ข้าเดินเป็นเพื่อนฉีอ๋องอยู่บนถนนใหญ่ ฉีอ๋องสอบถามเกี่ยวกับสิ่งของรอบตัวอย่างกระตือรือร้น แม้ข้าไม่คุ้นเคยกับของเหล่านี้ แต่ยังตอบไปได้บ้าง
หากจะไปที่แม่น้ำฉินไหวก็ต้องผ่านถนนฉินไหว ซึ่งเป็นแหล่งเริงรมย์ที่รุ่งเรืองที่สุดเสียก่อน สองข้างทางจุดโคมไฟสว่างไสว หอนางโลมและเหลาสุราทั้งหลายล้วนเปิดประตูกว้าง มีกุยหนู[1] ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูร้าน หลายแห่งยังมีสตรีประทินโฉมงดงามส่งเสียงเรียกลูกค้าดังเจื้อยแจ้ว กลุ่มของพวกเราแต่ละคนมีรูปโฉมไม่เลว โดยเฉพาะฉีอ๋องที่สวมผ้าไหมทั้งยังมีบุคลิกไม่ธรรมดา เป็นลักษณะแขกที่หอคณิกาชมชอบ
ดังนั้นกุยหนูและหญิงคณิกาไม่น้อยจึงคิดเข้ามาพัวพัน ข้าพบว่ามีชายฉกรรจ์สวมใส่ชุดธรรมดาหลายสิบคนเดินล้อมพวกเรา คล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ คอยผลักคนเหล่านั้นออกไปเพื่อปกป้องพวกเราลับๆ คนสิบกว่าคนนี้มีรูปโฉมธรรมดา ทว่าร่างกายกำยำแข็งแรง ภายใต้อาภรณ์บางซ่อนกล้ามเนื้อแกร่งเป็นมัดเอาไว้ ยามเดินเหินผงฝุ่นไม่กระจาย
ข้าพลันกระจ่างแก่ใจ คนเหล่านี้ต้องเป็นองครักษ์ของฉีอ๋องอย่างแน่แท้ คงเป็นเช่นนั้นกระมัง ราชนิกุลผู้สูงศักดิ์พระองค์หนึ่งออกมาเที่ยวเล่น จะไม่มีองครักษ์คอยติดตามคุ้มครองได้อย่างไร ในเมื่อเขามีองครักษ์แล้ว ข้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงปัญหาด้านความปลอดภัยอีก
ดังนั้นข้าจึงรู้สึกผ่อนคลาย กระทั่งทิวทัศน์ทั้งสองฝั่งทางที่ทำให้ข้ารู้สึกกระอักกระอ่วนก็ยังมิอาจทำให้ข้าเคร่งเครียด
ไม่นานก็เดินไปถึงริมฝั่งน้ำฉินไหว บนแม่น้ำกว้างมีเรือใหญ่น้อยจอดอยู่สิบกว่าลำ ในบรรดาเรือเหล่านั้นมีลำหนึ่งขนาดใหญ่ที่สุด จุดโคมสว่างไสวเรืองรอง แต่กลับไม่มีเสียงพิณหรือเสียงทายหมัดประลองสุราดังแว่วมาเฉกเช่นเรือลำอื่น
พวกเราเดินไปยังริมฝั่งน้ำ ที่นั่นมีเรือแจวจอดอยู่จำนวนหนึ่ง ข้าร้องเรียกหญิงแจวเรือนางหนึ่ง “แม่นางแจวเรือไปส่งพวกเราที่เรือเพียวเซียงที”
หญิงแจวเรือนางนั้นเงยหน้ายิ้มๆ “นายท่านทั้งหลายมาช้าไปแล้วเจ้าค่ะ เกรงว่าตอนนี้เรือเพียวเซียงคงมีแขกเต็มลำแล้วกระมัง นายท่านลองดูเถิด บนเรือเริ่มแขวนโคมแดงแล้ว นั่นเป็นสัญลักษณ์บอกว่าแขกเต็มแล้ว อีกไม่นานจะถอนสมอ”
ฉีอ๋องมองข้าด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ส่วนข้าบอกนางอย่างสุขุม “ข้าจองที่ไว้แล้ว ขอบคุณเจ้ามากที่เตือน” ดังนั้นสีหน้าของฉีอ๋องจึงผ่อนคลายลง
พวกเราสามคนเดินขึ้นเรือแจว ต่อมาองครักษ์ที่ให้การคุ้มครองลับๆ อีกสิบกว่าคนก็แยกกันขึ้นเรือแต่ละลำ เรือแจวพายซ้ายจ้วงขวาอยู่ท่ามกลางแม่น้ำ ไม่นานก็ถึงเรือลำนั้น
เมื่อขึ้นเรือมาแล้ว สตรีวัยกลางคนแต่งกายยั่วยวนทรงเสน่ห์มีท่าท่างดงามโดดเด่นนางหนึ่งก็เดินเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น ข้ายังไม่ทันกล่าวคำใด นางก็ยิ้มแย้มทักทายก่อน “โอ้ ที่แท้เป็นท่านจ้วงหยวนนี่เอง ผู้น้อยได้ยินว่าท่านจ้วงหยวนจองไว้ห้องหนึ่ง ยังคิดว่าเป็นผู้อื่นสวมรอยมาเสียอีก ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าใต้เท้าเจียงไม่ชอบสถานเริงรมย์เช่นนี้เป็นที่สุด”
ข้าเลื่อนสายตาออกจากเนินอกขาวดุจหิมะของนาง ตอบไปยิ้มๆ ว่า “เยี่ยนเหนียงล้อเล่นแล้ว บัณฑิตฮั่นหลินตัวเล็กๆ เช่นข้า ยามปกติจะมีเงินมาเที่ยวเรือเพียวเซียงที่ไหนกัน วันนี้ข้ามายลโฉมแม่นางเพียวเซียงเป็นเพื่อนแขกสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง เยี่ยนเหนียงต้องปรนนิบัติรับใช้ให้ดีเล่า”
เยี่ยนเหนียงเห็นหลี่เสี่ยนแต่แรกแล้ว นางพบเจอคนมามากมาย เพียงเห็นก็ทราบว่า หลี่เสี่ยนเป็นแขกสูงศักดิ์ที่หาได้ยากยิ่ง จึงรีบผลิยิ้มจนตาหยี เดินเข้าไปประจบประแจงทันควัน เมื่อมาถึงเบื้องหน้าฉีอ๋องก็คารวะชดช้อย “แขกผู้มีเกียรติเดินทางมาไกล เยี่ยนเหนียงต้อนรับล่าช้า นายท่านโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ ท่านนี้คือ…”
สายตาของนางปรายมองมาทางข้า ข้าจึงรีบตอบอย่างชาญฉลาด “ท่านนี้คือคุณชายหลี่ ท่านนี้คือคุณชายฉิน”
เยี่ยนเหนียงกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วยวน “เชิญแขกทั้งสองท่านเข้าไปด้านในเถิด วันนี้แม่นางเพียวเซียงอารมณ์ดีไม่เลว หากท่านทั้งหลายโชคดี อาจได้รับความโปรดปรานจากแม่นางเพียวเซียง”
เยี่ยนเหนียงนำพวกเราสามคนไปยังห้องโอ่อ่ากว้างขวาง ส่วนองครักษ์คนอื่นถูกพาไปยังห้องใกล้เคียง มีหญิงรับใช้อยู่เป็นเพื่อน
ห้องในตัวเรืองดงามวิจิตร ด้านในมีตะเกียงส่องสว่าง ข้างหน้าต่างมีโต๊ะกลมตัวใหญ่วางอยู่ ส่วนที่อื่นๆ ว่างเปล่าไปกว่าครึ่ง ดูแล้วคงเป็นสถานที่ขับร้องร่ายรำให้ความบันเทิงแก่แขกเหรื่อ
ด้านขวาของห้องมีประตูเล็กๆ อยู่บานหนึ่ง บนประตูห้อยม่านมุก เห็นเลือนรางว่าด้านในเป็นห้องนอน ท่าทางจะเป็นห้องชั้นเยี่ยมจริงๆ สองฟากของประตูห้องมีหญิงรับใช้หน้าจิ้มลิ้มยืนอยู่แปดนาง จรเข้ามาถอดเสื้อคลุมให้พวกเราทั้งสาม พวกเรานั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่าง ส่วนหญิงรับใช้เหล่านั้นเดินไปมาดุจผีเสื้อคลอบุปผา ครู่หนึ่งก็จัดวางสุราน้ำชาและอาหารของว่างลงบนโต๊ะ
ไม่นานหญิงรับใช้หน้าตางดงามทรงเสน่ห์สามนางก็นั่งลงข้างพวกเรา เดิมทีเยี่ยนเหนียงจัดให้ด้านข้างของพวกเรามีที่ว่างสองตำแหน่ง เพื่อให้ทุกคนโอบสาวงามซ้ายขวาได้ ทว่าคุณชายฉินที่รูปโฉมงามล้ำเลิศผู้นั้นกลับปฏิเสธความปรารถนาดีของนางแล้วไปนั่งลงข้างฉีอ๋อง
เยี่ยนเหนียงผู้มากประสบการณ์ย่อมไม่แสดงท่าทีผิดปกติอันใด ทว่าข้ากลับใจสั่น ไม่จริงกระมัง คุณชายฉินเป็นชายบำเรอหรือ ก่อนหน้านี้เพียงสงสัยเท่านั้น ทว่าคราวนี้ข้าขนลุกไปทั้วตัวจริงๆ คุณชายฉินคล้ายรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของข้า จึงมองข้าอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ในดวงตาเปี่ยมด้วยไอสังหาร กระทั่งเขาหันหน้าไป ข้าจึงคอยโล่งใจ ตัดสินใจว่าต่อไปต้องหายอดฝีมือมาไว้ข้างกายสักหลายคน ถึงอย่างไรเสี่ยวซุ่นจื่อก็ไม่มีอิสระ ทว่าเรื่องเช่นการหาองครักษ์ผู้ภักดี ถึงมีคนเช่นนั้นจริงคงไม่ฟังคำสั่งของบัณฑิตฮั่นหลินตัวเล็กๆ อย่างข้าเป็นแน่
พวกเราค่อยๆ ดื่มสุราโดยมีหญิงรับใช้อยู่เป็นเพื่อน จนกระทั่งแม่นางเพียวเซียงมาถึง หญิงรับใช้หลายคนคล้ายนั่งไม่ติด แต่จะโทษพวกนางไม่ได้ ฉีอ๋องเป็นผู้เปี่ยมพรสวรรค์ที่ไม่ยึดติดขนบธรรมเนียม บางครั้งวางตัวอ่อนโยนสนิทสนม ส่วนคุณชายฉินสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ไม่สนใจหญิงรับใช้ข้างกายเลยสักนิด บางครั้งยังใช้สายตาดุดันจ้องมองหญิงรับใช้ข้างกายฉีอ๋องด้วยซ้ำ
ข้าเพียงอยู่ห่างๆ อย่างอ่อนโยนมากมารยาท ปล่อยให้พวกนางมือไม้ปั่นป่วนกันไป ขณะที่กำลังกระอักกระอ่วนนั้นเอง ประตูในเรือก็ถูกผลักเปิดออก สตรีงามพิลาสนางหนึ่งเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า ดวงหน้าไร้แป้งชาดของนางนั้นงดงามประหนึ่งทิวทัศน์อันพิไล ผิวพรรณขาวเนียนเป็นประกายมีสีแดงเรื่อจางๆ ราวกับเพิ่งขึ้นจากน้ำ เรือนผมดำเป็นประกายสะท้อนราวม่านน้ำตก ดวงตาคู่นั้นใสกระจ่างคล้ายดวงดาราอันจรัสแสงที่สุดในทิวา นางสวมชุดยาวแบบจีนตัวหลวมกว้าง เรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรกว่าสตรีหนานฉู่ หากเอ่ยถึงรูปโฉม แม้สตรีนางนี้หน้าตางดงาม ทว่ายังพบเห็นได้ทั่วไป ที่หาได้ยากยิ่งคือท่าทางเอาอกเอาใจอย่างเป็นธรรมชาติ
สตรีนางนี้เดินเยื้องกรายเข้ามา นั่งตรงข้ามคนทั้งสาม ดวงตางามกลอกไปมา “แขกผู้มีเกียรติทั้งสามมาพบเพียวเซียงเป็นครั้งแรก เพียวเซียงกลับมาช้าเช่นนี้ ทำให้ท่านทั้งสามรอนานแล้ว”
น้ำเสียงของนางมีเสน่ห์ยวนใจ ข้ากับคุณชายฉินอดหน้าแดงไม่ได้ มีเพียงฉีอ๋องที่มีสีหน้าประหลาดใจชัดเจน
สายตาของสตรีผู้นั้นหยุดบนร่างฉีอ๋อง เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “เพียวเซียงได้ยินว่าฉีอ๋องเป็นวีรบุรุษที่หาได้ยาก ทั้งยังเป็นผู้กล้าที่รักหยกถนอมบุปผา เหตุใดวันนี้จึงเขินอายเล่า”
ข้าไม่แปลกใจที่หลิ่วเพียวเซียงคาดเดาฐานะของหลีเสี่ยนออก กลับอยากเห็นปฏิกิริยาของหลีเสี่ยนมากกว่า
ตอนแรกหลีเสี่ยนสงสัยอยู่บ้าง ทว่าก็ยิ้มกว้างทันควัน “โอ้ ดรุณีน้อยอย่างเจ้าชาญฉลาดดีแท้ หรือว่าเคยเห็นข้ามาก่อน”
หลิ่วเพียวเซียงเห็นหลีเสี่ยนมิได้ปิดบัง ดวงตาก็มีแววชื่นชม เอ่ยตอบไปว่า “แม้องค์ชายจะสวมชุดของหนานฉู่ แต่คงมิชอบรองเท้าผ้าไหม ยังคงสวมรองเท้าที่ชนชั้นสูงของต้ายงนิยมสวมใส่กัน กอปรกับองค์ชายมีบุคลิกน่าประทับใจ ระยะนี้หม่อมฉันได้ยินว่าฉีอ๋องมาที่เจี้ยนเย่ หากองค์ชายไม่เสด็จมาคงทำให้เพียวเซียงรู้สึกเวทนาตนเองแล้ว ส่วนเจียงฮั่นหลินท่านนี้ ยากนักที่จะได้พบพานสักครั้ง หากไม่มาเป็นเพื่อนองค์ชาย เกรงว่าจนบัดนี้เพียวเซียงคงไม่มีโอกาสพบ”
ข้าขัดเขินอยู่บ้าง ข้าเคยได้รับเทียบเชิญจากหลิ่วเพียวเซียงให้มาเยี่ยมเยือนเรือเพียวเซียงจริงๆ ทว่าข้าไร้เงินทอง จึงปฏิเสธอ้อมๆ เดิมทีคุณชายฉินมองฉีอ๋องอย่างขุ่นเคือง ทว่ายามนี้กลับมองข้ายิ้มๆ คล้ายเบิกบานใจที่ข้าปฏิเสธหลิ่วเพียวเซียง
ข้ารีบเอ่ยว่า “แม่นางหลิ่วล้อเล่นแล้ว ข้าไร้ทรัพย์สมบัติ จะมีคุณสมบัติมาที่นี่ได้อย่างไร”
หลิ่วเพียวเซียงยืนขึ้น เดินแช่มช้อยมานั่งลงข้างกายข้า กอดแขนข้าพลางพูดว่า “จริงๆ เลย หรือท่านจ้วงหยวนคิดว่าหญิงคณิกาอย่างพวกเราไม่มีความจริงใจแม้เพียงนิด หรือเพียวเซียงจะชื่นชอบความสามารถของท่านจ้วงหยวนจนอยากมอบกายเคียงคู่มิได้”
ข้าเกือบจะหัวเราะออกมา หากหลิ่วเพียวเซียงไม่ชอบเงินทอง จะกลายเป็นหญิงคณิกาอันดับหนึ่งแห่งเจี้ยนเย่ได้อย่างไร ข้ารู้ดีว่าชนชั้นสูงและขุนนางใหญ่หลายคนในเจี้ยนเย่เป็นแขกประจำของหลิ่วเพียวเซียง แต่ข้ากลับได้ยินมาว่า หลิ่วเพียวเซียงผู้นี้เป็นสตรีประหลาด หากไม่มีทรัพย์สินมหาศาลก็มิอาจได้ตัวนาง และถึงจะร่ำรวยมากอำนาจก็มิแน่ว่าจะได้ตัวหลิ่วเพียวเซียงนางนี้
ก่อนหน้านี้ หานอ๋อง จ้าวเต๋อหลง เสด็จอารองของเจ้าผู้ครองแคว้นเคยมาที่เรือเพียวเซียงแล้ว ราตรีนั้นเขาต้องการอยู่ค้างแรม ผู้ใดจะรู้ว่าหลิ่วเพียวเซียงกลับไม่ชอบเขา ไม่ว่าเขาจะเอาอกเอาใจอย่างไรก็ไม่ยอมให้ค้าง สุดท้ายจ้าวเต๋อหลงใช้อิทธิพลบีบบังคับ คิดไม่ถึงว่าหลิ่วเพียวเซียงกลับยอมตายไม่ยอมสยบ จ้าวเต๋อหลงไม่สะดวกจะใช้ไม้แข็ง จึงทำได้แต่กลับไป ต่อมาจึงคิดจะสร้างความลำบากใจให้หลิ่วเพียวเซียงครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งล้วนล้มเลิกเพราะหลิ่วเพียวเซียงมีแขกมากมาย
ต่อมา มีคนถามนางว่า แม้หานอ๋องอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ทว่าหน้าตาและกำลังวังชายังเหนือกว่าคนทั่วไป เหตุใดจึงไม่ยอมคล้อยตามเล่า
[1] กุยหนู คือ บุรุษที่ทำงานทั่วไปในหอคณิกา
ตอนต่อไป