บทที่ 205 บทสนทนาในห้องสอบปากคำ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“เอ้ะ?” วารุณีอึ้งไปครู่หนึ่ง “ทำไม?”

นัทธีไม่ได้ตอบเธออีก ตัดผ้าก๊อซแล้วแปะบนไหล่ของเธอ

วารุณีเห็นเขาไม่พูด ก็เลยก้มหน้าครุ่นคิด

ดีใจที่เขาพูดถึง น่าจะหมายถึง‘Bath fire rebirth’มั้ง

ถ้าหากเธอไม่กลับมา นายท่านวัชระก็คงจะปฏิเสธ ไม่แน่‘Bath fire rebirth’ถึงตอนนี้อาจจะไม่ได้จัดแสดง

ขณะที่ครุ่นคิด มุมปากของวารุณีก็ปรากฏด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ

“เอาล่ะ!” ทาเสร็จแล้ว นัทธีช่วยดึงเสื้อผ้าของวารุณีขึ้น

วารุณีลุกขึ้นยืน “ขอบคุณประธานนัทธี งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ฉันยังต้องไปสถานีตำรวจอีก”

“เสร็จแล้วก็กลับคอนโดเลยใช่มั้ย?” นัทธีที่หยิบกระดาษทิชชูที่อยู่บนโต๊ะทำงานของคุณหมอรณพีร์ มาเช็ดคราบยาบนมือ

วารุณีพยักหน้า “ใช่ค่ะ ออกมาจากสถานีตำรวจ ฟ้าน่าจะมืดแล้วมั้ง”

“งั้นผมไปกับคุณ” นัทธีโยนกระดาษทิชชูลงถังขยะ

วารุณีเลิกคิ้ว “ไปกับฉัน?”

“คุณรู้สึกว่าแขนของคุณ ยังสามารถขับรถได้มั้ย?” นัทธีชำเลืองมองเธอ

วารุณีขยับริมฝีปากแดง ทันใดนั้นก็ไม่มีอะไรจะพูด

สถานการณ์ของเธอในตอนนี้ ไม่สามารถที่จะขับรถได้จริงๆ

“เอาล่ะ ไปเถอะ เดี๋ยวผมขับรถเอง” นัทธีพูดพร้อมกับเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วเปิดประตูเดินออกไปก่อน

วารุณีไม่เถียง ทำได้เพียงเดินตามออกไป

กลับมาถึงที่ห้องพักฟื้นของพงศกร

พงศกรเห็นเธอเข้ามา ก็รีบวางโทรศัพท์ลง “วารุณี ตรวจเสร็จแล้วเหรอ?”

“อืม” วารุณีพยักหน้า

“เป็นไงมั่ง?”

“ความรุนแรงระดับสอง” วารุณีโชว์ใบชันสูตรบาดแผลในมือ

“ความรุนแรงระดับสอง……..” พงศกรพูดซ้ำคำพูดนี้อีกครั้ง แววตาที่อยู่หลังเลนส์ กะพริบผ่านไปด้วยแรงอาฆาต เพียงชั่วขณะ ก็ได้กลับมาสู่แววตาที่อ่อนโยน “ความรุนแรงระดับสอง สามารถเอาผิดขยานีได้แล้ว”

“ใช่ ดังนั้นตอนนี้ฉันจะพาเด็กๆไปด้วย”

พูดจบ วารุณีก็เดินไปทางโซฟา ค่อยๆปลุกเด็กทั้งสองคนให้ตื่น

เด็กทั้งสองคนลืมตาขึ้นมา เห็นแม่ที่อยู่ตรงหน้า ก็รีบสวมกอดเธอทันที

วารุณีใช้พลังไปไม่น้อย กว่าที่จะเอาเด็กออกจากการออดอ้อนในอ้อมอก ถอนหายใจด้วยความเหนื่อย “พงศกร งั้นเราไปก่อนแล้วนะ”

“อืม” พงศกรยิ้มพยักหน้า

วารุณีจูงมือเด็กๆออกไปจากห้องผู้ป่วย

หลังจากที่เธอไปแล้ว พงศกรก็หยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนหัวเตียง โทรไปยังหมายเลขหนึ่ง “ผมเอง ครั้งก่อนที่ผมปฏิเสธเคสผ่าตัดนั้นของคุณ รอให้ผมหายก่อน ผมรับปากจะผ่าให้ แต่ก่อนหน้านั้น คุณต้องช่วยอะไรผมอย่างหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อขยานี รอให้เธอออกมาจากโรงพัก ช่วยสั่งสอนให้เธอหลาบจำหน่อย!”

คนที่อยู่ปลายสายเหมือนจะรับปากไปแล้ว ใบหน้าของพงศกรปรากฏด้วยรอยยิ้มที่ร้ายกาจ จากนั้นก็วางสาย แล้วโยนโทรศัพท์ไว้ข้างเตียง

เขาไม่มีทางที่จะยอมให้ใครมารังแกวารุณีเป็นอันขาด คนที่รังแกวารุณี เขาไม่มีทางที่จะปล่อยมันไป รวมถึงผู้หญิงคนนั้นด้วย เขาต้องให้ผู้หญิงคนนั้นที่ต้องการชีวิตของวารุณี มีจุดจบที่น่าอนาถ

เพราะบนโลกใบนี้ คนที่สามารถรังแกวารุณีได้ มีเพียงเขา ไม่ว่าช้าหรือเร็ว เขาจะทำให้วารุณีเชื่อฟังคำพูดของเขาคนเดียวเหมือนดังเช่นตุ๊กตา ทั้งชีวิตมีชีวิตอยู่เพื่อเขาคนเดียว!

วารุณีไม่รู้ความคิดของพงศกร เธอพาลูกสองคนเดินไปตรงรถที่จอดอยู่ข้างถนน

นัทธีได้นั่งรถอยู่ในตำแหน่งคนขับแล้ว เมื่อเห็นสามแม่ลูกเดินเข้ามา ก็กดปุ่มล็อกของประตูด้านหลังทันที

วารุณีเปิดประตูรถ ให้ลูกสองคนขึ้นรถไปก่อน

หลังจากที่เด็กทั้งสองขึ้นรถมาแล้ว จึงพบว่านัทธีก็อยู่ด้วย ก็เรียกอย่างดีอกดีใจ “คุณอานัทธี”

นัทธีตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

วารุณีเปิดประตูข้างคนขับแล้วเข้าไปนั่ง พลางรัดเข็มขัดนิรภัย พลางหันหน้ามองไปเด็กๆที่นั่งอยู่ข้างหลัง “เอาล่ะ ทั้งสองคนนั่งให้ดีๆนะ คุณอานัทธีจะขับรถแล้ว”

“ครับ ค่ะ” เด็กทั้งสองคนนั่งอย่างเรียบร้อย ไม่ขยับแล้ว

นัทธีสตาร์ทรถ ขับมุ่งหน้าไปทางสถานีตำรวจ

ประมาณสิบนาทีให้หลัง ก็มาถึงสถานีตำรวจแล้ว

วารุณีให้นัทธีอยู่เป็นเพื่อนเด็กๆ ตัวเธอเองก็ถือใบชันสูตรแผลเข้าไปในสถานีตำตรวจ

หลังจากที่เข้าไปแล้ว วารุณีก็เอาใบชันสูตรแผลมอบให้กับเจ้าหน้าที่ จากนั้นกำลังจะไปดูพิชญาสองแม่ลูกที่ห้องสอบปากคำ

เพิ่งจะเดินไปถึงหน้าประตูห้องสอบปากคำ เธอก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของขยานีที่ดังออกมาจากข้างใน “ที่รัก คุณรีบหาทางช่วยฉันกับพิชญาด้วย”

“ช่วยเหรอ? คุณช่วยบอกผมหน่อยว่าจะช่วยยังไ?” เสียงที่โกรธของสุภัทรก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงตบโต๊ะ “คุณก็ไม่ดูเลยว่าตัวเองนั้นทำอะไรลงไป ข้อหาของพิชญาคือคัดลอกแบบของคนอื่นซึ่งมันเป็นความผิดที่ร้ายแรงมากเลยนะ!”

“ใช่ พิชญานั้นคัดลอกแบบ แต่เงินที่พิชญาได้จากการคัดลอกแบบ เงินส่วนใหญ่ก็ได้เอามาช่วยให้บริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปรอดพ้นจากวิกฤต ตอนที่คุณใช้มันทำไมไม่พูดว่ามันเป็นเงินที่ได้มาจากการคัดลอกแบบ ตอนนี้ให้คุณช่วยลูกสาว คุณกลับพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้คุณยังเป็นพ่อของแกหรือเปล่า?” ขยานีคำรามด้วยแววตาที่แดงก่ำ

วารุณีก้มหน้าก้มตา สองมือจับราวรถเข็นไว้อย่างแน่นๆ ไม่ได้พูดอะไร และก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

วารุณีที่อยู่ข้างนอกฟังมาจนถึงตรงนี้ ก็ยิ้มหยันไปหนึ่งที

คิดไม่ถึง เธอนั้นกลับต้องมาเจอกับภาพที่สองสามีภรรยาทะเลาะกัน

เธอยังนึกว่าสองสามีภรรยาคู่รักกันมากเสียอีก ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!

วารุณีโกรธจนหายใจหอบ มือที่สั่นชี้ไปที่ขยานี “ฉันทำไมถึงจะไม่ใช่พ่อของลูกล่ะ คุณคิดว่าผมไม่อยากช่วยลูกเหรอ แต่ผมช่วยไม่ได้ หากลูกแค่คัดลอกแบบของดีไซเนอร์เล็กๆที่ไม่มีชื่อเสียงยังพอไว้ ผมสามารถหาทางหาตัวพวกเขาออกมา แต่ว่าแบบที่ลูกคัดลอก ล้วนเป็นดีไซเนอร์ระดับนานาชาตินะ”

“แล้วยังไง? ก็เป็นดีไซเนอร์เล็กๆไม่ใช่เหรอ? ขยานีเบ้ปาก” เหมือนไม่เห็นด้วย

ในสายตาของเธอ ก็แค่ดีไซเนอร์คนหนึ่งเท่านั้น จะมีเงินและอำนาจเทียบเท่ากับประธานบริษัทได้ยังไง

สุภัทรโกรธจนเกือบจะเป็นลม “ดีไซเนอร์เล็กๆเหรอ? คนโง่ คุณมันโง่จริงๆ ดีไซเนอร์เหล่านั้น คนไหนบ้างที่ไม่มีนายทุนอยู่เบื้องหลัง? พิชญาคัดลอกแบบของพวกเขา คุณคิดว่าพวกเขาจะยอมปล่อยพิชญาเหรอ? หากพวกเขาจะจัดการพวกเรา เราไม่มีทางที่จะสู้ได้เลย”

วารุณีพยักหน้า

ยังคงเป็นสุภัทรที่มองสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน

ขยานีเห็นสุภัทรพูดจาอย่างจริงจัง เธอก็เริ่มลนลานแล้ว “มัน…..มันรุนแรงขนาดนั้นเลยหรอ?”

“คุณว่าล่ะ?” สุภัทรจ้องมองเธอด้วยความโกรธ

ขยานีกลัวแล้ว กลัวจริงๆแล้ว มือไม้เริ่มสั่น “ที่รัก แล้วพิชญาจะทำยังไง หรือว่าลูกต้องติดคุกจริงๆ”

สุภัทรถอนหายใจ “ตอนนี้รอดูสถานการณ์ไปก่อน ผมจะคิดหาวิธีดู แต่เรื่องของคุณนั้นจัดการง่ายหน่อย คุณเข้ามาที่นี่เพราะทำร้ายยัยวารุณี ขอเพียงยัยวารุณีถอนแจ้งความ คุณก็ออกไปได้แล้ว”

“แล้วเธอจะถอนแจ้งความมั้ย?” ขยานีบ่นพึมพำ

สุภัทรทำหน้าบึ้ง “ทำไมจะไม่ถอนล่ะ ผมเป็นพ่อเขา ผมสั่งให้เธอถอน เธอจะกล้าไม่ฟังเลยเหรอ?”

“ใช่ คุณเป็นพ่อ แต่คำพูดของคุณ ฉันไม่ฟังอยู่แล้ว!” วารุณีทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เดินยิ้มเยาะผลักประตูเข้าไป

สามคนที่อยู่ข้างในคิดไม่ถึงว่าเวลานี้เธอจะมาปรากฏตัวที่นี่ ล้วนถูกเธอทำให้ตกใจจนสะดุ้ง

“ลูก……ลูกได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย?” สุภัทรกระแอมไปหนึ่งที กระอักกระอ่วนเล็กน้อย

จริงๆในใจแล้วเขานั้นรู้ดี ลูกสาวที่อยู่ตรงหน้า ไม่ฟังคำพูดของเขานานแล้ว

เมื่อกี้ที่เขาพูดแบบนั้น ก็แค่รักษาหน้าตาเท่านั้น กลับคิดไม่ถึง ถูกลูกสาวได้ยินเข้าอย่างจังๆ เหมือนถูกตบหน้าในทันที

“ใช่ ฉันได้ยินหมดแล้ว” วารุณีใช้สายตาที่เยือกเย็นกวาดมองพิชญาที่อยู่ด้านในสุด แล้วกวาดมองมาทางขยานีที่กำลังหวาดกลัว สุดท้ายมาหยุดอยู่บนใบหน้าของสุภัทร

สุภัทรลูบไม้เท้าไปหนึ่งที “เอ๋อ วารุณี ในเมื่อลูกได้ยินแล้ว ลูกก็……….”

“เป็นไปไม่ได้!” รู้ว่าเขาจะพูดอะไร ริมฝีปากแดงของวารุณีขยับทันที ปฏิเสธโดยตรง