บทที่ 61 สงสารสามีตัวเอง

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 61 สงสารสามีตัวเอง
โจวกุ้ยหลานยิ้มรับ “เขายังเด็ก ไม่เข้าใจดอก แต่ว่าเชื่อฟัง ข้ากับพ่อเขาพูดอันใดเขาก็เชื่อฟังหมด”

“นี่ก็พอแล้ว มีแต่พวกเจ้าสองสามีภรรยานี่แหละรู้เรื่อง!” ซิ่วเหลียนพูดพลางคิดถึงบะหมี่นวดมือของตนที่อยู่บนเตา ท่าทีก็สนิทสนมมากขึ้น

โจวกุ้ยหลานยิ้มรับ พาเจ้าก้อนน้อยกลับขึ้นเขาต่อ

จัดการงานที่แปลงผักครู่หนึ่ง ฟ้าก็เริ่มมืด ในที่สุดสวีฉางหลินก็กลับมา

พอเขากลับมาครั้งนี้ ยังเอาเนื้อทรายตัวหนึ่งกลับมาด้วย

โจวกุ้ยหลานหยิบผ้าผืนหนึ่งมาชุบน้ำเช็ด น้ำเสียงต่อว่ากลายๆ “เจ้าเข้าป่าลึกอีกแล้วใช่หรือไม่?”

สวีฉางหลินชะงักมือ รีบคว้าผ้ามาเช็ดหน้า

พอเห็นเขาไม่รับคำ โจวกุ้ยหลานก็รอเขาเช็ดหน้าเสร็จ สองมือกอดอกบอก “ครั้งหน้าล่าสัตว์แถวรอบๆก็พอแล้ว อย่าเข้าป่าลึก ถ้าไปเจอหมีอีกจะทำอย่างไร?”

ยังไงก็เป็นสามีของนางในตอนนี้ นางต้องรัก

ผู้ชายคนนี้ไม่ห่วงตัวเองเลย ออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง และยังทำข้าวเช้าไว้ให้อีก บ้านนี้ก็เป็นเขาพยายามสร้างออกมา เขาพยายามเพื่อครอบครัวนี้อย่างสุดความสามารถแล้ว ลำบากเกินไปแล้ว

สวีฉางหลินรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ พลางยิ้มมุมปาก “ไม่เป็นไร ข้าคุ้มครองตัวเองได้ หมีสองตัวไม่น่ากลัวดอก”

โจวกุ้ยหลานเชื่อในคำพูดนี้ของเขา แต่ทุกเรื่องต้องมีอุบัติเหตุหากเกิดกับเขาแหละ?

“ข้าไม่สนล่ะ ฟ้าสางแล้วเจ้าถึงจะออกไปได้ ข้าทำข้าวเช้าเอง เจ้าทำไม่อร่อยเลย อีกอย่างนะ ต้องกลับมากินข้าวที่บ้านทั้งสามมื้อ พรุ่งนี้ข้าจะไปขายเนื้อทรายในเมืองกับเจ้า และซื้อของกลับมาด้วย”

โจวกุ้ยหลานไม่สนใจพวกนั้น ในเมื่อเขาบอกว่าบ้านนี้นางเป็นใหญ่ งั้นเขาจะไปทำงานเมื่อไหร่ก็ต้องให้นางเป็นคนตัดสินใจ

เมียตัวน้อยที่บ้าอำนาจนี่ทำให้สวีฉางหลินรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ครั้งนี้เขาหัวเราะเบาๆ

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำนั่นทำโจวกุ้ยหลานใจปั่นป่วน เต้นตึกตักไม่เป็นส่ำ

ไอ้หยา ผู้ชายคนนี้ขี้อ่อยชะมัด นางไร้แรงต้านทานเสียงนี้เลยนะ

รอนางทำแปลงเพาะพันธุ์ออกมาได้แล้ว ต่อไปชีวิตพวกเขารุ่งเรืองแน่ ใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายได้อย่างมีความสุข ดีเลยจริงไหม?

โจวกุ้ยหลานยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น สายตาเปล่งประกาย

ระหว่างที่กำลังคิดอยู่ ผู้ชายข้ามผ่านอ่างล้างหน้าเข้าใกล้นางหนึ่งก้าว สองมือคว้าจับแขนโจวกุ้ยหลาน น้ำเสียงมีแววออดอ้อน “น้องนาง…”

โจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้นมา ก็สบเข้ากับสายตาเจิดจ้าของเขา

ไอ้โหย ผู้ชายคนนี้ดูท่าจะอดอยากมากนะ…

เสียงนี้เรียกเสียจนใจนางเต้นไม่เป็นส่ำ รับรู้ได้ถึงบรรยากาศวาบหวาม มือน้อยเลื่อนไปวางที่เอวเขา “ยังไง อยากจูบก็จูบสิ”

ถ้าเขายังไม่ลงมืออีก นางจะจูบเข้าไปก่อนแล้วนะ

นี่มันเทพบุตรชัดๆ นางได้จูบนางก็กำไรแล้วจริงไหม?

ถ้าได้นอนกับเขา ยิ่งกำไรใหญ่เลย

พอได้รับการยินยอมจากนาง สวีฉางหลินยิ้มกว้างมากขึ้น “น้องนาง ข้าจะต้องให้เจ้าได้ใช้ชีวิตดีๆไม่อดอยากแน่นอน!”

นี่คงเป็นคำพูดโรแมนติกที่สุดที่ผู้ชายชาวเขาจะพูดออกมาได้แล้ว หัวใจโจวกุ้ยหลานรู้สึกวาบหวาม ยืนเขย่งปลายเท้า จะจูบเขา

ผ้าห่มโดนคนกระชากออก พอนางก้มหน้าลง ก็เห็นเจ้าก้อนน้อยดึงเสื้อนาง และมองดูนางด้วยดวงตาไร้เดียงสาคู่นั้น

โจวกุ้ยหลาน “…”

สวีฉางหลิน “…”

“แม่ทำอะไรรึ?”

เจ้าก้อนน้อยถามเสียงเด็ก มืออีกข้างก็คว้าจับกางเกงของสวีฉางหลิน

นี่นี่นี่ จะพูดยังไงดี?

จะให้บอกว่า ทำเรื่องที่เด็กห้ามดูงั้นรึ?

แผ่นหลังของโจวกุ้ยหลานเหงื่อแตกซิก รู้สึกล่อกแล่กพิกล

ทำไมรู้สึกเหมือนนางกำลังลักลอบขโมยกิน?

นางยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่อยากจูบกับสามีตนเท่านั้นเอง?

นางผลักสวีฉางหลินออก นางจูงมือเจ้าก้อนน้อยออกไปข้างนอก และพูดกับเจ้าก้อนน้อยว่า “เสี่ยวเทียนอยากกินอะไร แม่ทำให้กินดีไหม?”

สวีฉางหลินมองตามแผ่นหลังทั้งคู่ รู้สึกในหัวใจเหมือนมีแมวคอยแกะเกา ลูกชายคนนี้เป็นส่วนเกินจริงๆ!

คืนนั้นเขากินข้าวอย่างอารมณ์ไม่ดี นอนลงบนเตียงอย่างอารมณ์ไม่ดี และมองดูลูกชายกอดเมียตนเองนอนอย่างอารมณ์ไม่ดี

เช้าวันต่อมา พอโจวกุ้ยหลานตื่นมา พบว่าวันนี้สวีฉางหลินยังนอนอยู่บนเตียง ยื่นมือข้ามเจ้าก้อนน้อยมากอดนางไว้

ภายใต้แสงสลัว นางมองสำรวจผู้ชายคนนี้ พบว่าหน้าตาเขาดีมาก โครงสร้างได้รูป จมูกโด่ง ปากก็ดูดี เพียงแต่กรำแดดกรำลมมาหลายปี ทำให้ผิวค่อนข้างดำ แต่นี่ก็แสดงออกให้เห็นว่าเขาเก่งมีความสามารถ

ผู้ชายคนนี้เป็นของนางแล้ว นางกำไรน่ะเนี่ย

ระหว่างที่คิด สวีฉางหลินลืมตาขึ้น ดวงตาสองคู่ประสบกัน

“อรุณสวัสดิ์” โจวกุ้ยหลานบอกเขาด้วยรอยยิ้ม

สวีฉางหลินอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นยิ้มตอบ “อรุณสวัสดิ์”

ยิ้มนี้ทำโจวกุ้ยหลานตาพร่ามัว “สวีฉางหลิน เจ้ายิ้มแล้วดูดียิ่ง ต่อไปยิ้มให้มากๆนะ!”

คำพูดนี้ทำให้สวีฉางหลินอึ้ง จากนั้นสีหน้ากลับเคร่งขรึมขึ้นมาอีก

“ลุกขึ้นเถอะ อีกเดี๋ยวต้องเข้าเมืองอีก” พูดจบ สวีฉางหลินลุกขึ้นเดินไปข้างนอก

โจวกุ้ยหลานรู้สึกงุนงง เมื่อกี้นางไม่ได้พูดอะไรผิดนี่นา ผู้ชายคนนี้เป็นอะไรเนี่ย?

สวีฉางหลินที่ตื่นแล้วเทน้ำลงอ่างอาบน้ำเรียบร้อย เขามองดูเงาตัวเองในน้ำอยู่นาน กว่าจะลุกขึ้นเทน้ำในอ่างออก

บางที เขาควรจะใช้ชีวิตให้ดีได้แล้ว…

โจวกุ้ยหลานใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วถึงออกมา และเห็นสวีฉางหลินกำลังตัดฟืน

นางมองไป ก็เห็นเสื้อที่ไหล่ขวาของเขามีรอยโหว่

ดูท่าต้องทำเสื้อตัวใหม่ให้เขาอีกแล้ว…

ระหว่างคิด นางยกถังขึ้น รีบก้าวไปข้างบ่อน้ำ หยิบถังไม้วางลงไปจะตักน้ำ

สวีฉางหลินที่อยู่อีกด้านเห็นอย่างนั้น ก็โยนขวานทิ้งไป ก้าวเข้ามาหลายก้าว รับเชือกในมือนางไป “ข้าจัดการเอง”

โจวกุ้ยหลานวางถังลงไปแล้ว ไม่อยากปล่อยมือ “น้ำถังเดียวข้ายกไหวน่า ให้ข้าทำเองเถอะ”

เมื่อก่อนล้วนเป็นสวีฉางหลินลงเขาไปตักน้ำกลับมา จากนั้นก็มาขุดบ่อน้ำ หลายวันนี้ในบ่อก็มีน้ำแล้ว พวกเขาเลยมาตักน้ำที่บ่อแทน แต่ปกติเป็นสวีฉางหลินมาตักน้ำ วันนี้นางอยากทำเอง ผู้ชายคนนี้กลับมาแย่งทำเสียนี่

“นี่ไม่ใช่งานที่เจ้าควรทำ” สวีฉางหลินไม่ยอมถอยเลย คว้าเชือกจากมือโจวกุ้ยหลานมาถือไว้ และโยนลงไปในบ่อน้ำ ตักน้ำขึ้นมา ช่วยตักไปใส่ในโอ่ง

จากนั้นก็รีบเดินกลับมา ตักน้ำต่อ

โจวกุ้ยหลานเห็นเขาโยนถังน้ำลงในโอ่งน้ำอีก ทนไม่ไหวถอนหายใจออกมา “สวีฉางหลิน ใครแต่งงานกับเจ้าล้วนสบายหมด”

คำพูดนี้ออกแววเลียบเคียง

สวีฉางหลินกลับเหมือนไม่ได้ยิน รับคำแค่อืม

งานที่ไม่ควรให้เมียทำเองก็ไม่อาจให้นางทำได้ เกิดนางเหนื่อยไปจะทำยังไง?

ความหมายคือ เขาดีกับแม่ของเจ้าก้อนน้อยอย่างนี้เหมือนกัน?

บางทีถ้าเขาแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ก็คงจะดีกับผู้หญิงคนอื่นอย่างนี้เหมือนกันใช่ไหม?

โจวกุ้ยหลานคิด พลางรู้สึกปวดใจ