บทที่ 216 คำขอร้องที่น่าเวทนา

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

เซี่ยอี้ตื่นตระหนกเล็กน้อยเมื่อเห็นเจียงลั่วฝูเอ่ยสนับสนุนคำพูดของซ่างหง ดังนั้นเขาจึงบอกเป็นนัยให้ฉู่จงเทียนคิดอย่างละเอียดว่าพวกเขาสามารถยอมรับความพ่ายแพ้และยุติสิ่งต่าง ๆ ได้หลังจากส่งคนขึ้นไปบนลานประลอง

ซือคุนรู้สึกกังวลทันที ถ้าตระกูลฉู่ยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนั้น แล้วแผนการของเขาจะไม่สูญเปล่าหรอกเหรอ ? เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงเข้าร่วมออกความเห็นอย่างรวดเร็วเช่นกัน “จากสิ่งที่ข้ารู้ นายน้อยซูแห่งตระกูลฉู่ได้ตกลงที่จะต่อสู้กับนายน้อยหยวน เพื่อยุติความขัดแย้งกันเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ?”

อู๋ฉิงยังใช้โอกาสนี้แก้แค้นซูอันด้วยเช่นกัน “อันที่จริง ข้าเองก็สามารถเป็นพยานได้ว่าซูอันได้ท้าทายหยวนเหวินตงหลายครั้งในสถาบันจันทร์กระจ่าง เขาบอกว่าจะสอนบทเรียนให้กับหยวนเหวินตงในงานประลองระหว่างตระกูล”

ซูอันเหลือบมองอู๋ฉิงทันที เจ้าคงอยากจะจะสอบตกวิชาคณิตศาสตร์ของข้าจนตัวสั่นเลยใช่ไหมถึงกล้าเสนอหน้าพูดผลักดันให้ข้าสู้กับหยวนเหวินตงแบบนี้?

หยวนเหวินตงก็พูดขึ้นเช่นกัน “แน่นอน นายน้อยซู เจ้าท้าทายข้าหลายครั้งแล้วและข้าก็ตั้งตารอที่จะขอคำชี้แนะจากเจ้าเช่นกัน ในเมื่อตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”

ถัดมาผู้คนของฝั่งตระกูลอู๋และตระกูลหยวนก็โห่ร้องขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน “ทุกคนต่างรู้กันทั่วว่าซูอันท้าทายหยวนเหวินตงอยู่หลายรอบก่อนหน้านี้ ดังนั้นตอนนี้ก็ไม่ควรจะกลับคำพูดใช่ไหม!”

“ต้องสู้ ต้องสู้!”

ฝูงชนต่างเริ่มส่งเสียงดัง ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่พอใจต่อซูอันอยู่แล้วที่ทำตัวอวดภรรยา ดังนั้นตอนนี้ฝูงชนจึงไม่มีใครเห็นใจเขาเลย

ฉู่จงเทียนขมวดคิ้วเมื่อเห็นภาพนี้ เขารู้สึกผิดต่อซูอันเพราะก่อนหน้านี้เป็นพวกเขาเองที่บอกซูอันให้ยั่วยุหยวนเหวินตง เพื่อให้อีกฝ่ายไม่ลงประลองในคู่แรก ๆ แต่น่าเสียดายที่ฝูงชนไม่รู้เรื่องนี้และเขาเองก็ไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะจะอธิบาย ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ดูซูอันเผชิญกับผลลัพธ์ที่ตามมาด้วยตัวเอง

แต่ไม่ว่ายังไง อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้แน่ใจว่าซูอันจะปลอดภัยเมื่อขึ้นไปอยู่บนลานประลอง

หลังจากถอนหายใจยาว ฉู่จงเทียนเลือกที่จะยอมจำนน “เราจะยอม…”

แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ซูอันก็ยกมือขึ้นปรามและพูดแทรกตัดบทเขา “พ่อตา ท่านไม่จำเป็นต้องประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ ข้าจะขึ้นไปสู้เอง”

ฉู่จงเทียนตกตะลึง เขาไม่เคยคิดว่าซูอันจะต้องการขึ้นไปสู้จริง ๆ แบบนี้ ทางด้านของฉินหว่านหรูก็รู้สึกโมโหทันที นางจ้องไปที่ซูอันและตะคอกอย่างรุนแรง “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบโอ้อวดแต่เจ้าก็ควรจะหัดรู้เวลาซะบ้าง ! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าควรจะทำตัวโอ้อวดไร้สาระ ! เจ้าคิดไม่ได้รึไงว่าคนธรรมดาอย่างเจ้าไม่มีทางต่อกรอะไรได้กับหยวนเหวินตง เจ้าอย่ารนหาที่ตายแล้วกลับไปกับพวกเราเดี๋ยวนี้!”

ฉู่จงเทียนเห็นด้วยกับคำพูดของภรรยาของตัวเอง “ถูกต้อง หยวนเหวินตงเกลียดเจ้าสุดหัวใจ มันอันตรายเกินไปถ้าเจ้าจะขึ้นไปสู้กับเขาบนลานประลอง”

ฉู่ชูเหยียนเดินเข้ามาใกล้ซูอันและเอ่ยขึ้นแนะนำเช่นกัน “ข้ารู้ว่าเจ้าหวังที่จะมีส่วนร่วมในตระกูลฉู่ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะเข้าร่วม เห็นได้ชัดว่าหยวนเหวินตงพยายามล้างแค้นเจ้าในการประลองนี้ เจ้าจะตกหลุมพรางของเขาอย่างจังถ้าเจ้าขึ้นไปบนลานประลอง ! เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจว่าคนอื่นจะมองเจ้าอย่างไร อย่างน้อยที่สุด พวกเราทุกคนรู้ว่าเจ้ากำลังทำสิ่งนี้เพื่อตระกูลฉู่”

“ถูกต้องแล้วพี่เขย…มันอันตรายเกินไปสำหรับท่านที่จะขึ้นไปตอนนี้ !” แม้แต่ฉู่ฮวนเจาที่กำลังอ่อนแรงเป็นอย่างมากก็ยังพยายามพูดขึ้นเพื่อโน้มน้าว

ซูอันมองไปที่ฉู่ฮวนเจาด้วยสายตาอ่อนโยนและพูดว่า “อันที่จริงตอนแรกข้าคิดว่าจะไม่ขึ้นไปเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าเมื่อครู่ตระกูลหยวนล้ำเส้นเกินไปหน่อยกับการทำร้ายเจ้าอย่างโหดเหี้ยมหน้าด้าน ๆ และคืนนี้ข้าคงนอนไม่หลับแน่ถ้าไม่ได้สั่งสอนพวกเขาให้สาสม!”

ข้าง ๆ กันนั้น หงซิงอิงกลอกตา สมองของไอ้เวรนี่มันมีปัญหาจริง ๆ ใช่ไหม ? ในเวลาแบบนี้ยังกล้าพูดจาโอหังแบบนี้ได้ยังไง ? อย่างไรก็ตามคราวนี้หงซิงอิงไม่กล้าพูดจาเยาะเย้ยออกมาดัง ๆ เพราะกลัวว่าตัวเองจะขายหน้าอีกรอบ

แก้มของฉู่ฮวนเจาแดงขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของซูอัน นางแอบมองแม่ของนางก่อนจะรีบพูดว่า “ข้ารู้ว่าท่านห่วงใยข้า แต่แม้กระทั่งข้าท่านยังเอาชนะไม่ได้แล้วท่านจะไปสู้กับหยวนเหวินตงได้ยังไง ? การที่ท่านขึ้นไปบนลานประลองจุดจบมันก็มีแค่อย่างเดียวคือความพ่ายแพ้”

ซูอันยิ้มและตอบกลับว่า “เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าเมื่อตอนนู้นข้ายังทนแส้ของเจ้าได้ตั้งเจ็ดครั้งเชียวนะ ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิดหรอก”

ฉินหว่านหรูไม่สามารถทนได้อีกต่อไป นางรีบพูดขัดขึ้นเสียงดัง “พอ พอ พอ ! บุรุษไม่ควรให้คำมั่นสัญญาที่เขาไม่อาจทำได้!”

ไม่มีทางที่ข้าจะยอมให้เจ้าล่อลวงลูกสาวคนรองของข้าด้วยอีกคน ! ฮึ่ม ! ลูกสาวของข้าก็ใช่ย่อย ! ข้าอุตส่าห์เตือนฮวนเจาตั้งหลายรอบแล้ว แต่ทำไมลูกสาวของข้ายังคงเข้าใกล้เขาอยู่แบบนี้อีก!

ซูอันเลือกที่จะไม่สนใจฉินหว่านหรู เขามองไปที่ฉู่จงเทียนและพูดว่า “ท่านพ่อตา ขอข้าลองดู ท่านก็รู้ดีว่าตอนนี้เราไม่มีอะไรจะเสีย ให้ข้าลองขึ้นไปดูก่อนอย่างน้อย ๆ มันก็ดีกว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย”

ฉู่จงเทียนขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการสูญเสีย ข้ากังวลว่าเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย!”

ซูอันส่ายหัวและพูดว่า “หยวนเหวินตงไม่มีทางกล้าฆ่าข้าในที่สาธารณะ อย่างมากที่สุดเขาคงพยายามตัดมือหรือขาของข้า และถ้าหากเป็นแบบนั้นตระกูลฉู่ของเราจะมีข้ออ้างในการกดดันพวกเขาและเจรจาเรื่องการจัดสรรส่วนแบ่งตลาดใหม่อีกรอบ”

ฉู่จงเทียนตกตะลึง เขาไม่คิดว่าจะมีทางออกแบบนี้ หากตระกูลหยวนพยายามทำร้ายซูอันจริง ๆ และเมื่อรวมกับอาการบาดเจ็บของฮวนเจา ตระกูลฉู่ย่อมมีสิทธิ์อ้างว่าตระกูลหยวนกำลังบ่อนทำลายธรรมเนียมงานประลองระหว่างตระกูลที่จัดขึ้นเพื่อลดความขัดแย้งและโต้แย้งว่างานประลองครั้งนี้ควรถูกยกให้เป็นโมฆะ เมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะเปิดกว้างสำหรับการเจรจา

ฉินหว่านหรูตกตะลึงเช่นกันเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานางมองว่าซูอันเป็นเพียงคนอวดดีที่ไร้ความสามารถ นางไม่ชอบเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อนางเห็นเขายืนกรานที่จะเข้าร่วมการประลองเพื่อสิทธิ์ในการเจรจาใหม่สำหรับตระกูลฉู่ นางก็พบว่าตัวเองเสียใจกับการกระทำของนาง

ที่ผ่านมาข้าใจร้ายกับเขาเกินไปใช่ไหม?

เยว่ซานจากตระกูลฉู่และคนอื่น ๆ ต่างก็ประทับใจในสติปัญญาและความกล้าหาญของซูอันเช่นกัน สายตาที่พวกเขามองซูอันเริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แม้จะรู้ว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ชายคนนี้กลับกล้าก้าวออกมาข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความกล้าหาญที่แท้จริง!

มีเพียงหงซิงอิงเท่านั้นที่เย้ยหยันในใจ ไอ้เวรนี่มันไม่มีความกล้าอะไรหรอก ! ที่มันจำเป็นต้องขึ้นไปบนลานประลองก็เพราะมันไปท้าเขาเอาไว้เยอะก็แค่นั้นแหละ!

แม้จะได้ยินเหตุผลที่เหมาะสม แต่ฉู่ชูเหยียนกลับยังคงส่ายหัวของนางและพูดขึ้นอย่างดึงดันว่า “ถ้าเป็นเวลาอื่นข้าคงไม่ขัดเจ้า แต่หยวนเหวินตงตอนนี้เกลียดเจ้าจนถึงกระดูกดำ เขาจะไม่เพียงแค่พยายามตัดแขนตัดขาเจ้าแค่ข้างเดียวแน่ เป็นไปได้ว่าเขาตั้งใจจะทำให้เจ้านอนติดเตียงไปตลอดชีวิต!”

ซูอันยักไหล่ด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “เจ้าก็รู้ว่าตอนนี้ข้าก็พิการอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจะทำอะไรข้าได้อีก?”

ฉู่ชูเหยียนอึ้งไปกับคำพูดของซูอัน นางรู้ดีว่าความหมายในคำพูดของเขามันหมายถึงอะไร และสิ่งนั้นทำให้แก้มของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง!

“พวกเจ้าตัดสินใจกันได้แล้วรึยัง ? ซูอัน เจ้าเป็นผู้ชายรึเปล่า ? เจ้าวางแผนที่จะกลับคำในนาทีสุดท้ายงั้นเหรอ ? แต่ถ้าเจ้าจะทำแบบนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ก่อนที่เจ้าจะจากไป เจ้าต้องตะโกนยอมรับออกมาก่อนว่าเจ้าไม่ใช่ลูกผู้ชายและขอโทษข้าต่อสาธารณะ ข้าถึงจะยกโทษให้เจ้าสำหรับความผิดที่เจ้าเคยทำต่อข้า !” หยวนเหวินตงพูดขึ้นเสียงดังลั่นด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง

“เจ้าชอบให้ข้าตบหน้าเจ้าในที่สาธารณะมากเลยใช่ไหมเจ้าถึงทำตัววอนโดนตบมากขนาดนี้ ? เอาล่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเจ้าเรียกร้องนักเดี๋ยวข้าจะสนองความต้องการให้ก็แล้วกัน” ใช้โอกาสที่บรรดาคนของตระกูลฉู่กำลังหันไปฟังหยวนเหวินตง ซูอันก็กระโดดขึ้นไปบนลานประลองเรียบร้อยแล้ว

“ดูเหมือนว่าเจ้ายังมีความกล้าอยู่บ้าง !” ดวงตาของหยวนเหวินตงเป็นประกาย และด้วยความกลัวว่าซูอันจะกลับใจกระโดดออกจากลานประลอง เขาจึงรีบกระโดดตามขึ้นไปบนลานประลองอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเขาดูอลังการกว่าของซูอันมาก “เจ้าต้องการที่จะตบข้างั้นเหรอ ? ฮ่าฮ่า ! ไหนงั้นลองมาตบข้าสิมา…”

‘เพี้ยะ!!’

ในขณะที่เขายังพูดไม่จบ ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง ‘เพี๊ยะ’ ที่แจ่มชัดดังลั่นข้างหูของเขา ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเขาพบว่าตัวเองไม่สามารถประมวลผลสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นได้

ซูอันมองไปที่มือของเขาเองก่อนที่จะส่ายหัวด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ข้าไม่เคยได้ยินคำขอร้องที่น่าเวทนาขนาดนี้มาทั้งชีวิต อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเจ้าอ้อนวอนข้าอย่างจริงจัง ข้าเดาว่าข้าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องให้สิ่งที่เจ้าต้องการ…”