาจึงได้ดึงตัวเธอไปนั่งตรงโซฟา เริ่มช่วยเธอทายา

ตอนที่ทายา ร่างกายของวารุณีเกร็งอย่างมาก มือทั้งสองข้างได้จับกระโปรงไว้อย่างแน่นๆ ฟันได้กัดไปที่ริมฝีปากล่าง ราวกับพยายามอดทนอะไรสักอย่าง

นัทธีเห็นเข้า ก็ลดแรงในการทายา “รู้ว่าเจ็บ ตอนนั้นทำไมไม่หลบ?”

“ฉันหลบแล้ว แต่หลบไม่พ้น” วารุณีที่ก้มหน้าอยู่ พูดด้วยน้ำเสียงที่เบา

นัทธีเม้มริมฝีปาก “ทุกครั้งที่ผมเห็นคุณ สิบครั้งมีแปดครั้งที่คุณจะบาดเจ็บ คุณช่วยดูแลตัวเองดีๆหน่อยได้มั้ย?” วารุณีเบ้ปากเล็กน้อย “ฉันก็ไม่อยาก แต่ทุกครั้งอุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ฉันไม่สามารถโต้ตอบได้ทันท่วงที ตอนนี้ฉันยังคิดเลย ตอนแรกที่ฉันกลับมาที่เมืองแห่งนี้ สรุปมันดีหรือไม่ดี”

ตอนแรกที่เธอกลับมา ไม่เพียงเพราะว่าเมืองแห่งนี้เป็นบ้านเกิดของเธอ สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ก็เพราะเมืองแห่งนี้ เป็นเมืองอุตสาหกรรมเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ มีโอกาสมากมายที่พัฒนาอาชีพการงานของเธอที่นี่

แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็คือ ในขณะที่เธอกำลังเตรียมตัวสร้างพัฒนาอาชีพการงานของเธอ เธอก็ได้หลงรักผู้ชายที่ไม่ควรจะรักอย่างนัทธี ก็เพราะเขา ระยะหลังจึงทำให้เกิดวิกฤตต่างๆเรื่อยมา

เหมือนจะอ่านออกว่าวารุณีกำลังคิดอะไร นัทธีก็ก้มหน้าลง “แต่ผมกลับดีใจที่คุณกลับมา!”