ตอนที่ 61 การโจมตีเมืองหลวง

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ

ตอนที่ 61 การโจมตีเมืองหลวง

เมื่อจันทราสาดแสงเจิดจรัสยังปลายยอดแหลมของปราสาท ที่คฤหาสน์ของดยุกดรากูนอทยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศแห่งความตื่นเต้น

มันคือคืนที่คลอเดียฟื้นตัวขึ้นแล้ว-และการฟื้นตัวนั้นก็เป็นการฟื้นตัวอย่างเต็มที่จนน่าอัศจรรย์ใจอีกด้วย

เพราะการฟื้นตัวของบุตรสาวคนเล็กซึ่งล้มป่วยมาเป็นเวลานานของดยุกได้สร้างความสุขให้กับเขาเป็นอย่างมาก ทางพี่สาวของเธออย่างแอสทริดและข้ารับใช้คนอื่นๆ ก็ต่างยินดีเช่นเดียวกัน

แม้จะยังมีความจริงที่ว่าผู้มีพระคุณของพวกเขา (โซระ) ผู้สร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จจะต้องล้มหมอนนอนเสื่อไปเป็นค่าตอบแทน แต่จากที่แพทย์ประจำตระกูลและผู้ใช้สปิริตอย่างลูนามาเรียบอกเขาเพียงแค่มีอาการเหนื่อยจนหมดแรง หากได้พักผ่อนสักหน่อย อาการก็น่าจะดีขึ้น

พอดยุกดรากูนอท แอสทริด คลอเดียที่เป็นห่วงถึงอาการของโซระทราบ พวกเขาก็โล่งใจ

หลังจากนั้นคฤหาสน์ของดยุกก็เริ่มจัดปาร์ตี้เล็กๆ ขึ้น

แต่ถึงจะถูกเรียกว่าปาร์ตี้ แต่อาหารที่จัดมานั้นก็หรูหรากว่ามื้อเย็นปกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ใช้ส่งเสียงดังใดๆ ในงานปาร์ตี้นักนี่ก็เพื่อไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของโซระ แต่มันก็ไม่ได้ลดความสนุกสนานมีชีวิตชีวาของปาร์ตี้ลงไปได้เลย ทำได้เห็นว่าเหล่าผู้คนในตระกูลดยุกไม่ว่าใครต่างก็รักคลอเดีย

แม้กระทั่งดยุกดรากูนอทกับบุตรสาวของเขาแอสทริดที่ปกติแล้วจะเป็นคนจริงจัง เข้มงวดกระทั่งกับตัวเองและไม่ยอมเอาเหล้าเข้าปากเลย และถึงแม้จำเป็นจริงๆ พวกเขาก็จะจิบเพียงแค่1-2จิบเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับต่างออกไปเพราะหน้าของทั้งสองแดงไปหมดแล้ว

สำหรับทั้งสองที่ต้องใช้ทั้งกายใจในการรับมือและหาทางออกเกี่ยวกับคำสาปที่ทำร้ายคลอเดียมานับปี วันนี้ถือว่าเป็นวันแห่งปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง

แม้แต่เหล่าข้ารับใช้และอัศวินภายในคฤหาสน์ ก็ต่างออกมาเฉลิมฉลองไม่ต่างกันนัก

งานเลี้ยงที่จัดขึ้นที่คฤหาสน์ของผู้ดีชั้นนำของอาณาจักร Canary ไม่เคยข้ามกำแพงและประตูไปถึงบ้านและถนนที่อยู่ใกล้เคียงความแน่นเมื่อไรคงเป็นปีติเป็นที่สุดในพระนครในคืนนั้น.

งานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นในคฤหาสน์ของชนชั้นสูงแห่งอาณาจักรคานาเรียนั้น พื้นที่แห่งความยินดีไม่เคยก้าวข้ามทะลุไปนอกประตูหรือกำแพงคฤหาสน์ของพวกเขา เลยแต่ตอนนี้สามารถมองเห็นเหล่าอัศวินออกมาเฉลิมฉลองกันยังบริเวณถนน ทำทราบว่าคำคืนนี้เหล่าผู้ที่มีความสุขที่สุดภายในเมืองหลวงคงไม่พ้นตระกูลดยุกดรากูนอท

และเมื่อค่ำคืนนี้จบลง มันจะต้องถูกบันทึกไว้ว่าเป็นวันที่ตระกูลดรากูนอทนั้นโชคดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูล

แต่ทว่า…

หายนะก็เริ่มที่จะคืบคลานเข้ามาสู่เมืองหลวงเช่นเดียวกันในคืนนั้นเอง

◆◆◆

「ข-ขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะครับ!!!」

ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น แอสทริดผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ในสภาพมึนเมา ก็ได้สติขึ้นมาในทันที

นี่มันก็ดึกมากแล้ว คลอเดียก็กลับไปที่ห้องของเธอแล้วด้วย ทางแอสทริดก็คิดว่าจะเข้านอนแล้วเหมือนกัน แต่พอได้เห็นทหารนายหนึ่งเข้ามาหาเธอ ความคิดดังกล่าวก็ปลิวหายไปในทันที

ดูจากสีหน้าของเขาและน้ำเสียงนั้นมันเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่เธอพบเห็นในสนามรบเลย ใบหน้าของแอสทริดจึงเปลี่ยนไปดูเคร่งขรึม

「เกิดอะไรขึ้น? 」

เธอถามทหารคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้

หลังจากที่เธอมองไปยังหน้าของเขา ก็ต้องพบว่าทหารคนนี้ก็เป็นเพียงทหารที่ทำการเฝ้ายามที่ประตูในคืนนี้เท่านั้นเอง

ที่แอสทริดทราบเรื่องนี้ก็เพราะว่าเธอเป็นคนเอาเหล้าและเนื้อไปให้พวกเขาเองกับมือระหว่างปาร์ตี้

ใบหน้าที่แดงระเรื่อของทหารในตอนนั้นซึ่งดื่มเฉลิมฉลองด้วยความรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณ ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่ซีดเซียวราวกับคนตาย

ทหารที่เข้ามารายงานนั้นมีสภาพเหมือนกำลังขาดอากาศหายใจเลย

「พ-พวกเราถูกโจมตีครับ! มีฝูงอันเดธได้หลั่งไหลออกมาจากสุสานและกระจายไปยังทุกส่วนของเมือง ดูจากสถานการณ์แล้วอีกไม่นานพวกมันน่าจะมาถึงที่คฤหาสน์ของท่านเช่นเดียวกันครับ!」

「…อันเดธเหรอ? 」

แอสทริดขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของทหาร เธอรู้ว่ามันต้องมีบางอย่างเลวร้ายเกิดขึ้นแน่ แต่เรื่องนี้มันก็เกิดความคาดหมายของเธอไปมาก

ไม่ใช่แค่เมืองหลวงฮอรัสเท่านั้น แต่สุสานในเมืองใหญ่ๆ ก็ต่างมีบาเรียจากวิหารคอยป้องกันอยู่รอบๆ

นั่นก็เพื่อเป็นมาตรการป้องกันไม่ให้พวกเนโครแมนเซอร์ใช้เวทมนตร์ได้ในสุสาน

และบาเรียที่ใช้ในการปกป้องสุสานของพวกเธอก็สร้างขึ้นโดยวิหารเทพแห่งกฎหมาย ซึ่งเกิดจากการระดมกำลังนักบวชระดับสูงกว่าร้อยคนและยังมีหัวหน้านักบวชผู้มีชื่อเสียงอีกด้วย ดังนั้นการจะทำลายบาเรียนั้นลงได้ก็น่าจะต้องใช้เหล่าเนโครแมนเซอร์มากกว่าร้อยคน

นั่นคือสิ่งที่แอสทริดคิด จากนั้นก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ เธอ

「มีใครเห็นพวกอันเดธกับตาตัวเองไหม? 」

คนที่ถามคำถามนั้นก็คือดยุกปาสคัล ดรากูนอท สมกับเป็นชนชั้นสูงผู้เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้ เมื่อเขาสร่างเมาแล้ว เขาก็ถามถึงรายละเอียดของสถานการณ์ในทันที

「ครับท่าน! ผมได้ทำการคุยกับชายชราผู้วิ่งหนีออกมาจากสุสาน เขากล่าวว่าตนได้เห็นอันเดธกับตาของตัวเง และถนนสายหลักของเมืองหลวงตอนนี้ก็เต็มไปด้วยเหล่าคนตายแล้วครับ!!」

「จำนวนผู้เสียชีวิตล่ะ? 」

「จากที่ทราบไม่ใช่แค่ร้อยหรือสองร้อย แต่จำนวนอย่างต่ำสุดก็น่าจะพันคนครับ ถ้านับนอกเหนือจากถนนสายหลักด้วยคาดว่าน่าจะมากกว่านี้ 10 เท่าได้ครับ!!」

「ทำได้ดีมาก จากนี้ก็รีบกลับไปประจำการในที่ของเจ้าเสียและบอกกับเหล่าทหารให้คุ้มกันประตูให้ดี ทางข้าจะส่งกำลังเสริมไปเดี๋ยวนี้เอง」

「ทราบแล้วครับ!」

หลังจากทหารทำความเคารพ เขาก็วิ่งออกไป

ในเวลานั้นเองทุกคนภายในคฤหาสน์ดยุกก็เริ่มสร่างเมาและรอคอยคำสั่งถัดไปจากดยุก

ดยุกดรากูนอทมุ่งหน้าออกไปยังนอกคฤหาสน์พร้อมกับบุตรสาวและคนของเขา

นั่นก็เพราะสิ่งแรกที่สำคัญที่สุดก็คือการยืนยันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกด้วยตนเอง

และในจังหวะที่เขาก้าวออกจากคฤหาสน์ ดยุกดรากูนอทก็รู้สึกถึงความผิดปกติของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

*อึก* ผิวของดยุกดรากูนอทเกิดสั่นขึ้นมา

ความหนาวเย็นอันรุนแรงและกลิ่นของเนื้อที่เน่าเปื้อยได้โชยพัดมา แม้นี่จะเป็นช่วงฤดูร้อนแต่ร่างกายของเขากลับสัมผัสบรรยากาศได้ไม่ต่างจากช่วงฤดูหนาวเลย

แอสทริดที่ตามพ่อของเธอมาก็พูดกับพ่อของเธอ

「ท่านพ่อนี่มัน…」

「เป็นมานาที่เย็นยะเยือกอะไรแบบนี้กันนะ หรือจะต้องเรียกว่าเป็นพลังงานที่ชั่วร้ายดีล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นแห่งความตายพวกนี้ อย่างที่คิดพวกเราต้องรับมือการเนโครแมนเซอร์แล้วสินะ」

ดยุกดรากูนอทพูดด้วยท่านทางที่เคร่งขรึม

กลุ่มผู้คนที่เล่นกับความตาย-ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนพวกนี้ต้องมีแผนร้ายอยู่อย่างแน่นอน

นอกจากนี้การที่ดยุกดรากูนอทสามารถสัมผัสได้ถึงพวกมันแม้จะอยู่จุดนี้ ก็หมายความว่าคู่ต่อสู้ที่ตนจะต้องรับมือฝีมือไม่ธรรมดา

ด้วยเหตุนี้เองความตึงเครียดจึงแสดงออกผ่านสีหน้าดยุก

ไม่นานนัก ดยุกก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา

「ท่านพ่อ ท่านพี่!」

「ครอว?!」

แอสทริดพูดขึ้นด้วยความตกใจ

เสียงนั้นคือเสียงของน้องสาวเธอที่ควรจะเข้านอนไปนานแล้ว

ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน….แต่ถ้าหากพิจารณาถึงนิสัยของเธอแล้วคำตอบก็มีเพียงหนึ่งเดียว

แอสทริดเปิดปากพูดออกมา

「คลอเดีย นี่เธอ―」

「อย่าบอกให้ฉันหนีกลับเข้าไปในบ้านนะ! ท่านพ่อต้องรีบไปที่วัง ส่วนท่านพี่ก็ต้องรีบออกไปปกป้องเมือง ถ้าอย่างงั้นก็เป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องปกป้องคฤหาสน์แห่งนี้นี่นา」

ดูเหมือนคลอเดียจะได้ยินสิ่งที่พวกเมดในคฤหาสน์พูดกันถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอเลยพอจะเข้าใจเรื่องราวแล้วบ้าง

ส่วนสิ่งที่เธอพูดมานั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง

ดยุกดรากูนอทเป็นชนชั้นสูงระดับสูงที่รับใช้ประเทศ ส่วนแอสทริดก็มีหน้าที่ที่ต้องทำในฐานะอัศวินมังกร

สองพ่อลูกมองหน้ากันโดยสัญชาตญาณ แต่สุดท้ายมันก็มีเพียงคำตอบเดียวขึ้นมาบนใบหน้าของพวกเขา ก่อนทั้งคู่จะถอนหายใจพร้อมกัน

สุดท้ายเมื่อกองกำลังของดยุกดรากูนอทมาถึงประตูหลัก พวกเขาก็พบว่าทั่วท้องถนนสายหลักเต็มไปด้วยความวุ่นวายแล้ว

มีเสียงกรีดร้องของผู้คนและเสียงคำรามของเหล่าอันเดธล่องลอยไปตามสายลม แสงสีแดงที่แผดเผาท้องฟ้ายามค่ำคืนสามารถเห็นได้จากทุกมุมของเมือง

โชคดีที่ขนาดของเพลิงยังไม่ใหญ่นัก แต่การระบาดของพวกอันเดธที่เกิดขึ้นก็ทำให้ไม่สามารถดับไฟพวกนั้นได้ด้วย หากประกายไฟเหล่านี้ถูกสายลมพัดพาไปเรื่อยๆ สุดท้ายเมืองหลวงก็จะเหลือเพียงแค่เถ้าถ่าน

「เร็วเข้า พวกเราจำเป็นต้องจัดการกับพวกอันเดธตามท้องถนน แล้วก็ควบคุมเพลิงด้วย ส่วนเรื่องของสุสาน หากต้นตอของพวกมันมาจากที่นั่นจริง ก็มีโอกาสสูงที่ตัวการจะอยู่จุดนั้น จากนี้เราจะทำการแบ่งกำลังไปจุดนั้นด้วย」

แอสทริดเห็นด้วยกับที่ดยุกกล่าว

「ฮ่ะ แต่ว่าทหารที่ตระกูลของเรามีไม่น่าจะเพียงพอนะคะ ท่านควรรีบไปยังพระราชวังและขออนุญาตจากฝ่าบาทให้ส่งกำลังเสริมมาด้วยเถอะค่ะ 」

「นั่นสินะ ระวังด้วยล่ะ หากเป็นมนตร์ระดับนี้ศัตรูที่พวกเราต้องเผชิญน่าจะไม่ใช่หนึ่งหรือสองคน」

「เข้าใจแล้วค่ะ คลอเดีย ฝากเธอดูแลตระกูลของเราระหว่างที่ฉันไม่อยู่ด้วยนะ เข้าใจไหม? 」

「เข้าใจแล้วค่ะ!」

คลอเดียพยักหน้ารับคำขอพี่สาวของตน

และแล้วก็มีเสียงหัวเราะดังก้องขึ้น จนทำให้ทุกคนประหลาดใจ

「ฮิฮิฮิฮิ! เสียงนี้มัน โอ้ช่างแน่แปลกใจจริงๆ ดูสิว่าตรงนี้เกิดอะไรขึ้น…นี่เจ้าฟื้นตัวขึ้นมาได้แล้วจริงๆ หรือนี่!」

เมื่อคลอเดียหันไปตามเสียงเธอก็รู้สึกได้ว่าเสียงนี้เธอเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน และแล้วภาพที่เธอเห็นตรงหน้าก็คือชายชราผู้หนึ่งที่ถือบิวะกำลังพิงกับกำแพงของคฤหาสน์อยู่

พอเห็นชายชรากำลังหัวเราะออกมาในสถานการณ์แบบนี้ ดยุกดรากูนอทและแอสทริดก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

จากนั้นก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เข้าไปคุยกับชายชรา และคนคนนั้นก็คือคลอเดียผู้ที่จำใบหน้าของเขาได้

「ท่านผู้เฒ่า? มาทำอะไรในที่แบบนี้กันคะ? 」

「…ครอว คนคนนี้คือ? 」

「อ๋อ เขาคือคนที่เล่นเพลงให้กับเหล่าผู้ตายที่สุสานค่ะ」

「เพลง? อ๋อ เจ้าคงจะเป็นชายชราที่วิ่งหนีออกมาจากสุสานตามรายงานก่อนหน้านี้สินะ」

「ฮิฮิ ใช่แล้ว นั่นข้าเองแต่ถ้าจะให้พูดกันตามตรงข้าไม่ได้หนีหรอกนะ ข้ามาเพื่อโจมตีต่างหาก หากปล่อยให้คิดว่าข้ากำลังวิ่งหนีอยู่ก็คงจะเป็นเรื่องผิดวิสัยไปหน่อยว่าไหม แอสทริด ดรากูนอท」

ชายชราเล่นบิวะขณะพูดเช่นนั้น และในจังหวะนั้นเองคิ้วของแอสทริดก็ขมวดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ เข้ามาภายในหู

เหตุผลที่เธอขมวดคิ้วขึ้นก็เพราะตนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่อยู่ดีๆ ชายชราแปลกหน้าก็มาเรียกชื่อของตนเฉยๆ

แต่เหล่าคนที่โกรธยิ่งกว่าแอสทริดก็คือพวกทหารที่เห็นการกระทำที่แสนหยาบคายนี้ ใบหน้าของพวกเขาแสดงความโกรธอย่างชัดเจนและล้อมชายชราเอาไว้

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นชายชราก็ไม่ได้แสดงท่าที่หวาดกลัวอะไรต่อพวกทหาร บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาตาบอดด้วยก็ได้

ระหว่างที่แอสทริดวางมือเอาไว้บนดาบก่อนที่เธอจะรู้ตัว เธอก็ถามเขากลับไปอีกครั้ง

「โจมตี….นี่เจ้าหมายความว่าเจ้าตั้งใจจะมาต่อสู้กับพวกเราเองงั้นหรือชายชราเอ๋ย」

「ใช่แล้วๆ สิ่งที่ข้าทำก็คือการปลอบประโลมเทพเจ้าแห่งความชั่วร้ายด้วยเสียงดนตรีแห่งข้าและชำระล้างเหล่าวิญญาณชั่วร้ายที่ไม่พอใจในมนุษย์ และการที่จะทำให้พวกเขาเหล่านี้สงบลงได้ตามหน้าที่ของข้าก็คือการที่ทำให้พวกเขาพอใจ ดูสิฝูงอันเดธพวกนี้ที่กำลังโจมตีเมืองหลวงอยู่ ทั้งหมดเป็นฝีมือของข้าเอง」

หลังพูดจบดยุกดรากูนอทก็เริ่มพูดกับชายชราเป็นครั้งแรก

「ไร้สาระ ไม่ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร แต่ไม่มีทางแน่ที่เจ้าจะสามารถทำลายบาเรียของสุสานลงได้ด้วยตัวคนเดียว ตาแก่ข้ารู้ดีว่าพวกนักกวีเช่นเจ้ามักจะพูดเรื่องไร้สาระอยู่เป็นประจำเพื่อสร้างชื่อเสียง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะมาล้อเล่น และการที่เจ้าไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ดังกล่าวก็จำเป็นต้องได้รับบทลงโทษด้วย」

「ฮิฮิฮิ บาเรียงั้นเหรอ?! อ้อบาเรียนั้นสิเนอะ! จริงด้วยมันก็มีมนตร์บางอย่างร่ายเอาไว้ตรงนั้นจริงๆ นั่นแหละ แต่มันก็แค่ของที่สร้างขึ้นจากพวกจอมเวทของทวีปหลัก มันไม่สำคัญหรอกว่าจะเอาพวกเด็กน้อยเลเวล20หรือ30มารวมกันมากสักแค่ไหน แค่ที่สำคัญก็คือพวกมันไม่มีทางหยุดข้าซึ่งมีเลเวลถึง 73 ได้หรอกนะรู้ไหม? 」

「…ที่แท้ก็แค่คนบ้าสินะ? 」

「ฺฺฮิฮิฮิ! ขนาดไรโคอันเลื่องชื่ออย่างปาสคาล ดรากูนอทก็ยังเป็นได้แค่กบในกะลานี่เนอะ นี่เจ้าสัมผัสไม่ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งของศัตรูตรงหน้าเจ้าเลยหรือไงกัน หากคนอย่างเจ้าเรียกว่าแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรนาคาเรียแล้วล่ะก็ อาณาจักรนี้ก็คงจะขาดแคลนคนจริงๆ ด้วยสิน้อ!」

คนที่แสดงความโกรธออกมาไม่ใช่ตัวดยุกดรากูนอทแต่เป็นเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาของเขา

ก็จริงอยู่ว่าะวกเขาไม่ได้ต้องการจะฟันชายชราที่ผอมแห้งเหมือนกับกิ่งไม้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะคลายความโกรธลงได้เลยหากไม่สั่งสองชายชราสักครั้ง เหล่าทหารจึงพยายามควบคุมดาบที่อยู่ในฝักตนเอาไว้

และแล้วชายชราก็ตอบสนองด้วยการเม้มริมฝีปากและเล่นบิวะด้วยโน๊ตที่สูงขึ้น

วินาทีนั้นเอง

「อ๊ากกกก?!」

เหล่าทหารได้กรีดร้องและปิดหูของตนเอาไว้ ก่อนจะล้มลงกับพื้น

จากนั้นพอเขาเล่นไปอีก2-3ครั้ง แม้เหล่าทหารจะปิดหูตนเอาไว้ ร่างของพวกเขาก็สะดุ้งจนกระโดดไปมา

จากการกระทำดังกล่าวทำให้ดยุกดรากูนอทและบุตรสาวของเขาทั้งสองเห็นแล้วว่าชายผู้นี้คือศัตรูและเริ่มลงมือพร้อมกัน

แอสทริดมีเลเวลอยู่ที่ 37 ส่วนพ่อของเธอนั้นมีเลเวลอยู่ที่ 50 ทั้งสองคนตั้งใจจะจัดการกับชายชราผู้นี้ลงด้วยดาบของพวกเขา แต่ทว่าชายชรากลับต้านพลังของทั้งสองได้อย่างง่ายดาย

「『ปราการที่ยากจะย่ามกลาย–กาโควไซ』」

มันเป็นเวทแห่งดินที่แท้จริงระดับ 8

กำแพงสีดำได้เข้ามาปกป้องร่างของชายชรา โดยมันสามารถหักล้างการโจมตีของสองพ่อลูกได้อย่างง่ายดาย

ทั้งสองพ่อลูกต่างตกใจกับสิ่งที่เห็น

「นี่มัน..!เวทระดับ 8 งั้นเหรอ?!」

「แถมยังไม่ต้องร่ายเลยด้วย…」

「ฮิฮิฮิ ข้าก็บอกพวกเจ้าไปแล้วนี่ ว่าข้าแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าและถึงพวกเจ้าจะใช้มังกรอะไรนั่นที่พวกเจ้าภูมิใจนักก็ทำอะไรข้าไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บหรอก」

หลังจากเขาพูดจบ ชายชราก็เล่นบิวะด้วยท่าทางที่จริงจัง

จนเกิดเป็นท่วงทำนองแห่งความวุ่ยวายที่เสียงของมันรุนแรงจนเหมือนกับสายบิวะแทบจะฉีกขาดออกมาได้ตลอดเวลา

และหลังจากเล่นจบเขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลให้ทุกคนในที่แห่งนั้นได้ยิน

「ท่วงทำนองแห่งผู้ตายแด่พวกเจ้าทุกคน ที่ระลึกก่อนจะส่งวิญญาณสู่ปรโลก ขอให้มีความสุข–เสริมพลังอาภรณ์วิญญาณ」

—จงคำครวญ ชิซุกะ โกเซ็น

———

Note 1 : ตาแก่นี่คนจากเกาะวุ้ย แล้วก็ค้างเฉยไรเนี่ยยยยย

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code