บทที่ 196 จากไปโดยไม่ร่ำลา

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 196 จากไปโดยไม่ร่ำลา

บทที่ 196 จากไปโดยไม่ร่ำลา

เมื่อได้ยินสวีเฉิงเจ๋อกล่าวเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานก็โล่งใจ และเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพเรียบร้อย “เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณอาจารย์สวีที่ชื่นชม”

สวีเฉิงเจ๋อโบกมือพัลวัน “เป็นเรื่องสมควร! เป็นเรื่องสมควร!”

สิ้นเสียงของเขา สวีเฉิงเจ๋อก็โบกมือให้คนรับใช้ที่อยู่ข้างนอก “ย้ายของลงเร็วเข้า!”

กู้เสี่ยวหวานสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขานำมา นางมองออกไปที่ประตูเห็นคนรับใช้กำลังลากตะกร้าลง น้ำหนักคงจะมากพอสมควรคนรับใช้จึงออกแรงเล็กน้อย ยกลงจากร้านไปไว้ที่บ้าน และวางไว้ข้างเท้าของสวีเฉิงเจ๋อ

กู้เสี่ยวหวานมองเข้าไปข้างในด้วยความสงสัย มันเป็นเพียงเนื้อสัตว์และผัก

สวีเฉิงเจ๋อหยิบบางออกมาจากตะกร้าเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น “เมื่อเร็ว ๆ นี้มีส่วนผสมที่เป็นที่นิยมในเมืองที่เรียกว่าหน่อไม้แห้ง” จากนั้นกู้เสี่ยวหวานก็เห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งที่สวีเฉิงเจ๋อถืออยู่คือหน่อไม้แห้ง ดูจากลักษณะของหน่อไม้ดูท่าน่าจะเป็นหน่อไม้ที่พวกเขาขายให้ในเมือง!

สวีเฉิงเจ๋อกล่าวว่า “หน่อไม้เหล่านี้มีรสชาติแปลกประหลาด กลิ่นหอมสดชื่น เคี้ยวหนึบ รสชาติดีมาก ข้ามาที่นี่เป็นเวลาหนึ่งวันเลยถือโอกาสนำผักมาสองสามอย่าง แม่นางกู้มีฝีมือดี อาหารกลางวันนี้ลาภปากข้าเป็นแน่”

ตั้งแต่เกิดมาสวีเฉิงเจ๋อมีสิ่งที่รักอยู่สองอย่าง หนึ่งคือความรักหนังสือดั่งชีวิต และสองก็คือของอร่อย สิ่งใดที่มีรสชาติอร่อย เขาก็อยากลิ้มลองมัน

กู้หนิงอันที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวเสริมว่า “ท่านพี่ อาจารย์สวีจะมาเที่ยวบ้านเราหนึ่งวัน และเขาก็นำผักมาด้วย”

กู้เสี่ยวหวานเหลือบไปที่กู้หนิงอันอย่างตำหนิ ซึ่งกู้หนิงอันก็รู้ว่าพี่สาวของเขาหมายถึงอะไร

กู้เสี่ยวหวานตำหนิกู้หนิงอันว่าไม่ควรให้อาจารย์สวีนำส่วนผสมมา

“อาจารย์สวี ท่านมาแต่ตัวก็เพียงพอแล้ว จะนำของเหล่านี้มาด้วยทำไมกัน ท่านทำเช่นนี้ข้ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย” กู้เสี่ยวหวานรู้สึกไม่สบายใจ

เหตุผลที่มาบ้านคนอื่นในฐานะแขก และนำอาหารมามากมาย กำลังหมายความว่าเจ้าบ้านไม่มีอาหารที่ดีที่จะต้อนรับใช่หรือไม่?

แม้กู้เสี่ยวหวานจะรู้ว่าสวีเฉิงเจ๋อจะไม่ได้หมายความถึงสิ่งนี้ แต่กู้เสี่ยวหวานเดาว่าเขาไม่ต้องการจะเพิ่มภาระให้นาง และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยพวกเขา อย่างไรก็ตาม การที่สวีเฉิงเจ๋อเป็นเช่นนี้ทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกผิดมาก

“เฮ้อ แม่นางกู้ เจ้าอย่าคิดมาก ในหมู่บ้านนี้การเดินทางไม่สะดวก และของอร่อยมีไม่มากนัก ข้าเอามาที่นี่เองจะสะดวกกว่าสำหรับเจ้า ข้ารับผิดชอบการนำอาหารมา ส่วนแม่นางกู้มีหน้าที่ทำอาหาร พวกเราแบ่งงานกันทำ!”

สวีเฉิงเจ๋อชื่นชอบอาหารที่กู้เสี่ยวหวานทำในครั้งที่แล้วจริง ๆ และเขามักจะสงสัยอยู่เสมอว่าเด็กหญิงที่อายุเพียงแปดหรือเก้าขวบคนนี้สามารถทำอาหารได้ดีกว่าพ่อครัวของพวกเขาได้อย่างไร

เมื่อได้ยินสวีเฉิงเจ๋อพูดเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ตอบได้เพียงว่า “ตกลง รอตอนกลางวันข้าจะแสดงฝีมือ อาจารย์สวีเตรียมท้องให้พร้อมก็พอเจ้าค่ะ!”

คำพูดที่เฉียบแหลมของกู้เสี่ยวหวานทำให้ทุกคนรอบตัวนางหัวเราะอย่างมีความสุข

“หนิงอัน อาจารย์สวี ทำไมพวกเจ้าถึงมาเร็วเช่นนี้ กินข้าวเช้าแล้วหรือยัง?” กู้เสี่ยวหวานรู้สึกหิวเล็กน้อย นางยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยจึงรีบถามกู้หนิงอันและสวีเฉิงเจ๋อ

กู้หนิงอันส่ายหัวด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ท่านพี่ ยังไม่ได้กินเลย ข้าอยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด ข้าและอาจารย์สวีหิ้วท้องกิ่วมาตลอดทาง”

“ไม่เป็นไร!” อาจารย์สวีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

“ในบ้านทำข้าวต้มพอดีเลย หนิงอันพาอาจารย์ไปที่ห้องครัวก่อนเถิด ข้าจะไปทำความสะอาดก่อนแล้วค่อยทานอาหารกัน” กู้เสี่ยวหวานไม่ยอมให้กู้หนิงอันพาสวีเฉิงเจ๋อเข้าไปในห้อง

ยังมีผู้บาดเจ็บอยู่ข้างใน ถ้ากู้หนิงอันเห็นนางยังคงอธิบายได้บ้าง แต่ถ้าสวีเฉิงเจ๋อรู้เรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรจริง ๆ

กู้หนิงผิงรู้ว่าพี่สาวของเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงรีบลากสวีเฉิงเจ๋อไปที่ห้องครัว พูดพลางเดินไปยังห้องครัว “อาจารย์ ช่วงนี้ข้าทำการบ้านมานิดหน่อย อาจารย์จะดูให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”

สวีเฉิงเจ๋อตอบรับหนึ่งเสียง

กู้หนิงผิงรีบวิ่งกลับไปที่บ้าน และเดินตามกู้เสี่ยวหวานเข้าไปในบ้าน

หลังจากเข้ามาในห้องกู้เสี่ยวหวานก็รีบปิดประตู

รีบมองไปที่เตียง เอ๊ะ? แล้วคนบนเตียงล่ะ?

เมื่อสักครู่ยังมีคนอยู่บนเตียงเลย แต่ตอนนี้มีเพียงผ้าห่มผืนเดียวที่เหลืออยู่

“ท่านพี่…ท่านพี่…ดูสิ คนผู้นั้นหายไปแล้ว” กู้หนิงผิงลดเสียงลง และร้องออกมาอย่างตกใจ คนบนเตียงหายตัวไปแล้ว

กู้เสี่ยวหวานรุดขึ้นหน้าสามก้าวสองก้าว สัมผัสผ้าห่มด้วยมือของนาง ผ้าห่มยังมีความอุ่น ดูเหมือนว่าคนนี้เพิ่งจะจากไป

กู้เสี่ยวหวานกวาดสายตามองรอบ ๆ โดยไม่ปล่อยให้มุมใดเล็ดลอดสายตา แต่ห้องนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ไม่มีแต่ที่หลบซ่อน กู้เสี่ยวหวานเหลือบมองไปที่หลังคาอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของบุคคลใด ๆ ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจากไปแล้วจริง ๆ

ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงรีบหลบหนีออกไป กู้เสี่ยวหวานคาดเดา

แต่คนผู้นั้นเพิ่งจะผ่านพ้นช่วงอันตราย เขาจากไปทั้งแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าบาดแผลจะเปิดหรือไม่ และจะไม่เกิดเรื่องกับคนผู้นั้นใช่หรือไม่?

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกกังวลเล็กน้อย ยิ่งคิดเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าตนเองกังวลโดยไม่เข้าเรื่อง

ตนเองเป็นคนที่อยากให้คนนั้นจากไปโดยเร็วที่สุดไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของเขาอยู่ล่ะ? เขาจากไปเพราะเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ออกไปก็คือออกไปแล้ว

ตนเองได้ช่วยชีวิตเขาไว้แล้ว ส่วนจะรอดหรือไม่รอดก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของตัวเขาเอง

กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจยาว ในที่สุดก็ปลดภาระออกไปได้แล้ว เมื่อสักครู่ยังคงคิดว่าจะอธิบายให้กู้หนิงอันและอาจารย์สวีฟังอย่างไร แต่คราวนี้ไม่เป็นไร ฝนก็ผ่านไปแล้ว และไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก

“รีบจัดเตียงเร็วเข้า อีกไม่นานหนิงอันและอาจารย์ก็จะเข้ามาแล้ว” กู้เสี่ยวหวานพูดเสียงแผ่วเบา และพับผ้าห่มฉับไว

ทันใดนั้นฝ่ามือของนางสัมผัสของแข็งบางอย่าง กู้เสี่ยวหวานจึงยกผ้าห่มขึ้น และพบแหวนหยกถูกวางไว้ใต้ผ้าห่ม

กู้หนิงผิงโน้มตัวไปดูแหวนหยกและเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านพี่ นี่ไม่ใช่ของของคนผู้นั้นหรือ? ”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า สมองของนางเต็มไปด้วยความสงสัย

แหวนหยกนี้มาอยู่ในผ้าห่มได้อย่างไร?

เมื่อคนผู้นั้นกำลังกินข้าวต้ม กู้เสี่ยวหวานสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแหวนหยกยังคงอยู่ในมือของเขา ตอนนี้มันบังเอิญมาตกอยู่ใต้ผ้าห่มได้อย่างไร? หรือเขาจงใจทิ้งแหวนหยกนี้ไว้เป็นของขวัญขอบคุณสำหรับการช่วยชีวิต?

กู้เสี่ยวหวานเอนเอียงไปทางเหตุผลหลังมากกว่า

ช่างมันเถอะ เรื่องของเขา เก็บไว้ก่อนแล้วค่อยมาหารือ กู้เสี่ยวหวานส่ายศีรษะ ถือว่าเป็นของขวัญขอบคุณก็แล้วกัน

กู้เสี่ยวหวานวางแหวนหยกไว้ในตู้เสื้อผ้า

………………………………………………………………………..