บทที่ 197 เรื่องในครอบครัว

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 197 เรื่องในครอบครัว

บทที่ 197 เรื่องในครอบครัว

หลังจากหันหลังไป กู้เสี่ยวหวานก็ลืมไปว่าตนเองมีแหวนหยกอยู่

หลังจากจัดการทุกอย่างในห้องเสร็จแล้ว และไม่เหลือร่องรอยของคนภายนอกทิ้งไว้ กู้เสี่ยวหวานจึงเชิญสวีเฉิงเจ๋อและคนอื่น ๆ ให้มาที่ห้องใหญ่

ช่วงนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น กู้เสี่ยวหวานจึงสอนกู้หนิงผิงให้เขียนอักษร และเมื่อสวีเฉิงเจ๋อมาที่นี่ กู้เสี่ยวหวานจะไม่มีวันพลาดโอกาสนี้ และให้กู้หนิงอันเรียนรู้จากอาจารย์สวี

กู้เสี่ยวหวานกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในครัว กำลังผัดหน่อไม้ดองและผัดผักดอง หลังจากเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น ทุกคนก็เดินไปที่โต๊ะ

นี่เป็นครั้งที่สองที่สวีเฉิงเจ๋อมาทานอาหารที่บ้านของกู้เสี่ยวหวาน และเมื่อมาที่นี่อีกครั้งสวีเฉิงเจ๋อก็ไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นคนนอกและนั่งลง วันนี้กู้เสี่ยวหวานต้มข้าวต้มไว้จำนวนมาก แม้ว่าคนคนนั้นจะดื่มสองชามติดต่อกัน แต่ข้าวต้มนี้ก็ยังเหลือเพียงพอสำหรับหลายคน

กู้เสี่ยวหวานตักข้าวต้มให้สวีเฉิงเจ๋อและคนอื่น ๆ และสวีเฉิงเจ๋อเริ่มสนใจชามหน่อไม้ดองบนโต๊ะ

รสเปรี้ยวนี้ทำให้คนอยากอาหาร สวีเฉิงเจ๋อไม่ได้เอ่ยเอื้อนคำใด เขาแค่หยิบตะเกียบและคีบหน่อไม้ดองนั้นขึ้นมา

หลังจากกินหนึ่งคำ ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “หน่อไม้พวกนี้มีรสเปรี้ยว เค็ม ทั้งกรอบกรุบกรับ และรสชาติก็อร่อยจริง ๆ!”

เมื่อเห็นว่าสวีเฉิงเจ๋อชอบมัน กู้เสี่ยวหวานก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “หน่อไม้ที่เปรี้ยวเล็กน้อยนี้ดองที่บ้าน ถ้าอาจารย์สวีชอบกินท่านสามารถนำกลับไปด้วยได้เจ้าค่ะ”

เมื่อสวีเฉิงเจ๋อได้ยินก็ดีใจอย่างมาก “จริงหรือ?”

กู้เสี่ยวหวานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกอายเล็กน้อย “แน่นอน ข้าดองหน่อไม้พวกนี้ไว้เยอะมาก ถ้าอาจารย์สวีไม่รังเกียจล่ะก็จะเอาไปเท่าไรก็ได้!”

สวีเฉิงเจ๋อขอบคุณอย่างรวดเร็ว “จะรังเกียจได้อย่างไร? หน่อไม้ดองของเจ้า ข้าไม่เคยลิ้มรสมันมาก่อน แต่ตอนนี้รสชาตินี้ดีกว่าของอร่อยจากบนบกและในทะเลเสียอีก!”

เมื่อพูดถึงการกินก็ต้องการกินของที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้อีก พวกเขาไม่เคยกินมาก่อนจึงชื่นชอบรสชาตินี้ แต่ถ้ากินมากเกินไปก็จะรู้สึกว่าไม่มีความแตกต่างกับอาหารอื่น

“ใช่แล้ว เมื่อครั้งที่แล้วลูกพี่ลูกน้องของข้ามาหาข้า!” สวีเฉิงเจ๋อดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ในทันใดและกล่าวต่อ

“เสี่ยวเซิ่งจื่อ?” กู้เสี่ยวหวานตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง

“อือ ครั้งที่แล้วเขาไปที่หอหนังสืออวี้ บอกให้ข้ามาถามเจ้า เดิมทีตกลงกันแล้วว่าหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่มีชื่ออยู่ในรายการอาหาร ขอให้พวกเจ้าส่งพวกมันไปที่ร้าน เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ไปส่งล่ะ?” สวีเฉิงเจ๋อนำคำพูดของเสี่ยวเซิ่งจื่อมาบอกเด็กหญิง

กู้เสี่ยวหวานอธิบายอย่างรวดเร็ว “ทันทีที่หน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิออก เราก็ส่งพวกมันไป แต่พวกเขาไม่รับพวกมัน!”

“ไม่รับ?” คิ้วเรียงตัวสวยของสวีฉิงเจ๋อขมวดมุ่น “จะไม่รับได้อย่างไร หน่อไม้นี้เป็นอาหารยอดนิยมในร้านจิ่นฝูเลยนะ”

กู้เสี่ยวหวานรู้ดีว่านี่เป็นอาหารยอดนิยม และอาหารยอดนิยมนี้มันมาจากกู้เสี่ยวหวาน! แต่แน่นอนว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดอะไรออกไป

กู้หนิงผิงก็รู้ดีว่าหน่อไม้ที่พวกเขาขุดนั้นไม่ได้ส่งไปที่ร้านจิ่นฝู ถ้าพวกมันถูกส่งไปยังร้านจิ่นฝู พี่สาวของเขาคงไม่ต้องลำบากตากหน่อไม้ให้แห้ง อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าเหตุใดพี่สาวของเขาถึงไม่ขายหน่อไม้ให้ร้านจิ่นฝู

กู้เสี่ยวหวานอธิบายเกี่ยวกับการขายหน่อไม้ในเมืองให้สวีเฉิงเจ๋อฟัง สีหน้าของเขาก็หม่นลงเมื่อเขาฟังเสร็จ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการพยายามหาข้อผิดพลาดโดยเจตนา

“เจ้าหมายความว่าคนที่มาต้อนรับเจ้าในครั้งที่แล้วคือเหมียวเอ้อร์จากร้านจิ่นฝูใช่หรือไม่?” ทันทีที่สวีเฉิงเจ๋อพูดถึงคนผู้นี้สีหน้าของเขาก็บูดบึ้ง “เหมียวเอ้อร์ผู้นั้น เดิมทีเป็นคนชอบประจบประแจง!”

“ไม่ผิด คือเขาเอง!” กู้เสี่ยวหวานกล่าว “ตอนที่ข้าไปร้านจิ่นฝูในครั้งแรก ข้าอาจจะทำให้เขาขุ่นเคืองเล็กน้อย จึงคิดว่าเป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงไม่รับของจากครอบครัวข้า!”

“หึ เจ้าคนต่ำต้อย!” สวีเฉิงเจ๋อกล่าว “เกรงว่านั่นมันไม่ใช่แค่เหตุผล ถ้าเหมียวเอ้อร์ต้องการจะแก้แค้นเจ้า มันเป็นปกติที่เขาจะไม่ยอมรับสิ่งของของเจ้า แต่เหตุใดร้านอาหารอื่น ๆ ถึงไม่ยอมรับเช่นกันล่ะ?”

กู้เสี่ยวหวานคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร

ไม่รู้ว่ากู้ฉวนลู่สั่งให้คนอื่นทำหรือเปล่า นางไม่มีหลักฐานจึงไม่สามารถพูดเรื่องไร้สาระได้

“อาจเป็นเพราะข้ามีของมากเกินไป พวกเขาจึงรับไม่ไหว หรือพวกเขาอาจจจะซื้อไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการของของเรา!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวถึงเหตุผลอย่างง่าย ๆ

หลังจากที่สวีเฉิงเจ๋อได้ยิน เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก และมันก็สมเหตุสมผลที่จะคิดเช่นนั้น

“ข้าได้ยินเสี่ยวเซิ่งจื่อพูดว่าเถ้าแก่หลี่คนนี้ดูเหมือนจะเปิดร้านของเขาในอีกเมือง ร้านค้าในเมืองนั้นกำลังได้รับการตกแต่ง จากนั้นเถ้าแก่หลี่ก็อยู่ในที่นั้นทุกวัน เขาไม่กลับมาที่ร้านนี้นานมากแล้ว เสี่ยวเซิ่งจื่อไม่ชอบเหมียวเอ้อร์คนนั้น จึงเดินทางไปที่นั้นเป็นประจำ คาดว่าเมื่อเจ้าไปในเวลานั้น เสี่ยวเซิ่งจื่อก็ไม่อยู่ที่นั่นพอดี ร้านจิ่นฝูจึงอยู่ในความดูแลของเหมียวเอ้อร์คนนั้น ไม่น่าแปลกใจเลย!” สวีเฉิงเจ๋อกล่าว

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าเช่นกัน แม้ว่าจะขายไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ เพราะตอนนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

“แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าล่ะ?”

“สิ่งนี้ที่ท่านกำลังกินอยู่เป็นฝีมือของพวกข้า!” กู้เสี่ยวหวานหยิบตะเกียบคีบหน่อไม้แห้งวางลงบนชามของสวีเฉิงเจ๋อ แล้วพูดอย่างมีความสุข

“หือ?” สวีเฉิงเจ๋อตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปมองหน่อไม้แห้งในชาม ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม!”

กู้เสี่ยวหวานยิ้มเบา ๆ พวกเขากำลังทานอาหารด้วยรอยยิ้ม ทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยความอบอุ่น หากใครมาเห็นคงจะรู้สึกอิจฉาไม่น้อย

มีต้นไม้ใหญ่อยู่ไม่ไกล มีเสียงบางอย่างราวกับมีบางสิ่งกำลังหลบซ่อน ใบไม้ก็ร่วงหล่นทั้งที่ไม่มีลมพัด

ราวกับลมวูบหนึ่ง

ไม่มีใครสนใจและไม่มีใครสังเกตเห็น มีเพียงบ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเท่านั้น

นับตั้งแต่กู้ซินเถาย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหม่ และตามคำของซุนซื่อ กู้ซินเถาได้พบปะกับสหายของตนน้อยลง ยกเว้นเด็กหญิงที่มีชื่อเสียงสองสามคน

ในทุกวันนี้ซุนซื่อมีความกังวลเล็กน้อย ตอนนี้ผ่านไปหลายวันแล้ว เหตุใดจึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลย

ซุนซื่อกังวลเล็กน้อย จนกู้ซินเถาซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ก็สังเกตเห็นอาการไม่สบายใจของมารดาจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น

ก่อนที่ซุนซื่อจะตอบ นางก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาจากร้านอาหารด้วยอาการเหนื่อยหอบ และเมื่อเขาเห็นซุนซื่อและกู้ซินเถาจากนั้นจึงกล่าวว่า “ฮูหยินกู้ คุณชายขอให้รีบไปที่ร้านอาหารเดี๋ยวนี้”

ซุนซื่อตกใจมาก หลังจากย้ายไปบ้านใหม่ นางไม่เคยเห็นกู้ฉวนลู่ส่งใครมาเรียกนางเลย เป็นได้หรือไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น นางจึงรีบถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่

เด็กรับใช้ปาดเหงื่อและกล่าวว่า “ไม่มีเรื่องอะไรขอรับ คุณชายดูมีความสุขมาก และขอให้ข้ามาเรียกท่านไปขอรับ”

…………………………………………………………………………..