ตอนที่ 218 ผู้อ่านตะลึง
แนวของนิยายมีความสำคัญต่อนิยายเป็นอย่างมาก เพราะเหตุใดนักเขียนจึงมักเลือกสร้างสรรค์ผลงานจากแนวที่เป็นกระแสน่ะหรือ
ก็เพราะผู้อ่านชื่นชอบหนังสือแนวไหน ก็จะหาหนังสือแนวนั้นอ่าน
การเลือกแนวนิยายกระแสหลัก ก็ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกนักอ่านมองเห็น!
แม้แต่นักเขียนที่ผลงานขายดีและมีชื่อเสียง ก็ไม่กล้าเลือกเขียนแนวซึ่งเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มสุ่มสี่สุ่มห้า
เพราะไม่มีทางรับประกันได้ว่าหลังจากที่เขียนนิยายแนวเฉพาะกลุ่มแล้ว ผู้อ่านจะยังสนับสนุนพวกเขาเฉกเช่นที่ผ่านมาหรือไม่
แต่ถึงอย่างนั้นก็จะมีนักเขียนบางส่วนที่ไม่ยอมวางไพ่ตามแบบแผน
ฉู่ขวงเป็นหนึ่งในนักเขียนประเภทนี้
เขาแลดูคล้ายกับว่าจะมีนิสัยไม่ชอบเขียนอะไรที่เป็นกระแสหลัก
ผลงานเดบิวต์ของฉู่ขวงในอุตสาหกรรมนิยายแฟนตาซีขนาดยาวก็คือปรินซ์ออฟเทนนิส แนวการแข่งขันกีฬา
เป็นแนวที่เฉพาะกลุ่มซะยิ่งกว่าเฉพาะกลุ่ม!
นิยายเรื่องที่สองของเขาคือกระบี่เทพสังหาร เป็นแนวเทพเซียนกำลังภายในซึ่งในตลาดนิยายไม่มีใครแตะต้องมาก่อน
ไม่น่าไว้ใจยิ่งกว่าแนวการแข่งขันกีฬาซะอีก!
แต่นิยายซึ่งไม่ค่อยน่าไว้ใจทั้งสองแนวนี้ ดันสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่น หนำซ้ำยังเรียกกระแสตลาดได้ด้วย!
เพราะฉะนั้น
ยามที่นิยายเรื่องที่สามของฉู่ขวงถูกใส่ไว้ในหมวดนิยายสยองขวัญลี้ลับ หลายคนในวงการก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอย่างที่ควรจะเป็นอีกต่อไป
เห็นได้ชัดว่า
ถ้าหากปราศจากความสำเร็จของเรื่องกระบี่เทพสังหาร ในวงการจะไม่มีใครมองหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงในแง่ดีเลย ถึงขั้นที่ร้อยทั้งร้อยจะต้องมีคนโผล่มาบอกว่า
‘หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงห่วยแตกแน่นอน!’
เพราะในอุตสาหกรรรมนิยายหมวดสยองขวัญลี้ลับ นับว่าสุดแสนจะเฉพาะกลุ่มเช่นเดียวกัน!
ทว่าฉู่ขวงได้เบิกเนตรทุกคนมาแล้วติดต่อกันถึงสองครั้ง ดังนั้นตั้งแต่ที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูเริ่มการโปรโมต ก็แทบจะไม่มีใครกล้าโผล่มาเคลือบแคลงสงสัยในคุณภาพหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงเลย ต่อให้ในใจของพวกเขาจะมีความคิดเช่นนี้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย
เหล่าบรรณาธิการในวงการไม่ได้โง่เขลา
เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับฉู่ขวง หากตัดสินจากประสบการณ์ทั่วไป โอกาสที่จะหน้าแตกนั้นมีสูงเหลือเกิน ไม่สู้รูดซิปปากเฝ้าสังเกตการณ์เงียบๆ จะดีกว่า
ร้านหนังสือเองก็ไม่ได้โง่งม
ต่อให้มองจากภายนอกนิยายเรื่องนี้จะแลดูไม่ได้ความก็เถอะ ร้านหนังสือชั้นนำแต่ละแห่งก็ยังคงไว้หน้าคลังหนังสือซิลเวอร์บลู และสั่งสินค้ามาไม่น้อย
ช่วยไม่ได้
ใครให้เรื่องคนขุดสุสานเป็นหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงล่ะ
เมื่อมีรากฐานจากหนังสือสองเรื่องก่อนหน้านี้ ในวันนี้นามปากกาฉู่ขวงก็มีประสิทธิภาพโดยไม่คำนึงถึงประเภทหรือหมวดหมู่อีกต่อไป!
แต่ว่า…
นี่เป็นเพียงทัศนคติของชาวมณฑลฉินจำนวนหนึ่ง
ผู้อ่านชาวมณฑลฉีจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
ตัวอย่างเช่นม่ายถง
ม่ายถงเกิดและเติบโตที่มณฑลฉี
หลังจากฉินฉีผนวกรวม ในฐานะนักอ่านที่ชื่นชอบนิยายแฟนตาซี ม่ายถงย่อมผ่านการอ่านนิยายแฟนตาซีเรื่องดังของมณฑลฉินมาอย่างโชกโชน
เนื่องจากผลงานที่ยอดเยี่ยมของมณฑลฉินมีมากเหลือเกิน แถมยังสนุกชวนติดตาม จนม่ายถงติดใจจนวางไม่ลง
ดังนั้นม่ายถงจึงยังไม่มีเวลาได้อ่านนิยายของฉู่ขวง
แต่บนโลกออนไลน์มีนักอ่านจากมณฑลฉินหลายคนที่ชื่นชมฉู่ขวง เห็นทีฉู่ขวงคนนี้คงจะมีของจริงๆ
ดังนั้นม่ายถงจึงค้นหาผลงานของฉู่ขวงสักหน่อย
และม่ายถงก็บังเอิญไปเห็นโพสต์โปรโมตหนังสือเรื่องใหม่จากทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูเข้าพอดี
ถ้าอยากเข้าใจนักเขียน ก็ย่อมต้องอ่านผลงานชิ้นล่าสุดของเขา
ดังนั้นหลังจากที่ม่ายถงรู้ว่าฉู่ขวงจะปล่อยหนังสือเรื่องใหม่ ก็ไม่ได้รีบร้อนซื้อผลงานเรื่องก่อนหน้าของฉู่ขวง แต่กลับตั้งตารอหนังสือเรื่องใหม่ของเขา
ม่ายถงอยากรู้ว่าฉู่ขวงจากมณฑลฉินคนนี้จะยอดเยี่ยมแค่ไหนกันแน่
ปรากฏว่า…
ผลงานซึ่งมีชื่อเรื่องว่าคนขุดสุสานยังไม่ทันได้วางขายอย่างเป็นทางการ ม่ายถงก็เริ่มรู้สึกผิดหวังทันทีที่ได้เห็นหมวดหมู่ของหนังสือเรื่องนี้ในโพสต์โปรโมต
ลี้ลับสยองขวัญเหรอเนี่ย!
ฉู่ขวงเป็นนักเขียนชื่อดังของมณฑลฉินไม่ใช่หรอกหรือ ทำไมเขาถึงเขียนนิยายแนวเฉพาะกลุ่มขนาดนี้เนี่ย
นี่เป็นผลงานของนักเขียนผลงานขายดีจากมณฑลฉิน?
กล่าวตามตรง ม่ายถงไม่สนใจนิยายแนวนี้เลยสักนิดเดียว
บางทีชาวเน็ตจากมณฑลฉินอาจยกยอปอปั้นฉู่ขวงเกินไป
แม้จะไม่มีความสนใจในประเภทของนิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวงเลย ทว่าในวันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งนิยายวางขายอย่างเป็นทางการ ม่ายถงก็ยังซื้อคนขุดสุสาน หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงติดไม้ติดมือกลับมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ไม่ใช่เพราะสนใจหนังสือ แต่เพราะสนใจนักเขียนต่างหาก
ผู้อ่านจากมณฑลฉินพูดถึงฉู่ขวงในทางที่ดีมาก ดีเสียจนม่ายถงข่มกลั้นความสงสัยไม่ไหว อยากรู้เหลือเกินว่าสรุปแล้วคนคนนี้เก่งกาจถึงขนาดไหนกัน
อย่างไรก็ดี
เพิ่งจะพลิกอ่านเรื่องคนขุดสุสานไปได้ไม่เท่าไหร่ ม่ายถงก็สีหน้าหม่นลงทันที
“บุคคลที่หนึ่ง?”
เป็นถึงฉู่ขวง แต่ดันมาเขียนบรรยายด้วยมุมมองบุคคลที่หนึ่งเนี่ยนะ?
ม่ายถงคิดมาตลอดว่าการบรรยายด้วยมุมมองของบุคคลที่หนึ่งนั้นเป็นกลวิธีการเขียนที่เสียอรรถรสที่สุด
เขาเคยกัดฟันฝืนอ่านผลงานซึ่งใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่งในการบรรยาย แต่อ่านไปได้ไม่กี่บทก็ทนไม่ไหว ต้องเป็นอันยอมแพ้
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยอ่านนิยายซึ่งบรรยายโดยมุมมองบุคคลที่หนึ่งอีกเลย
ปฏิกิริยาตอบสนองของตลาดยังพิสูจน์ได้ว่า มุมมองบุคคลที่หนึ่งไม่เป็นที่ยอมรับ
ร้อยละ 99 ของหนังสือยอดนิยม ล้วนเขียนจากมุมมองของบุคคลที่สาม และค่อนไปทางมุมมองพระเจ้าเสียมากกว่า
ลำพังจุดนี้จุดเดียว ม่ายถงก็แทบอยากส่งเรื่องคนขุดสุสานไปรับโทษประหารให้รู้แล้วรู้รอด
แต่อุตส่าห์จ่ายเงินซื้อหนังสือนี้มาแล้ว ม่ายถงเบ้ปาก ข่มกลั้นความรู้สึกต่อต้านในจิตใจ อ่านต่อไป
ทั้งฉากและโครงเรื่องของนิยายเรื่องนี้ก็ค่อยๆ ตีแผ่สู่สายตาของม่ายถง..
[ฟาชิว มัวจิน ปานซาน และเซี่ยหลิ่ง เป็นสี่สำนักขุดสุสานใหญ่]
[คนจุดเทียน ผีเป่าโคม]
[เมื่อเข้าไปในสุสานโบราณ ให้จุดเทียนที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ก่อน จึงจะเปิดโลงศพได้ หากเทียนดับ คุณต้องถอยออกไปโดยเร็วและอย่านำสิ่งใดติดมือไป ตำนานเล่าว่านี่เป็นพันธะสัญญาระหว่างคนเป็นและคนตายซึ่งปรมาจารย์เป็นผู้สร้างขึ้น สืบทอดกันมานานนับพันปี และไม่อาจลบล้างได้]
[ไก่ขันโคมดับจักไม่คลำทอง[1]]
[ล่าขุมทรัพย์ข้ามขุนเขา กำแพงหนึ่งชั้นผ่านหนึ่งประตู ครั้นไขกลอนซึ่งยากเยี่ยงปากว้าออก จักพบโลงศพราชินีในที่แห่งนั้น]
ในตอนแรก ม่ายถงพลิกหน้าหนังสืออย่างรวดเร็ว ประหนึ่งกินอาหารเข้าไปรวดเดียวจนหมดจาน
ก็เหมือนกับเวลาที่เราอ่านหนังสือเรียน เป็นเพราะไม่ได้รู้สึกสนใจมากนัก จึงเปิดอ่านผ่านๆ อย่างขอไปที
ทว่ายามที่เนื้อเรื่องเกี่ยวกับหุ่นกระดาษเริ่มเปิดเผย นักเขียนเริ่มไขปมทั้งฉากและกฎเกณฑ์ในการขุดสุสานทีละชั้นๆ ม่ายถงก็ค่อยๆ ถูกดึงดูดเข้าสู่เรื่องราว
“น่าสนใจอยู่นะ”
เขาเลิกคิ้ว ก้มหน้าอ่านต่อไป
เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป
อ่านมาจนถึงเมื่อเรื่องราวบรรจบเข้าเส้นเรื่องหลัก เข้าสู่มุมมองของหูปาอี ดวงตาของม่ายถงก็พลันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ความเร็วในการพลิกหน้าหนังสือก็เริ่มมากขึ้น
‘จ้งจื่อ[2]…’
‘มัวจินฝู[3]…’
‘เคล็ดวิชาเฟินจินติ้งเสวีย…’
‘ตำราเคล็ดวิชาหยินหยางสิบหกอักขระ…’
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เรื่องราวเอ่ยถึงเมืองโบราณจิงเจวี๋ย เส้นเรื่องหลักก็ชัดเจนขึ้นมา ราวกับลำต้นใหญ่ของต้นไม้ ค่อยๆ แผ่กิ่งก้านสาขาออกมาทีละน้อย
น่าติดตามมาก!
เรื่องราวดำเนินต่อไป ม่ายถงก็ดำดิ่งลงเข้าสู่เนื้อเรื่องโดยสมบูรณ์ เขาหวนนึกถึงคำชื่นชมบนโลกออนไลน์ของนักอ่านชาวฉินโจวที่มีต่อฉู่ขวง ในใจก็เกิดความรู้สึกเห็นดีเห็นงามด้วยเป็นครั้งแรก…
ฉู่ขวงโหดเกินไปแล้ว!
นิยายเรื่องนี้ดูแล้วอาจน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วแฝงด้วยเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และแม้กระทั่งเรื่องศาสตร์การทำนายปากว้าจากคัมภีร์อี้ชิง และผู้เขียนจะเขียนได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้อยู่ในสมองแล้วเท่านั้น
เพราะว่า…
การเขียนหนังสือประเภทนี้จำเป็นต้องอาศัยจินตนาการของนักเขียนแนวระทึกขวัญ พื้นฐานของนักเขียนแนวประวัติศาสตร์ ตรรกะของนักเขียนแนวสืบสวน ความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์จากนักจิตวิทยา ความรู้ของวิศวกรโยธา ความละเอียดอ่อนของนักการเมือง ทักษะพื้นฐานของนักภูมิศาสตร์ และที่สำคัญที่สุดก็ยังต้องมีแรงบันดาลใจอันมหาศาลและไม่มีวันมอดดับอีกด้วย!
ผู้มีชื่อเสียงย่อมมีความรู้เป็นต้นทุน
เรื่องนี้ฉู่ขวงทำให้เห็นเป็นประจักษ์แล้ว!
และสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ…
ฉู่ขวงเขียนบรรยายฉากขุดสุสานด้วย!
นิยายของเขาเขียนเรื่องโลกใต้บาดาลได้อย่างสร้างสรรค์ไร้ขอบเขต พิศวงชวนประหลาดใจ บรรยากาศระทึกขวัญสั่นประสาทระคนความความตื่นเต้น กระตุ้นจินตนาการของม่ายถงได้อย่างไม่สิ้นสุด!
ตัวละครแปลกใหม่เหลือเกิน
หูปาอีซึ่งยามปกติพูดพล่ามไปเรื่อยเปื่อย แต่ในช่วงเวลาสำคัญกลับคุมทุกสิ่งได้อยู่หมัด
หยางเสวี่ยลี่[4]คล่องแคล่ว ฉลาดหลักแหลม เที่ยงตรง และใจกว้าง
หวังพั่งจื่อหรือหวังข่ายเสวียน ละโมบสมบัติ และกลัวความสูง แต่กลับรักพวกพ้องและยิงปืนแม่นยำ
สำนักต่างๆ ทักษะเฉพาะตัว คำศัพท์เฉพาะทาง ความขลังแห่งยุคสมัย ฟังดูเกินจริงสุดๆ แต่กลับสมเหตุสมผลเหลือเกิน ถึงขั้นที่มีการสอดแทรกบทวิเคราะห์และอธิบายเกี่ยวกับวัตถุนิยม ทำให้ผู้อ่านไม่รู้สึกว่านักเขียนกำลังพร่ำเพ้อพรรณนาอย่างไร้แก่นสาร…
โลกแห่งนี้ เข้าใกล้ความสมจริงมาก!
เขย่าขวัญสั่นประสาท ตื่นเต้นระทึกใจ ลี้ลับชวนพิศวง แถมยังมีความเป็นเหตุเป็นผลช่วยไขความกระจ่าง
เรื่องนี้ต่างจากนิยายสยองขวัญลี้ลับในความคิดของม่ายถงอย่างสิ้นเชิง!
ถึงขั้นที่รู้สึกว่า หากจะจัดนิยายเรื่องนี้ให้อยู่ในหมวดสยองขวัญลี้ลับก็ยังไม่ถูกต้องซะทีเดียว
นี่มันหมวดหมู่ใหม่ชัดๆ
ตลาดนิยายบนบลูสตาร์ไม่เคยมี…นิยายแนวขุดสุสาน!
“ต่อๆๆๆ!”
ในใจของม่ายถง อารมณ์กำลังพลุ่งพล่านเต็มที่!
ก่อนหน้านี้เขาเข็ดขยาดกับนิยายแนวขุดสุสาน ทว่าเมื่ออ่านนิยายเรื่องนี้มาเรื่อยๆ จู่ๆ เขากลับรู้สึกว่าการบรรยายจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งไม่ใช่ปัญหาอะไร!
นิยายแนวขุดสุสานก็ต้องใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่งนี่แหละ ถึงจะได้อรรถรส ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าตนทะลุเข้าไปอยู่ในเรื่องราวด้วยตัวเอง!
มุมมองบุคคลที่สามไม่สามารถมอบประสบการณ์อันดื่มด่ำเช่นนี้ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าหากนักเขียนมีฝีมือดีพอ ต่อให้เป็นการบรรยายจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งก็สามารถเขียนให้สนุกได้!
ในตอนนั้น
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว
ม่ายถงอ่านนิยายเรื่องนี้ตลอดทั้งช่วงบ่ายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เมื่อเขารู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าคอของตนปวดแปลบ ดวงตาเริ่มแสบเล็กน้อย
ทว่าในตอนนี้ นิยายเล่มแรกก็กำลังจะจบลงแล้ว
ม่ายถงอ่านหนังสือเร็ว เร็วจนเรียกได้ว่าอยู่ในกลุ่มต้นๆ ของบรรดานักอ่าน
และในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้นเอง
เหล่าบรรณาธิการของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ต่างจับตามองโลกออนไลน์อย่างกระวนกระวาย กำลังรอเสียงตอบรับกลุ่มแรกๆ จากเรื่องคนขุดสุสาน ถึงแม้ในตอนนี้จะมีความคิดเห็นเพิ่มขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ส่วนมากกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพียงแต่เป็นข้อความให้กำลังใจฉู่ขวง
“น่าจะไม่มีปัญหาอะไรล่ะมั้ง”
“ถึงสไตล์ของนิยายจะไม่ได้เข้ากับแฟนตาซีเยาวชนสักเท่าไหร่ แต่สมัยนี้แล้ว ขอแค่เรื่องสนุกก็ใช้ได้แล้ว…”
“ฉันกังวลว่าคนอ่านจะรับมุมมองบุคคลที่หนึ่งไม่ได้ต่างหาก”
“อ่านตอนแรกไม่มีใครรับบทบรรยายจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งได้หรอก แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องผ่านกระบวนการปรับตัวกันทั้งนั้น พวกเธอรู้สึกไหมล่ะว่าเรื่องนี้พออ่านไปเรื่อยๆ แล้วลืมเรื่องบุคคลที่หนึ่งไปเลย”
“จริงแก ฉันอ่านไปถึงช่วงท้ายๆ แล้วอินมาก ไม่ได้สนใจมุมมองบุคคลที่หนึ่งเลย”
“…”
ขณะที่บรรณาธิการถกเถียงกัน บนโลกออนไลน์ก็เริ่มมีเสียงตอบรับจากเรื่องคนขุดสุสานแล้ว
นักอ่านกลุ่มแรกปรากฏตัวขึ้นในที่สุด
นิยายวางขายอย่างเป็นทางการในเวลาเจ็ดโมงเช้า
นับตั้งแต่เวลาวางขายเรื่องคนขุดสุสานอย่างเป็นทางการจนถึงตอนนี้ ก็ผ่านมาเกือบสิบสองชั่วโมงแล้ว
ผู้อ่านที่อ่านหนังสือค่อนข้างเร็ว ก็อ่านเรื่องคนขุดสุสานเล่มแรกจบภายในเวลาสิบสองชั่วโมงอย่างง่ายดาย
บางคนถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องอ่านจบด้วยซ้ำไป
นิยายเรื่องนี้ ขอเพียงอ่านไปสักระยะหนึ่ง ก็สัมผัสได้ถึงความความตื่นเต้นเร้าใจแล้ว มากพอที่จะนำไปเขียนแสดงความคิดเห็น
เหล่าบรรณาธิการซึ่งจับเจ่าจ้องมองเว็บไซต์ทางการมาตลอด ก็เริ่มเห็นคอมเมนต์ทยอยกันเข้ามาในที่สุด
คอมเมนต์แรกเกี่ยวกับเนื้อหาของนิยายอย่างเป็นทางการ เขียนโดยผู้อ่านคนหนึ่งซึ่งใช้ชื่อว่า ‘ม่ายถง’
‘ในฐานะคนอ่านจากฉีโจว ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของฉู่ขวงมานาน วันนี้มีโอกาสได้อ่านเรื่องคนขุดสุสาน อ่านจบในรวดเดียวและรู้สึกประหลาดใจมาก หลังจากฉินฉีผนวกรวมกัน นี่เป็นนิยายที่ดีที่สุดของฉีโจวเท่าที่ฉันเคยอ่านมา!’
หลังจากนั้น
ประหนึ่งยิงสลุตเบิกฤกษ์
หลังจากที่คอมเมนต์นี้อุบัติขึ้น ความคิดเห็นซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องคนขุดสุสานก็ผุดขึ้นราวดอกเห็ดหลังฝนพรำ
………………………………………………
[1] ไก่ขันโคมดับจักไม่คลำทอง เป็นกฎเกณฑ์ในการขุดสุสานของมัวจิน (คลำทอง) ซึ่งจะปรากฏผ่านมัวจินเซี่ยวฝู ว่าหลังจากเสียงไก่ขันจะยุติการขุดสุสาน และก่อนการขุดสุสานจะต้องจุดเทียนในทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสุสาน หากเทียนไม่ดับสามารถขุดต่อไปได้ แต่หากเทียนดับ หมายความว่าเจ้าของสุสานไม่ยินยอม จะต้องวางสมบัติทุกชิ้นกลับที่เดิม
[2] จ้งจื่อ ความหมายตรงตัวคือบะจ่าง แต่ในนิยายเรื่องคนขุดสุสานจะหมายถึง ‘ศพ’
[3] มัวจินฝู แปลตรงตัวคือเครื่องรางคลำทอง
[4] หยางเสวี่ยลี่ หรือเชอร์ลี่ หยาง หนึ่งในตัวละครสำคัญของเรื่องคนขุดสุสาน เป็นชาวอเมริกัน เชื้อสายจีน