บทที่ 191.1 บัวขาวอันแข็งแกร่ง (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 191.1 บัวขาวอันแข็งแกร่ง (1)
เสี่ยวจิ้งคงสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยก็กอดกางเกงกระโดดโลดเต้นเล่นอยู่บนที่นอน แล้วอวดต่อว่า “เจียวเจียวอุ้มข้ามาด้วย!”

เซียวลิ่วหลัง หึ

เสี่ยวจิ้งคงเชิดหน้าขึ้น “แถมเจียวเจียวยังเอาเสื้อผ้ามาให้ข้าด้วย เอาใจใส่กันยิ่งนัก!”

เซียวลิ่วหลัง หึหึ

เสี่ยวจิ้งคงลงจากเตียง เริ่มเดินหากู้เจียวไปทั่ว “เจียวเจียวเล่า”

“นางไปโรงหมอแล้ว” เซียวลิ่วหลังเดินตามออกมา

เสี่ยวจิ้งคงผิดหวัง “อ๋อ”

ตื่นเช้ามาไม่เห็นเจียวเจียว อารมณ์ก็ไม่ดีเสียแล้ว

เขาเหลือบมองพี่เขยนิสัยไม่ดีแวบหนึ่ง “ข้านอนกับเจียวเจียวด้วย! แต่เจ้าไม่ได้นอน!”

พอโอ้อวดนิดหน่อยก็อารมณ์ดีขึ้นมาแล้วละ!

เซียวลิ่วหลังสาบานว่าหากเณรน้อยยังกล้าทำตัวตูดเหม็นอีกเป็นครั้งที่สาม เขาจะบอกความจริงให้ได้รู้แน่!

โชคดีที่เสี่ยวจิ้งคงสะบัดศีรษะเล็กๆ ไปโอ้อวดกับคนอื่นต่อแล้ว

เพราะกู้เจียวไม่อยู่ มื้อเช้าเซียวลิ่วหลังจึงเป็นคนทำ

คนทั้งครอบครัวมองของสีดำมะเมื่อมที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรในชาม ก่อนจะพากันหมดความอยากอาหารทันที

หญิงชราอุตส่าห์ตื่นเช้าอย่างหาได้ยาก ปรากฏว่า…เจ้าทำไอ้นี่ให้ข้ากินน่ะรึ!

ใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวจิ้งคงยับยู่ยี่ เขาไม่ใช่เด็กเลือกกินนะ เขาแค่ไม่อยากกินยาพิษต่างหาก!

“เหตุใดจึงไม่กินกันเล่า” เซียวลิ่วหลังถาม

มุมปากทุกคนพากันกระตุกยิกส่งสายตาเหลือบมองไปให้เขา เหตุใดไม่กินเจ้าไม่รู้หรือไร เจ้าก็กินให้พวกเราดูกันสักคำก่อนสิ!

ในใจเซียวลิ่วหลังก็ปฏิเสธเช่นกัน

ทุกคนยึดมั่นในหลักการไม่กินทิ้งกินขว้าง สุดท้ายก็ฝืนกัดฟันกินของในชามที่ไม่รู้ว่าคืออะไรกันจนเกลี้ยง ฝีมือการครัวของคนอื่นเขาดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ของเซียวลิ่วหลังยิ่งทำก็ยิ่งแย่

กู้เหยี่ยนกล้ำกลืนเสียจนกลอกตา คงต้องกินยาโรคหัวใจของข้าเพิ่มเป็นสองเม็ดแล้วกระมัง!

หลังจากมื้อเช้าที่ยากจะอธิบายผ่านพ้นไป ทั้งครอบครัวก็หลบเลี่ยงเซี่ยวลิ่วหลังไปประชุมลับๆ กัน

เสี่ยวจิ้งคงแล่บลิ้นใหญ่ “ต่อไปนี้จะไม่ให้พี่เขยนิสัยไม่ดีเข้าห้องครัวแล้ว! หากวันนี้ตอนข้าเรียนข้าสลบไป ต้องเป็นเพราะกินยาพิษมื้อเช้าของเขาแน่ๆ!”

กู้เหยี่ยน กู้เสี่ยวซุ่นและหญิงชราพากันพยักหน้า ตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ว่าจะจดชื่อเซียวลิ่วหลังไว้ในบัญชีดำของห้องครัว ชั่วชีวิตนี้ตราบใดที่ไม่หิวตาย ก็จะไม่อนุญาตให้เขาเข้าครัวอีกแล้ว!

หลังจากคิดถึงเซวียหนิงเซียงกันแล้ว ทั้งครอบครัวก็เริ่มคิดถึงจี้จิ่วอาวุโสต่อ แม้แต่หญิงชราที่แค่เห็นจี้จิ่วอาวุโสก็โมโหโกรธายังรู้สึกว่าอย่างน้อยๆ ฝีมือการครัวของเขาก็ยังพอไปวัดไปวาได้

หมู่นี้จี้จิ่วอาวุโสยุ่งมาก ยุ่งกับการเล่นซ่อนหากับฝ่าบาทอยู่

เขาจะให้ฝ่าบาทตรวจเจอตรอกปี้สุ่ยตรอกนี้ไม่ได้ จึงย้ายออกจากโรงเตี๊ยมหลังนั้นแล้วไปเช่าเรือนแยกเล็กๆ อยู่ชานเมือง

เรือนแยกหลังนั้นผ่านการลงนามค้ำประกัน แถมยังมีการขึ้นทะเบียนกับศาลาว่าการไว้แล้ว เพียงไม่กี่วันฝ่าบาทก็จะสืบตามเบาะแสมาเจอที่นี่

วันแรกนั้น จี้จิ่วอาวุโสไม่อยู่

วันที่สอง จี้จิ่วอาวุโสก็ยังไม่อยู่

วันที่สาม วันที่สี่…จวบจนวันที่ห้า ในที่สุดขันทีสองนายที่นั่งเฝ้าละแวกนี้ก็เจอจี้จิ่วอาวุโสเสียที

ขันทีคนหนึ่งรับผิดชอบลากจี้จิ่วอาวุโสไว้ ขันทีอีกคนควบม้าทะยานกลับวังไปทูลฝ่าบาท

บ่ายอันซบเซาวันหนึ่ง ฝ่าบาทก็มาพบกับจี้จิ่วอาวุโสที่ห่างหายไปนานสามปี

ดูเหมือนว่าจี้จิ่วอาวุโสจะแก่ชรากว่าเมื่อสามปีก่อนไปมากทีเดียว

เพ้อเจ้อ ระหว่างทางมาจงใจต้องลมหนาวอยู่ครึ่งชั่วยาม ให้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง และทำเป่าปากไม่หยุดต่างหาก

“ฝ่าบาท!” จี้จิ่วอาวุโสลงจากรถม้ามาค้อมกายถวายคำนับให้ฝ่าบาท

สภาพเขาเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทไหนเลยจะหักใจให้เขาคำนับได้อีก พระองค์รีบใช้สองมือพยุงเขาไว้ “ท่านขุนนางรีบลุกขึ้นเร็ว!”

จี้จิ่วอาวุโสแสดงฝีมือการแสดงระดับฮอลลีวูดของตัวเองออกมา ขอบตาเขาแดงก่ำ หยาดน้ำตากลอกกลิ้ง “ข้าหาใช่ขุนนางในราชสำนักแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ คำว่าท่านขุนนางนี้…ทรงตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

“ข้างนอกลมแรงนัก ท่านขุนนางต้องดูแลตัวเองให้ดี ไปพูดคุยกันในบ้านดีกว่า!” แต่ความจริงคือฝ่าบาทเองก็รออยู่ตรงนี้มาหนึ่งเค่อแล้ว หนาวแข็งจนฟันกระทบกันไปหมดแล้ว!

ทั้งคู่เดินเข้าบ้านมา

บ้านแสนธรรมดา เรียบง่ายมาก แต่ถูกหลิวเฉวียนเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน

เดิมทีฝ่าบาทคิดว่าหลังจากเข้าห้องมาจะอบอุ่นขึ้นบ้าง นึกไม่ถึงเลยว่าพระองค์จะคิดมากไป ในห้องนี้ไม่มีกระถางถ่านจึงมีอุณหภูมิพอๆ กันกับด้านนอกเลย

ฝ่าบาทหนาวเสียจนสั่นสะท้าน ยิ่งรู้สึกว่าหลายปีมานี้จี้จิ่วอาวุโสช่างมีชีวิตที่ลำบากนัก

จี้จิ่วอาวุโสท่าทีสงบนิ่งมาก ราวกับว่าที่พักและสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายนี้เป็นเรื่องปกติที่คุ้นเคยไปเสียแล้ว เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ฝ่าบาทไม่ได้ดื่มชาที่ข้าชงมานานมากแล้ว หลิวเฉวียน ไปต้มน้ำมาให้สักกาที”

“ขอรับ!” หลิวเฉวียนไปต้มน้ำมาจากครัวหนึ่งกา

จี้จิ่วอาวุโสชงชาหลงจิ่งด้วยตัวเองกาหนึ่ง

ฝ่าบาทดื่มชาชั้นดีจนชินแล้ว มาดื่มชาเก่าๆ ที่เก็บไว้หลายปีเช่นนี้ จึงรสชาติเหมือนกับดื่มน้ำล้างจานอย่างไรอย่างนั้น

ในที่สุดพระองค์ก็ทนไม่ไหว ถามขึ้นมาว่า “ท่านขุนนาง เหตุใดชีวิตเจ้าจึงได้ลำบากยากจนเช่นนี้เล่า”

ต่อให้จี้จิ่วอาวุโสเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ รับแต่เงินเดือนของราชสำนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นตกอับถึงเพียงนี้

โดยปกติแล้วตระกูลขุนนางทั่วไปจะต้องเลี้ยงอนุเรือนท้ายไว้ใหญ่โต แต่ภรรยาของจี้จิ่วอาวุโสจากโลกนี้ไปตั้งนานแล้ว ซ้ำเขาก็ไม่มีลูกชาย เงินเดือนเขาเพียงพอจะเลี้ยงตัวเองให้ร่ำรวยมั่งคั่งได้

จี้จิ่วอาวุโสคิดในใจว่า ก็โดนท่านแม่ของท่านปล้นชิงไปแล้วน่ะสิ

ช่างเถอะ ไม่ใช่แม่แท้ๆ เสียหน่อย

หากพูดถึงชาติกำเนิดของฝ่าบาทในตอนนั้นอันที่จริงก็น่าสงสารไม่น้อย พระมารดาแท้ๆ ของพระองค์เป็นนางกำนัลตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนโดยบังเอิญจึงได้ตั้งครรภ์

สนมที่มีลำดับขั้นสามลงไปในวังหลังของแคว้นเจาไม่มีสิทธิเลี้ยงดูทายาทตัวเอง หลังจากพระองค์ประสูติก็โดนส่งไปในตำหนักจิ้งเฟย มีจิ้งเฟยเป็นคนเลี้ยงดูสั่งสอนให้เติบใหญ่

จี้จิ่วอาวุโสแย้มยิ้ม ก่อนเอ่ยว่า “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าใช้ชีวิตสมถะเช่นนี้ก็ไม่เลว ทำให้จิตใจคนเราสงบ ราชสำนักผันผวนเปลี่ยนแปรในหลายปีมานี้ แทบจะมีช่วงสงบเงียบเช่นนี้ได้น้อยนัก”

เขาเอ่ยเช่นนี้ ฝ่าบาทกลับเกิดความซาบซึ้งใจขึ้น

พระองค์สูงส่งเป็นถึงกษัตริย์แห่งแคว้น ตั้งแต่ราชสำนักไปจนถึงวังหลัง จะมีวันคืนที่เงียบสงบสักวันได้อย่างไร

ตอนที่รอจี้จิ่วอาวุโสท่ามกลางลมหนาวเมื่อครู่นี้ ความคิดวุ่นวายในใจกลับน้อยมากนัก

นั่งอยู่ในห้องนี้ไม่ต้องห่วงกังวลกับสถานการณ์ในราชสำนัก เหมือนแอบขโมยเวลาว่างครึ่งวันมา

จู่ๆ ฝ่าบาทก็รู้สึกเหมือนว่าไม่ได้อยากจะทานทนกับห้องนี้เท่าใดแล้ว “ท่านขุนนางกลับเมืองหลวงมาครานี้ เพื่อมาหาเฟิงเหล่ารึ”

พระองค์ก็ทรงได้ข่าวการเสียชีวิตของเฟิงเหล่ามาเช่นกัน พระองค์เสียดายไม่สิ้น ช่างน่าเสียดายคนมีความสามารถยอดเยี่ยมเช่นนี้นัก

จี้จิ่วอาวุโสพยักหน้า “มาหาเฟิงเหล่าด้วย และอยากเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฝ่าบาทถอนใจ “เราเปิดกั๋วจื่อเจียนขึ้นอีกครั้ง แต่กั๋วจื่อเจียนที่ไม่มีท่านขุนนาง เรารู้สึกเหมือนขาดอะไรไป”

จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยว่า “ผู้มีความสามารถของแคว้นเจามีมากมายนัก ฝ่าบาทต้องหาคนที่เหมาะสมมาดูแลกั๋วจื่อเจียนต่อได้แน่”

ฝ่าบาททอดถอนใจอีกหน “เฮ้อ เกรงว่าท่านขุนนางคงไม่ได้ยินข่าวคราวของกั๋วจื่อเจียนกระมัง”

จี้จิ่วอาวุโสสีหน้านิ่งอึ้ง “กั๋วจื่อเจียน…เกิดเรื่องใดขึ้นอีกแล้วหรือ”

ฝ่าบาทเล่าเรื่องคดีของรองเจิ้งให้ฟังว่า “ทุจริตติดสินบนไม่พอ ยังใช้อำนาจในตำแหน่งมาแก้ผลคะแนนของบัณฑิตโดยพลการอีก เราถามหน่อยว่าคนแบบนี้เราจะกล้ามอบกั๋วจื่อเจียนไปไว้ในมือเขาได้อย่างไร เราอยากจะไล่เขาออกจากกั๋วจื่อเจียนให้รู้แล้วรู้รอด!”

จี้จิ่วอาวุโสรีบเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วย คนเราย่อมหนีไม่พ้นการทำผิด รองเจิ้งทุจริตติดสินบนเรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ยามนี้เขากลับตัวกลับใจแล้ว เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ให้โอกาสเขาสักครั้ง ส่วนเรื่องแก้ผลคะแนนของนักเรียนนั้น ข้าเชื่อว่ารองเจิ้งไม่มีทางเลอะเลือนเช่นนี้หรอก คงมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ล้อเล่นหรือไร

ไม่มีความชั่วช้าเลวทรามของรองเจิ้ง ไหนเลยจะมีบัวขาวบริสุทธิ์อย่างเขาได้