บทที่ 191.2 บัวขาวอันแข็งแกร่ง (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 191.2 บัวขาวอันแข็งแกร่ง (2)
จี้จิ่วอาวุโสพูดถึงความดีความชอบของรองเจิ้งอีกสองสามคำ ในที่สุดฝ่าบาทก็ล้มเลิกความคิดจะกำจัดอีกฝ่ายออกไป

จากนั้นฝ่าบาทก็ตรัสเรื่องจะเชิญเขากลับไปกั๋วจื่อเจียนกับจี้จิ่วอาวุโสขึ้นมา

“กั๋วจื่อเจียนไม่ได้เปิดมานานแล้ว จิตใจผู้คนไม่รวมเป็นหนึ่ง พวกกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างแทรกซึมเข้าไปในนั้น หลานชายราชครูจวงอย่างอันจวิ้นอ๋องกลับมาจากแคว้นเฉินแล้ว เขาใช้ผลคะแนนอันดับหนึ่งสอบเข้ากั๋วจื่อเจียน” ฝ่าบาทเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุดลง แล้วมองจี้จิ่วอาวุโสอย่างลึกล้ำ “ยามนี้เรากำลังต้องการใช้คน หวังว่าท่านขุนนางจะสามารถกลับมาอยู่ข้างกายเรา ช่วยเราทำให้แผ่นดินของแคว้นเจามั่นคง!”

จี้จิ่วอาวุโสไม่ได้ตอบรับในทันที

สายตาของฝ่าบาทตกลงบนแววตาอันซับซ้อนของจี้จิ่วอาวุโส แล้วถามว่า “ท่านขุนนาง…ยังคงเสียใจกับเรื่องอาเหิงหรือ ท่านขุนนางไม่อยากกลับไปกั๋วจื่อเจียน เป็นเพราะที่นั่นเป็นที่ที่เกิดเรื่องขึ้นกับอาเหิงใช่หรือไม่”

จี้จิ่วอาวุโสเงียบงัน

ฝ่าบาทไม่ได้บีบบังคับเขา ทรงลุกขึ้นเดินไป เมื่อถึงหน้าประตูจู่ๆ ก็หันกลับมา “อาเหิงที่อยู่บนฟ้าก็คงจะหวังว่าจะได้เห็นจี้จิ่วกลับมากระมัง”

แววตาจี้จิ่วอาวุโสเศร้าโศกขึ้นกว่าเดิม

ฝ่าบาททอดถอนใจพลางเดินออกไป

เมื่อแน่ใจแล้วว่ารถม้าเคลื่อนไปไกลแล้ว จี้จิ่วอาวุโสก็เปลี่ยนสีหน้าทันที “หลิวเฉวียนเอาน่องไก่มาเร็ว! ข้าหิวจะตายแล้ว!”

เมื่อคืนกู้เจียวไม่ได้นอน ตอนกลางวันงานในโรงหมอว่างๆ นางจึงกลับไปพักในห้องเล็กๆ ของตัวเอง

น่าจะหลับไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยามดี นางก็ถูกเสียงเคาะประตูปลุกให้ตื่น

“แม่นางกู้! แม่นางกู้! ออกมาหน่อย!”

เสียงเร่งร้อนและระมัดระวังของเสี่ยวซานจื่อ

กู้เจียวง่วงงุนสะลึมสะลือ นางปิดหูอย่างรำคาญ แล้วไปเปิดประตูให้เสี่ยวซานจื่อด้วยสีหน้าหงุดหงิด

เสี่ยวซานจื่อนิ่งอึ้งกับกลิ่นอายน่ากลัวของนาง “มะ…แม่นางกู้…”

“มีธุระอะไร” กู้เจียวถาม

เสี่ยวซานจื่อหน้าเหยเก “คนนั้นที่มาเมื่อคราก่อนมาอีกแล้ว”

“ใครรึ” กู้เจียวถามเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง

เสี่ยวซานจื่อกลืนน้ำลาย คิดในใจว่า เจ้าอย่าทำหน้าบึ้งเช่นนี้จะได้หรือไม่ ข้ารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนจะรักษาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองเอาไว้ไม่ได้อยู่ตลอดเวลาเลย…

เสี่ยวซานจื่อทำใจกล้าเอ่ยว่า “ก็หลิ่วอี้เซิงคนนั้นอย่างไรเล่า! เขามาเอายาอีกแล้ว! เถ้าแก่รองไม่อยู่ ผู้ดูแลหวังไม่กล้าเอายาให้เขา กำลังคิดหาวิธีไล่เขากลับอยู่แหน่ะ”

กู้เจียวจำได้แล้ว เป็นผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง หน้าตาหล่อเหลาสะอาดสะอ้านทีเดียว

กู้เจียวส่งเสียงอืมออกมา “ทราบแล้ว เจ้าพาเขาไปที่ห้องตรวจของข้าเลย”

เสี่ยวซานจื่อหัวเราะ “ขอรับ!”

ช่างเป็นคนมีน้ำจิตน้ำใจทีเดียว

กู้เจียวกระหาย นางจึงกลับห้องไปดื่มน้ำแล้วไปที่ห้องตรวจ

กู้เจียวเรียกเขาเข้าห้องตรวจครั้งแรกถูกเขาปฏิเสธเอา ครานี้เขากลับขานรับฉับไวยิ่ง

เขายังคงสวมเสื้อผ้าแบบนั้นเหมือนคราก่อน แต่มีรอยปะในแขนเสื้อเพิ่มขึ้นมาหนึ่งรอย

สีหน้าเขาไม่เหลืองเหมือนเทียนไขแล้ว มีสีแดงระเรื่อจางๆ ดูแล้วเหมือนจะรูปงามสะอาดสะอ้านกว่าคราก่อน

เขาเห็นกู้เจียวเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นทักทาย “แม่นางกู้”

“นั่งสิ” กู้เจียวนั่งลงตรงข้ามเขา

เขาก็นั่งลงตามเช่นกัน

กู้เจียวสังเกตสีหน้าเขา “รู้สึกอย่างไรบ้าง”

หลิ่วอี้เซิงลูบท้องขวาบนของตัวเองพลางเอ่ยว่า “ดีขึ้นมากแล้ว ตรงนี้ไม่ได้เจ็บเท่าใดแล้ว”

วันแรกที่เขาเอายากลับไป เขาไม่ได้คาดหวังมากมายนัก ฟังดูแล้วขัดแย้งกันมากทีเดียว เขารู้อยู่แก่ใจว่าทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีหมอคนไหนเอายาที่ถูกโรคมารักษาให้เขาได้ แต่เขาก็ยังคงหวังว่าจะหาย

บางทีอาจเพราะผิดหวังมาหลายคราเข้า ก่อนจะต้มยาเขาจึงได้บอกตัวเองทุกครั้งว่า ยาในครานี้ก็ไม่มีทางเห็นผลได้หรอก ราวกับว่าทำแบบนี้แล้วจะไม่ผิดหวัง

วันที่เขากินยา คืนนั้นรู้สึกไม่ค่อยชัดเท่าใดนัก พอคืนวันที่สอง เขามีความอยากอาหารตอนกินข้าวมากขึ้น คืนวันที่สามเขาแทบจะไม่รู้สึกเจ็บแล้ว และหลับสนิทสบายอุราทั้งคืน

จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ จวบจนวันนี้เขาแค่รู้สึกแอบเจ็บบ้างนิดๆ เป็นบางครั้งเท่านั้น

ผลการรักษาของเขาอยู่ในความคาดหมายของกู้เจียว กู้เจียวชี้ที่หมอนจับชีพจรบนโต๊ะ “วางมือไว้บนนั้น”

หลิ่วอี้เซิงยังคงไม่คุ้นชินกับการที่หมอหญิงมาจับชีพจรให้เขา เขาลังเลครู่หนึ่งจึงค่อยๆ วางมือไว้บนนั้น

ปลายนิ้วเย็นเยียบของกู้เจียวแตะลงบนจุดชีพจรของเขา

ผิดจริยาไม่ควรจะมอง หลิ่วอี้เซิงจึงหลุบตาลง

สัญญาณชีพจรของเขายังถือว่ามั่นคงดี แค่เต้นเร็วไปหน่อยเท่านั้น

กู้เจียวชักมือกลับ แล้วใช้นิ้วถ่างเปลือกตาเขาเพื่อตรวจดู

การกระทำนี้ทำให้ร่างนางโน้มไปหา

กลิ่นอายอันสะอาดสดชื่นของแม่นางน้อยแผ่กำจายราวกับสมุนไพรหลังฝนตก

ขนตาของหลิ่วอี้เซิงสั่นระริก

กู้เจียวผละออกจากเขา แล้วส่งเสียงอืมออกมาอย่างพอใจ “ไม่เลว กินยาต่อนะ ข้าจะเพิ่มยาป้องกันตับให้เจ้าอีกอย่าง”

หลิ่วอี้เซิงอ้าปากพะงาบๆ

กู้เจียวเอ่ยทันควันว่า “ไม่คิดเงินเพิ่มหรอก”

“อ๋อ” หลิ่วอี้เซิงพรูลมหายใจโล่งอก

คราก่อนค่ายาหนึ่งร้อยเหวิน วันนี้เขาจึงเอามาแค่หนึ่งร้อยเหวิน

กู้เจียวเขียนเทียบยาโดยใช้ดินสอถ่าน ลายมือนับว่าพอใช้ได้ แต่ท่าจับดินสอนั้นทำให้หลิ่วอี้เซิงแปลกใจนัก

ยังมีคนจับดินสอเช่นนี้อีกรึ

“ครานี้กินเจ็ดวันนะ” กู้เจียวบอก

หลิ่วอี้เซิงเอ่ยว่า “แต่ข้าเอาเงินมาสำหรับแค่ยาห้าชุด”

กู้เจียวเอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ติดไว้ก่อน คราหน้าค่อยให้”

หลิ่วอี้เซิงพลันหัวเราะเสียงเย็นขึ้นทันที “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะหาทางเบี้ยวไม่มาหรือไร”

กู้เจียวส่งเสียงอ้อออกมา “นอกจากเมี่ยวโส่วถังแล้ว ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีที่ไหนบ้างกล้าให้ยาตรงโรคกับเจ้า”

หลิ่วอี้เซิงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง ครานี้เขาหัวเราะเยาะตัวเอง เขามองไปยังกู้เจียว “แต่ว่านะแม่นาง เจ้าไม่กลัวจะเป็นภัยต่อตัวเองจริงๆ รึ”

กู้เจียวส่งเทียบยาที่เขียนเรียบร้อยแล้วไปให้เขา “นี่เป็นเรื่องของข้า เจ้าเป็นคนป่วยไม่ต้องสนใจหรอก”

หลิ่วอี้เซิงรับเทียบยามา ไม่นับว่าเป็นลายมือที่สวยงามเท่าใดนัก แต่มีเรี่ยวแรงมากทีเดียว

เขาจับเทียบยาแน่น แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หากเจ้าเจอเรื่องยุ่งยากเพราะรักษาให้ข้าจริงๆ ข้าจะยืนดูเฉยๆ”

กู้เจียว “อืม”

หลิ่วอี้เซิงคาดไม่ถึงกับคำตอบนี้อย่างมาก

เขามองไปยังกู้เจียว

แม้จะไม่ใช่การพบกันครั้งแรกแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พินิจมองนางเต็มๆ ตาเช่นนี้ ใบหน้านางดูเหมือนจะอายุแค่สิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น ทว่าหน้าตากลับมีกลิ่นอายสุขุมที่ไม่เข้ากับอายุของนางเลย

บนใบหน้าซีกซ้ายของนางมีปานแดงสะดุตา หากสตรีทั่วไปมีหน้าตาเช่นนี้ เกรงว่าได้หลบซ่อนอยู่แต่ในบ้านไม่กล้าออกไปไหนแน่แล้ว แต่นางกลับไร้ซึ่งความขลาดกลัวแม้แต่น้อย

บนร่างนาง…มีกลิ่นอายเอกลักษณ์เฉพาะอยู่มากทีเดียว

“ยังมีคำถามใดอีกหรือไม่” กู้เจียวมองเขา

หลิ่วอี้เซิงเบนสายตาหนี ก่อนเอ่ยว่า “ไม่มีแล้ว แค่หวังว่าเจ้าอย่าได้เสียใจภายหลังก็แล้วกัน หากเจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นคนของตระกูลหลิ่ว อยากจะเดิมพันกับข้า ข้าก็ขอให้เจ้าล้มเลิกความคิดเสีย ตระกูลหลิ่วไม่มีทางหวนกลับคืนมา ดังนั้นไม่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเลย ไร้ประโยชน์เปล่าๆ”

กู้เจียว “อ๋อ”

สิ่งที่เขาควรพูดก็พูดไปแล้ว หากนางไม่เชื่อเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว

หลิ่วอี้เซิงหันหลังเดินออกไป

ในชั่วขณะที่เขาใกล้จะก้าวข้ามธรณี กู้เจียวก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า “แล้วจะพนันหรือไม่เล่า”