นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 60 ในที่สุดก็ไปเสียที
เอาตะกร้าเปล่าวางไว้ด้านข้าง รอเส้นสุกพอประมาณแล้ว ก็ตอกไข่สามฟองใส่ลงไป เมื่อตอกไข่สามฟองแล้วก็ตักใส่ชามถ้วยสามใบ ยกไปวางที่โต๊ะด้านข้าง แล้วกลับห้องไปเรียกพวกเขา
เมื่อเข้าไปในห้อง เจ้าก้อนน้อยก็วิ่งมากอดขาของนาง ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเงยขึ้นมา
ส่วนจางเสี่ยวจุ๋ย ยังนั่งอยู่บนเตียงเหมือนก่อนที่นางจะจากไป ราวกับไม่เคยลุกขึ้นมาก่อน
“นี่เกิดอะไรขึ้น?” โจวกุ้ยหลานลูบหัวของเจ้าก้อนน้อย รู้สึกว่าตัวเจ้าก้อนน้อยสั่นเทา อดไม่ได้จึงถามขึ้น
จางเสี่ยวจุ๋ยถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าโศกเศร้าว่า “ต้องโทษข้า เห็นเด็กแล้วก็ชอบอย่างมาก แค่ถามว่าอยากเป็นลูกชายของข้าไหม เขาก็ตกใจแย่แล้ว”
คนในหมู่บ้านมักล้อเด็กเล่นอยู่บ่อยๆ ไม่แปลกอะไร
ส่วนจางเสี่ยวจุ๋ยเป็นหม้ายมายี่สิบกว่าปีแล้ว ลูกก็ไม่มี เจอเด็กแล้วชอบก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลก
โจวกุ้ยหลานจึงไม่คิดอะไร เงยหน้าขึ้นมาเรียกจางเสี่ยวจุ๋ยไปทานข้าว
นางไม่รู้จะทำยังไง ทำได้เพียงอุ้มเจ้าก้อนน้อยไปที่ห้องครัว
จางเสี่ยวจุ๋ยเห็นในถ้วยของตนเองมีไข่กับเส้น ก็พูดขึ้นมาอย่างตกตะลึงว่า “กุ้ยหลาน ทำไมจะต้องสิ้นเปลืองไข่ไก่กับแป้งละ? ข้าทานอะไรก็ได้”
แป้งนี้ได้มายากมาก นางไม่ได้ทานเส้นที่ทำมาจากแป้งตั้งนานแล้ว
โจวกุ้ยหลานหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “อาสะใภ้สามมาครั้งแรก ยังไงข้าก็ต้องเลี้ยงเจ้าทานให้อิ่มใช่ไหม? รีบทานเถอะ เดี๋ยวจะเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
“ไอ หากอาเล็กของเจ้ายังอยู่ ชีวิตความเป็นอยู่ของข้าก็คงดีบ้าง” จางเสี่ยวจุ๋ยพร้อมกับน้ำตาคลอ
โจวกุ้ยหลานรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว คนคนนี้ ช่างเจ้าน้ำตาเสียจริงๆ
นางทำได้เพียงยิ้มหัวเราะ พร้อมช่วยป้อนเจ้าก้อนน้อย จางเสี่ยวจุ๋ยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้า จากนั้นก็นั่งลง เริ่มทานคำเล็ก แต่ด้วยความหอมของเส้นทำให้นางยิ่งทานก็ยิ่งเร็วขึ้น แต่ยังไงนางก็ยังมีความกังวล ลักษณะการกินจึงไม่ได้ดูแย่อะไรมากมาย
ทานกันอยู่อย่างเงียบสงบ เมื่อทานเสร็จแล้ว ล้างถ้วยล้างจาน นั่งเป็นเพื่อนจางเสี่ยวจุ๋ยอยู่สักพัก แล้วนางค่อยพูดขึ้นมาว่าตนเองต้องกลับไปปักผ้าที่บ้าน โจวกุ้ยหลานจึงรีบพานางไปส่ง
รอเมื่อนางถือตะกร้าว่างเปล่ากลับไปแล้ว โจวกุ้ยหลานค่อยโล่งอก
อึดอัดมากเลย อาสะใภ้สามของนางคนนี้ มีพลังงานด้านลบอยู่เต็มตัวไปหมด นางอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
ยังไงโจวเหล่าไท่ไท่ก็ดีกว่า
ทางนี้ จางเสี่ยวจุ๋ยลงมาจากเขา แล้วก็เข้าไปในกระท่อมเก่าหลังหนึ่ง โจวชิวเซียงที่อยู่ข้างในเห็นนางมา ก็รีบเดินไปถามขึ้นว่า “เป็นไงบ้าง?”
ท่าทีกับน้ำเสียงนั้นร้อนใจอย่างมาก
“เด็กคนนั้นเล็กมากเกินไป ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” จางเสี่ยวจุ๋ยทำได้เพียงส่ายหัว ตนเองไม่ได้อะไรกลับมา ยังต้องเสียไข่ไก่ไปอีกยี่สิบฟอง
แต่ได้ทานเส้นหนึ่งมื้อ ถือว่าไม่เลว
“เจ้ามีประโยชน์อะไร” โจวชิวเซียงโกรธโมโห น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตำหนิ
คำพูดประโยคนี้ ทำให้จางเสี่ยวจุ๋ยพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้ ยังไงก็จะต้องทำให้นางไม่รู้ตัว ข้าก็ทำได้เพียงค้นหาด้วยตนเอง ข้าว่า ทำไมเจ้าจะต้องเป็นปฏิปักษ์กับนางที่แต่งงานแล้วคนหนึ่ง? ยังไงก็คิดหาวิธีว่าจะแต่งงานกับคนที่ดียังไงจะดีกว่าไหม”
โจวชิวเซียงอึ้ง จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างดุร้ายว่า “ข้าเห็นนางแล้วก็ไม่พอใจ อย่างกับแต่งงานออกไปแล้วก็ดูดีสูงส่งมาก”
ส่วนความคิดในใจของนาง จะบอกให้จางเสี่ยวจุ๋ยรู้ไม่ได้สักนิด
“ก็แค่แต่งงานกับนายพรานคนหนึ่ง อนาคตนั้นเทียบกับเจ้าไม่ได้เลย เจ้าคิดหาวิธีแต่งงานไปอยู่ในตำบล ต่อไปอาสะใภ้สามจะได้มีชีวิตที่ดีไปด้วย”
“ข้าไม่สน เจ้าต้องช่วยข้าทำลายชื่อเสียงโจวกุ้ยหลาน แต่จะทำลายพี่ชางหลินไม่ได้ ครั้งหน้าหากพูดใส่ร้ายพี่ชางหลินอีก สิ่งที่เจ้ากระทำนั้นอย่าคิดว่าปิดบังได้อีก”
พูดเสร็จ โจวชิวเซียงก็หันหน้าเดินไป
อาสะใภ้สามคนนี้ไม่ใช่คนดี ใส่ร้ายพี่ชางหลินของนางลับหลังเช่นนี้ ตอนนี้คนอื่นต่างก็พูดว่าพี่ชางหลินของนางเป็นนักโทษฆ่าคน
จางเสี่ยวจุ๋ยถอนหายใจแล้วก็นั่งลงในกระท่อมเก่า ก็แค่เจ้าเด็กนี่ให้นางไปป่าวประกาศไม่ให้คนอื่นไปช่วยโจวกุ้ยหลานสร้างบ้าน ทำไมตอนนี้ถึงมาโทษนาง?
รอเมื่อไม่เห็นเงาของโจวชิวเซียงแล้ว นางค่อยลุกขึ้นมา เดินลงไปจากเขา ไม่ดูอ่อนแอโศกเศร้าเหมือนอย่างตอนที่อยู่ต่อหน้าโจวกุ้ยหลาน…..
ทางนี้ หลังจากโจวกุ้ยหลานทานข้าวเสร็จแล้ว ก็พาเจ้าก้อนน้อยนอนหลับ เมื่อนอนตื่นขึ้นมา สวีชางหลินก็ยังไม่กลับมา
โจวกุ้ยหลานไม่สบายใจ คิดว่ายังไงก็ต้องคุยกับสวีชางหลินให้ดีๆ ในป่านี้อันตรายอย่างมาก จะอยู่แต่ในป่าแล้วไม่กลับมาพักผ่อนไม่ได้
ช่วงบ่ายหลังจากรดน้ำผักเสร็จแล้ว เอาเส้นแป้งที่เหลือพาเจ้าก้อนแป้งไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้านหวังโหยวเกิน
เมื่อเข้าไปในลาน ก็เจอกับอาสะใภ้ซิ่วเหลียน
“อาสะใภ้ซิ่วเหลียนอยู่บ้านหรือ?”
โจวกุ้ยหลานยิ้มทักทาย
อาสะใภ้ซิ่วเหลียนมองดูนางแวบหนึ่ง พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “มีธุระอะไร?”
สามีของนางเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีแต่คนในหมู่บ้านมาหาทุกวัน น่ารำคาญอย่างมาก
“ไม่มีอะไร ก็แค่ที่บ้านสร้างบ้านใหม่แล้วมีแป้งเหลืออยู่บ้าง จึงเอามาทำเส้นแป้ง แบ่งมาให้อาสะใภ้กับลุงโหยวเกินชิม”
พูดเสร็จก็ยื่นตะกร้าให้กับอาสะใภ้ซิ่วเหลียน
ได้ยินว่าเอาของมาให้ อาสะใภ้ซิ่วเหลียนก็ยิ้มแย้ม เอื้อมมือไปรับตะกร้ามาพร้อมพูดขึ้นว่า “ไอหยา พวกเจ้าก็ลำบาก ทำไมยังจะต้องเกรงใจ?”
พูดเสร็จ ก็เอาตะกร้าแขวนไว้บนแขน ยังเหลือบมองดูข้างใน เห็นว่ามีไม่น้อย ยังไงก็น่าจะประมาณหนึ่งจิน
“ที่บ้านยังมีอยู่ จึงแบ่งมาให้อาสะใภ้บ้าง หากไม่มีแล้ว พวกเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร” โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
นี่เป็นบ้านผู้ใหญ่บ้าน ยังไงนางก็ต้องรักษาน้ำใจเป็นอย่างดี
คิดถึงเมื่อครั้งก่อน หากไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่บ้าน ไม่รู้ว่านางจะถูกเฉินโหยวซวนกับเฉียนต้ายาเดือดร้อนไปอีกนานแค่ไหน ดังนั้น อย่างแรกเพื่อเป็นการขอบคุณผู้ใหญ่บ้าน อีกอย่างหนึ่ง สร้างความสัมพันธ์ธ์ที่ดีกับคนที่มีอำนาจที่สุดในหมู่บ้านยังไงก็เป็นเรื่องดี
“เจ้ากับสามีของเจ้ามีความสามารถ ตอนนี้ก็มีบ้านใหม่แล้ว หลายวันก่อนลุงโหยวเกินยังพูดชมเจ้า คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจ้าจะมา เจ้ารอก่อน ข้าจะไปเปลี่ยนตะกร้าคืนให้เจ้า”
อาสะใภ้ซิ่วเหลียนพูดพร้อมกับรีบเดินเข้าไปในบ้าน คงจะเข้าไปในห้องครัวด้านหลังแล้ว
โจวกุ้ยหลาน ไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดพวกนี้
เพียงแค่เอาของมาให้เป็นบางครั้ง อาสะใภ้ซิ่วเหลียนคนนี้ก็จะสนิทกับนาง
รอไม่นาน อาสะใภ้ซิ่วเหลียนก็ถือตะกร้าเปล่ากลับมาคืนให้โจวกุ้ยหลาน
ทั้งสองคนคุยกันอยู่เพียงไม่กี่ประโยค อาสะใภ้ซิ่วเหลียนก็ไม่รู้ว่าเอาลูกอมมาจากไหนยื่นให้กับเจ้าก้อนน้อย
เจ้าก้อนน้อยเงยหน้ามองโจวกุ้ยหลาน โจวกุ้ยหลานลูบหัวของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “คุณย่าซิ่วเหลียนให้ เจ้ารับไว้เถอะ”
เมื่อแม่พูดแล้ว เจ้าก้อนน้อยค่อยรับมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ยังพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ขอบคุณคุณย่าซิ่วเหลียน”
ซิ่วเหลียนมองดูอยู่อย่างประหลาดใจ เจ้าเด็กน้อยคนนี้ทำไมพูดขอบคุณเป็นด้วย เก่งมากจริงๆ
“ไอโย้ ลูกของเจ้าคนนี้สอนได้ดีจริงๆ” ซิ่วเหลียนมองดูอย่างชื่นชอบ เอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าก้อนน้อย
ก่อนหน้านี้มองไม่รู้ ตอนนี้ค่อยเห็นว่าเนื้อตัวเจ้าเด็กคนนี้สะอาดสะอ้าน ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นในหมู่บ้าน