ภาค-1-จ้วงหยวนแห่งหนานฉู่-บทนำ ตอนที่ 13 ฉีอ๋องราชทูตแห่งต้ายง (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ข้าตัดสินใจมองดูฉีอ๋องผู้ยโสโอหังท่านนี้ให้ดี นี่คือผู้ที่จะดึงหนานฉู่เข้าสู่สงครามของต้ายง หลี่เสี่ยนเดินตามหลังท่านเจ้าแคว้นออกมา ปีนี้หลี่เสี่ยนอายุยี่สิบหกแล้ว มีรูปโฉมหล่อเหลาสง่างาม เนื่องจากใช้ชีวิตในค่ายทหารมานาน ร่างกายจึงเหยียดตรงดูแกร่งกร้าวราวต้นสน บนร่างมีไอสังหารที่เกิดจากการต่อสู้รบราอย่างโชกโชนแผ่ออกมา วันนี้เป็นวันที่ฉีอ๋องจะเข้าพบขุนนางในราชสำนักอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงสวมชุดขององค์ชายแห่งต้ายงเต็มยศ เป็นเสื้อแพรสีเหลืองทองปักลายมังกรขนด แสดงถึงอำนาจบารมีเด่นชัด ข้ารู้สึกเย็นยะเยือก ฉีอ๋องผู้นี้ต้องเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตแน่นอน

ขณะที่ฉีอ๋องเดินผ่านข้างกายข้า จู่ๆ เขาก็ปรายตามองข้าแวบหนึ่ง ในดวงตามีประกายเย็นยะเยือกราวจะแช่แข็งผู้อื่นแผ่ออกมา ข้ารีบก้มหน้าหลบสายตา แม้ข้าจะเคยเห็นแววตาที่เจือไปด้วยไอสังหารเช่นนั้นมาแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาระแวง คิดว่าข้าไม่หวาดกลัวเขามิใช่หรือ ทว่าเขาจะระแวงข้าทำไมเล่า หรือเหลียงหวั่นรายงานอะไรเขาแล้ว ต้ายงนี่ช่างร้ายกาจเสียจริง ฉีอ๋องคนเดียวก็น่าเกรงขามเพียงนี้แล้ว ไม่รู้ว่ายงอ๋องที่อยู่เหนือเขาจะมีลักษณะเช่นไร

ที่หลี่เสี่ยนระแวงบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเป็นเพราะสาเหตุพิเศษ เขามีสัญชาตญาณสัตว์ป่าติดตัวมาแต่กำเนิด เมื่อครู่ยามสนทนาลับกับจ้าวเจียในห้องทรงพระอักษร ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกไม่สบายใจ คล้ายถูกผู้อื่นแอบฟัง ทั้งๆ ที่รู้แก่ใจว่าบริเวณยี่สิบจั้งรอบๆ ไม่มีเงาผู้ใด และบริเวณเกินยี่สิบจั้งขึ้นไป หากมีคนได้ยินเสียงในห้อง วรยุทธ์ของคนผู้นั้นจะต้องร้ายกาจอย่างยิ่ง เขาเชื่อว่าหนานฉู่ไม่มีคนเช่นนั้นอยู่แน่

ยามเดินออกมาจากห้อง เขาแสร้งทำเป็นมองสำรวจขุนนางและข้ารับใช้ที่อยู่ด้านนอกราวมิแยแส แต่กลับพบว่า แม้จะมีหลายคนที่วรยุทธ์ไม่เลว สมควรเป็นยอดฝีมือในวังหลวงแห่งหนานฉู่ แต่จากตำแหน่งของพวกเขา ย่อมมิอาจได้ยินเสียงในห้อง ส่วนขุนนางตามเสด็จที่มียศตำแหน่งไม่สูง แม้จะอยู่ใกล้กว่า แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีวรยุทธ์

ขณะที่สายตาของเขากวาดผ่านร่างเจียงเจ๋อ แม้รู้ว่าคนผู้นี้แอบฟังไม่ได้แน่นอน แต่หลี่เสี่ยนกลับรู้สึกสั่นสะท้านจางๆ ขุนนางหนุ่มผู้นี้ แม้อายุไม่มากแต่ดูมีสง่าราศี สุขุมเยือกเย็น หลี่เสี่ยนรู้ว่าตนมีกลิ่นอายน่าเกรงขามเฉกเช่นขุนพลผู้หนึ่ง ครั้งหนึ่งตอนอยู่ในต้ายง มีขุนนางกล่าวล่วงเกินเขาจนบันดาลโทสะกระทั่งคิดจะลงมือ จู่ๆ ขุนนางผู้นั้นก็ตกใจจนเป็นลมล้มพับไป ส่วนขุนนางบุ๋นบู๊คนอื่นๆ ยามเห็นเขาล้วนแต่มีท่าทีไม่สบายใจ ต่อให้เป็นองค์รัชทายาท เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็มักมีท่าทีระมัดระวัง นอกจากคนผู้นั้น หลี่เสี่ยนคิดว่าตั้งแต่ตนเข้าพิธีสวมกวาน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอคนที่มีท่าทีเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านเช่นนี้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาเขาพลันฉายแววข่มขู่เป็นเท่าทวี ขุนนางหนุ่มผู้นั้นก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อหลบสายตา เดิมที นี่ควรเป็นปฏิกิริยาของผู้ยอมจำนน แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หลี่เสี่ยนกลับรู้สึกว่าคนผู้นี้มิได้หวาดกลัวตนสักนิด

คิดได้ดังนั้น หลี่เสี่ยนจึงหยุดฝีเท้า ถามไปว่า “เจ้าชื่ออะไร”

ข้ากำลังใช้สายตามองสำรวจความสงบนิ่งของหลี่เสี่ยน เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถาม อีกทั้งเห็นรองเท้าหยุดอยู่เบื้องหน้า จึงทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองท่านเจ้าแคว้น ใช้สายตาเป็นเชิงขออนุญาต เจ้าแคว้นทรงตรัสขึ้นว่า “นี่คือ เจียงเจ๋อ จ้วงหยวนประจำรัชศกเสี่ยนเต๋อ ปีที่สิบหก เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของหนานฉู่ พระมเหสีโปรดปรานบทกวีของเขามากทีเดียว”

หลี่เสี่ยนเผยสีหน้าเข้าใจกระจ่างออกมา พูดว่า

“ที่แท้เจ้าคือเจียงเจ๋อนี่เอง เจ้าเขียนบทกวีได้ดีจริงๆ

‘ยอดชัยภูมิแห่งอาคเนย์ คือสามนเรศอันยิ่งใหญ่ เฉียนถัง[1] รุ่งเรืองแต่โบราณไกล หลิวงามสะพานวิไลดั่งรูปโสภา ม่านมารุตเขียวขจี มีบ้านเรือนนับแสนทั้งเล็กใหญ่ ม่านเมฆหมู่พฤกษาล้อมธาราไกล เกลียวคลื่นโหมพรายดุจหิมะโปรย คูเมืองโอบล้อมไร้สิ้นสุด ไข่มุกบริสุทธิ์วางขายทั่วหล้า ผู้คนแข่งสะสมต่วนไหมแลภูษา ทะเลสาบยอดภูผาทับซ้อนงามโสภา พฤษางอกงามดั่งสาทรตลอดปี สัตตบงกชเบ่งบานนับสิบลี้ แว่วเสียงเชียงตี๋[2] ครึกครื้นยามทิวา หญิงชราก้มเด็ดปทุมมา แย้มยิ้มงามตาผ่องใส ร่างสูงใหญ่ห้อมล้อมนายทัพกล้า สดับฟังเสียงเซียวเสียงกลองอย่างเมามาย เอี้ยวฟังเสียงขานรางวัลดุจม่านเมฆา วาดฝันทิวทัศน์งามในวันหน้า หวังกลับมาโอ้อวดพร้อมคำอำนวยชัย’

“บท ‘มองทะเลคลื่น’ นี้เจ้าเป็นผู้เขียนกระมัง ทำให้ผู้อื่นปรารถนา อยากเห็นทิวทัศน์งามของเจียงหนาน (แดนใต้) สักครั้งจริงๆ คราวนี้ข้าเดินทางมาเป็นทูตถึงหนานฉู่ จึงอยากเยี่ยมชมทิวทัศน์หนานฉู่เสียหน่อย”

ข้าลอบมองพระพักตร์ของเจ้าแคว้นที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทรงเกียรติ รีบเอ่ยอย่างถ่อมตัว “ผลงานหยาบๆ ของกระหม่อมได้รับความชื่นชมจากองค์ชาย นับเป็นเกียรติของกระหม่อมแล้ว”

หลี่เสี่ยนมองข้าด้วยสายตาลึกล้ำแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเรียกให้ท่านเจ้าแคว้นเดินต่อไป

ข้ารู้สึกแผ่นหลังเย็นยะเยือก เนื่องจากสายตาเช่นนั้นให้ความรู้สึกบ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันร้อนแรงดุจเพลิงแผดเผา ข้าพลันนึกฉงนขึ้นมาว่าฉีอ๋องท่านนี้ นอกจากชอบหยอกล้อเหล่าบุปผางามแล้วยังนิยมตัดแขนเสื้อ[3] ด้วยหรือไม่ ข้าสั่นสะท้านไปครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าต่อจากนี้ไป ยิ่งอยู่ห่างเขาได้เท่าใดก็ยิ่งดี

ผู้ใดจะทราบว่า สวรรค์กลับไม่ทำตามความปรารถนาของมนุษย์ วันต่อมา ข้าได้รับราชโองการจากท่านเจ้าแคว้น ทรงรับสั่งให้ข้ารับหน้าที่พาฉีอ๋องท่องเที่ยวระหว่างที่พระองค์ยังพำนักอยู่ในหนานฉู่ สวรรค์ ท่านช่างไม่มีเมตตาเอาเสียเลย ข้าเงยหน้าขึ้นรำพึงรำพันต่อฟ้า จากนั้นจึงตัดสินใจไปถามเสี่ยวซุ่นจื่อดูเสียหน่อยว่า ระยะนี้เขาหาเวลาปลีกตัวมาคุ้มครองข้าได้หรือไม่ ที่น่าขุ่นเคืองก็คือ เสี่ยวซุ่นจื่อกลับตอบมาอย่างเย็นชาว่า “ข้ายุ่งมาก ถึงอย่างไรฉีอ๋องก็หล่อเหลาไม่เลว ท่านไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเขาให้มากหน่อยเถิด ไม่แน่ว่าฉีอ๋องอาจพาท่านกลับไปเสพสุขที่ต้ายงด้วยก็เป็นได้”

ข้าโกรธจนแทบสลบ ตัดสินใจทันทีว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องคุ้มครองตัวเอง จะไม่ยอมให้ความคิดชั่วร้ายของฉีอ๋องสำเร็จผลเป็นอันขาด

ยามข้าไปถึงศาลาพักม้าเพื่อทูลรายงานฉีอ๋อง พบว่าฉีอ๋องสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อน นั่งกอดอกหัวเราะลั่นอยู่ในศาลาท่ามกลางสายลมฤดูวสันต์อันเย็นยะเยือก ข้างกายมีชายหนุ่มรูปงามสวมอาภรณ์ขาวดุจหิมะนั่งอยู่ด้วยผู้หนึ่ง เขากำลังมองไปที่ฉีอ๋องอย่างเสน่หา ข้าเกือบหมุนตัววิ่งหนีแล้วเชียว แต่เมื่อคิดดูอีกที ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวท่านนี้ รูปงามโสภาปานฉะนี้ ต่อให้เป็นสตรีที่โดดเด่นเพียงใดก็ยังมิอาจเทียบ ข้าที่เป็นบัณฑิตฮั่นหลินตัวเล็กๆ ทั้งยังหน้าตาสามัญสมควรไม่มีปัญหาใดกระมัง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงเดินเข้าไปทักทายอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงบอกไปว่า ข้าได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าแคว้นให้มาคอยปรนนิบัติรับใช้

ฉีอ๋องมองข้าด้วยสายตาทอประกายอยู่พักใหญ่จึงค่อยตอบ “ดี ข้าได้ยินว่าเจี้ยนเย่มีสาวงามมากมาย หญิงคณิกานางใดที่โดดเด่นที่สุดในลุ่มแม่น้ำฉินไหวแห่งนี้”

ข้าขมวดคิ้ว พยายามนึกอยู่นาน “เรื่องนี้กระหม่อมไม่ทราบแน่ชัด องค์ชายโปรดอนุญาตให้กระหม่อมกลับไปตรวจสอบเสียหน่อยเถิด กระหม่อมจะตรวจสอบให้ชัดเจนเป็นแน่”

ในดวงตาของฉีอ๋องเต็มไปด้วยแววขบขัน “ช่างเถิด หากเจ้าไปตรวจสอบเช่นนี้ มิใช่ว่าจะมีข่าวลือแพร่ไปทั่วทั้งเจี้ยนเย่หรือไร คงพูดกันว่าข้าเสาะหาหญิงคณิกาไปทั่ว หากเสด็จพ่อทรงทราบ เกรงว่าข้าคงถูกประนามยกใหญ่ ไปเถิด คืนนี้เจ้าไปดูเป็นเพื่อนข้า จะต้องหาให้ได้ว่าผู้ใดคือนางคณิกาอันดับหนึ่ง”

ข้ารู้สึกยินดียิ่ง ในใจคิดว่า ท่านชอบไปหาสตรีก็ดีแล้ว ความอ่อนโยนของสตรีคือสุสานของวีรบุรุษกล้า ดังนั้นข้าไม่แนะนำให้ท่านไปเที่ยวเล่นจนตายตั้งแต่ยังหนุ่ม อย่างไรก็ดี ข้าจะต้องหาหอคณิกาที่ดีที่สุดออกมาให้ได้ ข้าวางแผนอยู่ในใจ คิดว่าอีกครู่จะไปถามขุนนางประจำศาลาพักม้า[4] ดูเสียหน่อย เขาต้องทราบแน่นอน

ใกล้ถึงยามพลบค่ำแล้ว ข้าหาโอกาสถามเรื่องเกี่ยวกับแถบแม่น้ำฉินไหวจนรู้ลึกซึ้ง หากมิใช่ว่าฉีอ๋องยืนกรานจะปลอมตัวออกท่องเที่ยวและไม่อนุญาตให้ผู้อื่นติดตาม ข้ายังคิดไหว้วานขุนนางประจำศาลาพักม้าให้นำทางพวกเราไปด้วยซ้ำ

แต่ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวคนนั้นคือผู้ใดกัน ฉีอ๋องไม่ได้แนะนำ พูดเพียงว่าเขาแซ่ฉิน ให้ข้าเรียกเขาว่าคุณชายฉินก็พอ แต่ข้ามองอย่างไรก็รู้สึกว่าชายหนุ่มอาภรณ์ขาวท่านนั้นคล้ายกระบี่หยกที่ซ่อนอยู่ในฝัก ที่น่ากลัวก็คือ วันนี้เจ้าเสี่ยวซุ่นจื่อนั่นดูเซื่องซึมราวกับหัวไชเท้าเหี่ยวๆ ข้านึกฉงนยิ่ง เจ้านี่ยิ่งฝึกวรยุทธ์ ฝีมือยิ่งถดถอยใช่หรือไม่ แต่ไม่ควรเป็นเช่นนั้นกระมัง ตอนนี้คล้ายว่าเขาจะไปมาไร้ร่องรอยขึ้นทุกวันแล้ว สามวันก่อนข้าเพิ่งกลับมาจากวัง เห็นเขากำลังรอข้าอยู่ที่บ้าน กล่าวว่าวันนี้เขาไม่ต้องเข้าเวร ดังนั้นจึงไปวิ่งเล่นที่อู๋ซีซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปราวเจ็ดสิบแปดสิบลี้ ทั้งยังนำเสี่ยวหลงเปาไส้เนื้อและน้ำแกงวุ้นเส้นเลือดเป็ด ซึ่งเป็นของท้องถิ่นกลับมาเป็นอาหารเย็นให้ข้าด้วย ข้าเห็นเสี่ยวหลงเปาและน้ำแกงยังอุ่นอยู่ก็ต้องตะลึงพรึงเพริด แม้จะมีกล่องอาหารเก็บความร้อนแต่ก็เก็บได้ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงยามเท่านั้น

เมื่อคิดถึงตรงนี้ข้าก็นึกขุ่นเคืองขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าเด็กคนนี้นี่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้ามีอันตราย เหตุใดจึงไม่ยอมมาคุ้มครองข้าเล่า ต่อไปนี้หากข้าลงครัวทำอาหารอีกจะไม่เหลือไว้ให้เขาแล้ว

ข้าทราบมาว่า หอคณิกาที่โดดเด่นที่สุดของเจี้ยนเย่คือหอเฟิงเยว่ เรือนเซียวเซียง หออี๋หง และเรือเพียวเซียง หอเฟิงเยว่โดดเด่นเรื่องเคล็ดวิชาบนเตียง เรือนเซียวเซียงอาศัยทักษะขับร้องร่ายรำ หออี๋หงเป็นหอคณิกาที่ขึ้นชื่อเรื่องแหล่งรวมอบายมุข ทั้งการพนันสุราและนางโลม ส่วนเรือเพียวเซียงว่ากันว่าเจ้าของคือหลิ่วเพียวเซียง หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของลุ่มน้ำฉินไหว ในเมื่อฉีอ๋องเป็นแขกประจำของหอนางโลม เช่นนั้นย่อมต้องให้เขาไปเจอหลิ่วเพียวเซียงเสียหน่อย เชื่อว่าลูกหลานราชนิกุลเช่นนี้ ต่อให้เป็นพวกชอบเที่ยวก็คงไม่ชอบสถานที่ที่ดูสามัญไร้ระดับเกินไป

สรุปแล้วเมื่อข้าบอกว่าจะไปเรือเพียวเซียง ฉีอ๋องก็ตอบอย่างกระตือรือร้นว่า “ดียิ่ง ข้ากำลังอยากเห็นรูปโฉมของนางโลมอันดับหนึ่งแห่งเจี้ยนเย่อยู่พอดีเชียว”

ตอนนั้นข้าโกรธจนแทบกระอัก เขาต้องแกล้งข้าเล่นเป็นแน่ มิเช่นนั้นเหตุใดจึงให้ข้าไปหาข้อมูลมาอีกเล่า แม้ขุนนางประจำศาลาพักม้าผู้นั้นจะรู้ว่าฉีอ๋องเป็นคนอยากไป ทว่ายังใช้สายตาคลุมเครือมองข้า ข้าเป็นบุรุษอัศจรรย์ที่ครองตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องดุจหยกเชียวนะ

[1] เฉียนถัง คือ ชื่อหังโจวในสมัยโบราณ เคยเป็นเมืองในแคว้นอู๋

[2] เชียงตี๋ หมายถึง ขลุ่ยของชนเผ่าเชียง มีสองเลาอยู่ติดกัน เลาหนึ่งมี 6 รู

[3] ตัดแขนเสื้อ หมายถึง ชายรักชาย

[4] ศาลาพักม้า จวนที่สร้างไว้ในเมืองต่างๆ เพื่อให้รับรองแขกคนสำคัญ ที่เรียกว่าศาลาพักม้าเพราะในสมัยก่อนจะใช้เป็นสถานที่พักม้าระหว่างเดินทางไกล

ตอนต่อไป