บทที่ 254 ถึงคราวของเจ้าแล้ว เส้าชิงแห่งหงหลูซื่อ

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 254 ถึงคราวของเจ้าแล้ว เส้าชิงแห่งหงหลูซื่อ

บทที่ 254 ถึงคราวของเจ้าแล้ว เส้าชิงแห่งหงหลูซื่อ

“ฝ่าบาท ต้าเซี่ยปรากฏผู้มีความสามารถอย่างไม่ขาดสายเลยจริง ๆ แม้แต่องค์หญิงที่ทรงพระเยาว์ที่สุดก็ยังสามารถฝึกเสือสองตัวนั้นให้เชื่องได้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แม้แต่พวกหนานจ้าวเองก็ยังมิกล้าไปยุ่งกับพวกมัน”

“มิรู้ว่าองค์หญิงใช้วิธีใดถึงสามารถฝึกเสือพวกนั้นได้ ข้ารู้สึกนับถือยิ่งนัก”

“หึ ๆ น่าเสียดายที่พวกหนานจ้าวจากไปเร็วเกินจึงไม่ทันได้เห็นกับตา มิเช่นนั้นก็มิรู้ว่าพวกเขาจะ ‘ดีใจ’ เพียงใด”

ที่ใดมีผู้คนที่นั่นย่อมมีเสียงซุบซิบนินทา มีคนไม่น้อยที่ติดตามหนานกงสือเยวียนไปในตอนนั้น และได้เห็นเสือสองตัวที่มิเพียงจะไม่ทำร้ายมนุษย์ แต่ยังเชื่อฟังเสี่ยวเป่าเป็นอย่างดี หลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว พวกเขาก็รู้สึกสนใจในความสามารถขององค์หญิงเจาเสวี่ยที่มีพระชันษาเพียงสามปีเป็นอย่างมาก

น่าเสียดายที่ถามไถ่อยู่นานสองนาน แต่ไม่ว่าสมาชิกราชวงศ์ต้าเซี่ยคนใดก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ บ้างก็บอกแต่เพียงว่าไม่รู้

หนานกงหลีกระดกสุราพลางพูดพร้อมหัวเราะ “จะอันใดเสียอีกเล่า? เป็นเพราะเสือสองตัวนั้นชอบหลานสาวของข้าน่ะสิ หรือจะบอกว่าเด็กตัวเล็ก ๆ อายุแค่สามขวบจัดการพวกมันเสียอยู่หมัดหรือ”

นี่มันไม่ยิ่งพิลึกเข้าไปใหญ่หรือ

แต่ก็เพราะว่ามันประหลาดพิลึก พวกเขาจึงยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีก

นางเพิ่งจะอายุสามขวบ เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ สามขวบทำได้อย่างไรกันแน่!

สายตาที่คล้ายกับจะไม่สนใจใคร่รู้ของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่เจ้าก้อนแป้ง ซึ่งนั่งอยู่ข้างฮ่องเต้อย่างว่านอนสอนง่าย

เมื่อเผชิญกับการพินิจพิเคราะ์จากทุกคน เสี่ยวเป่าก็นิ่งเงียบโดยไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด เพียงเบิกดวงตากลมโตดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา จนยากจะเชื่อได้ว่าเด็กน้อยคนนี้จะสามารถฝึกเสือให้กลายเป็นแมวได้

ฉะนั้นแล้วนี่ต้องเป็นเรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน!

“เชิญทุกท่านดื่มสุราเถิด จะมัวพูดถึงเด็กผู้หญิงด้วยเหตุใด”

หนานกงหลีกึ่งยิ้มพร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นจี้หนานอ๋องกำลังนั่งดื่มเงียบ ๆ อยู่คนเดียว

เขาดื่มสุราพลางจ้องไปที่ขาขององค์ชายใหญ่และรถเข็นที่เขานั่งด้วยสายตานิ่งเงียบ

หนานกงฉีซิว “…”

โดนจ้องนานเข้าก็รู้สึดอึดอัดนิดหน่อย

“กระหม่อมได้ยินเรื่องราวที่น่าสนใจมา ว่ากันว่าเมื่อองค์ชายใหญ่แห่งต้าเซี่ยรู้ว่าองค์หญิงกับพวกองค์ชายกำลังตกที่นั่งลำบากก็ลุกขึ้นยืน ซ้ำยังขี่ม้าออกไปทั้งอย่างนั้น?”

คราวนี้ความสนใจของทุกคนพุ่งไปที่หนานกงฉีซิว

หนานกงฉีซิว: …นึกแล้วเชียว

ความจริงเปิดเผยโดยไม่ทันได้ตั้งตัว จึงไม่มีความจำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป

เหล่าทูตจากนานาอาณาจักรบ้างก็อยากรู้อยากเห็น บ้างก็โกรธแค้นมิเป็นสุข พวกที่อยากรู้อยากเห็นไม่ได้สร้างปัญหาอันใด และแน่นอนว่าพวกที่โกรธแค้นจิตใจมิเป็นสุขย่อมเป็นพวกที่ยุแยงให้พวกเขาแตกคอกัน กระทั่งเคยจงใจกล่าวถึงความพิการของเขา เพื่อให้เขาเกลียดชังองค์ชายรองยิ่งกว่าเดิม

เจ้ามิได้พิการแล้วจะแสร้งทำเพื่ออันใด! รู้หรือไม่ว่าตอนนี้พวกเขารู้สึกกระดากแค่ไหน!

ส่วนปฏิกิริยาของขุนนางฝ่ายบุ๊นและฝ่ายบู๋ของต้าเซี่ยนั้นมีทั้งกระสับกระส่ายและตื่นเต้นดีใจ

คนที่รู้สึกกระสับกระส่ายไม่สบายใจคือพวกที่สนับสนุนองค์ชายรองและองค์ชายคนอื่น ๆ หากว่าขาขององค์ชายใหญ่หายดีแล้ว ด้วยความสามารถของเขา ก็มีความเป็นไปได้ว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทจะตกเป็นของเขา เช่นนั้นที่พวกเขาลงแรงไปทั้งหมดจะมีประโยชน์อันใด?

ส่วนพวกที่ตื่นเต้นดีใจล้วนแต่เป็นผู้ที่ถือหางองค์ชายใหญ่มาโดยตลอด มีทั้งคนที่ใส่ใจเขาจริง ๆ และคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์

จิตใจมนุษย์หนอ…ช่างซับซ้อนยิ่งนัก

หนานกงฉีซิวกระแอมไอเบา ๆ ไร้ซึ่งความละอายใจที่ถูกจับได้ ทั้งยังเฉยเมยและสงบนิ่งเหมือนเช่นที่ผ่านมา

“ขออภัย ข้ามิได้ตั้งใจจะปิดบัง ที่ขาคู่นี้ใช้การไม่ได้มานานย่อมเป็นความจริง เดิมนึกว่าคงหมดหวังที่จะยืนขึ้นได้อีกครั้ง ทว่าบางทีอาจเป็นเพราะสวรรค์เมตตา เมื่อหลายเดือนก่อนมีหมอปีศาจบังเอิญเดินทางผ่านมาที่นี่ หลังจากขอร้องอ้อนวอนอยู่นาน เขาจึงตกปากรับคำจะรักษาขาให้ข้า หลังจากที่รักษาอาการก็ดีขึ้น แต่ว่าตอนนี้ยังต้องค่อย ๆ ฝึกเดิน มิอาจยืนเป็นเวลานานได้ ดังนั้นจึงจำต้องพึ่งรถเข็นอยู่ ส่วนเรื่องเมื่อวานเป็นเพราะข้ารีบร้อนเกินไปจึงมิทันได้สนใจ”

คำพูดนี้เป็นข้อแก้ต่างที่ตัวเขาและเสด็จพ่อหารือกันแล้ว เสี่ยวเป่าเป็นที่สะดุดตามากเกินไป จึงพยายามดึงนางออกจากเรื่องนี้ โดยเฉพาะฐานะที่นางเป็นลูกศิษย์ของหมอปีศาจ เรื่องบางเรื่องหากเก็บเป็นความลับ ก็จะกลายเป็นไพ่ตายและเกราะป้องกันให้เสี่ยวเป่าในภายภาคหน้า

ทว่าหลังจากที่เขาพูดจบ สายตาของจี้หนานอ๋องก็คับแค้นยิ่งกว่าเดิมราวกับเขาเป็นชายสารเลวที่ทอดทิ้งลูกเมียของตน มิทันได้สนใจ? ขายังไม่หายดี? เจ้าถึงขั้นขี่ม้าได้แล้วเนี่ยนะ!

ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้คงไม่เหมาะที่จะซักไซ้ไล่เลียงออกไปโดยตรง เขาจึงทำได้เพียงนั่งหน้าบูดบึ้งดื่มสุราเพียงลำพัง

พวกเขาย่างเหยื่อที่ล่ามาได้ในวันนี้ ทุกคนดื่มสุราและกินเนื้ออยู่รอบกองไฟ บรรยากาศดูคึกคักท่ามกลางอากาศที่หนาวจัด ทว่าเสียอยู่อย่างเดียวที่สุราในตอนนี้มิใช่สุราชั้นดีที่พวกเขาต้องการ

แม้จะเป็นสุราที่ราชสำนักเป็นผู้จัดหามา รสชาติก็ไม่ได้แย่อะไร แต่ไม่ว่าจะสีสันหรือว่ารสชาติล้วนเทียบเหล้าองุ่นและเหล้าลูกพลับอันน่าทึ่งไม่ติด สุรานี้จึงนับว่าด้อยกว่าอยู่หลายส่วน

แม้ว่าเสี่ยวเป่าจะนั่งอย่างเรียบร้อยว่าง่าย แต่ท่าทางการกินกลับดูรีบเร่งสุด ๆ

ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กตรงหน้าคือผลไม้ ขนมอบ และใบผักกาด เสี่ยวเป่าสั่งให้คนเตรียมใบผักกาดมาโดยเฉพาะ ส่วนพืชผักพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ปลูกในบ่อน้ำพุร้อนก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่เสี่ยวเป่านำออกมาจากถุงนำโชคด้วยเช่นกัน

ก่อนจะเข้าฤดูหนาว เสี่ยวเป่าได้เมล็ดพันธุ์มาจากถุงนำโชคอีกครั้ง แต่ว่าทั้งหมดล้วนเป็นเมล็ดผัก

ผักกาดหอม พริกขี้หนู ผักกาดขาว และผักปวยเล้ง บางทีอาจเป็นเพราะว่าครั้งนี้ถุงนำโชคให้มาแต่เมล็ดผัก ด้วยเหตุนี้จึงมีผักหลากหลายชนิดในจำนวนที่มากพอดู

ในบรรดาผักเหล่านั้น ผักกาดหอม และผักปวยเล้งใช้ระยะเวลาในการเจริญเติบโตค่อนข้างสั้น ทั้งยังปลูกง่ายกว่าผักชนิดอื่น ๆ ผักกาดหอมใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนก็งอกออกมาเป็นหัวที่มีขนาดใหญ่เสียยิ่งกว่าฝ่ามือของผู้ชาย ยิ่งผักกาดหอมสีเขียวสดกรอบนุ่มนั้นดูน่าอร่อยเป็นที่สุด

ในยุคนี้ยังไม่มีพริกกับผักกาดหอม แต่มีจูอวี๋*[1]และผักกาดขาวเป็นของทดแทน ทว่าเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในถุงนำโชคล้วนแต่เป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่ผ่านการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งเสี่ยวเป่าเก็บรวบรวมเอาไว้ในชาติก่อน ผักกาดขาวมีก้านสั้น ใบกว้าง รสชาติหวานกรอบ อีกทั้งรูปลักษณ์ก็ดูน่ารับประทาน

แต่ว่าตอนนี้ผักกาดขาวยังต้องรออีกสักพักจึงจะเก็บเกี่ยวได้

ส่วนผักปวยเล้งตอนนี้แม้จะยังไม่มีคนปลูก แต่ว่าเสี่ยวเป่าเคยพบผักปวยเล้งป่าในหมู่บ้านกลางหุบเขามาก่อน

ผักมิใช่อาหารหลักเพราะไม่ทำให้อิ่มท้อง อย่างมากก็แค่ทำให้อาหารของราษฎรอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเท่านั้น

ทว่าประชาชนส่วนใหญ่มิได้ร่ำรวยเงินทอง ทั้งยังขาดแคลนน้ำและน้ำมันในการทำอาหาร สำหรับเครื่องปรุงรสโดยทั่วไปจะใส่เกลือลงไปนิดหน่อย ด้วยเหตุนี้ต่อให้มีผักหลากหลายชนิด คนส่วนใหญ่ก็ยังทำอาหารได้ไม่อร่อยอยู่ดี

ของเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของดี เพียงแต่ยังไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายมากนัก

ผักกาดหอมและเนื้อย่างเข้ากันได้เป็นอย่างดี ในทีแรกที่เห็นใบผักกาดสดใหม่บนโต๊ะตรงหน้ายังนึกสงสัย ว่าฮ่องเต้ต้าเซี่ยกำลังหยอกล้อพวกเขาหรือไม่ ทว่าทุกคนต่างก็ยิ้มแย้มโดยไม่ได้พูดอะไรออกไป

มิเช่นนั้นหากแสดงความซื่อบื้อของตนให้ต้องอับอายก็คงไม่ดีแน่

เพียงแต่ไม่มีใครแตะต้องใบผักกาดราวกับว่านัดหมายกันไว้

บัดนี้เมื่อได้เห็นองค์หญิงเจาเสวี่ยหยิบใบผักกาดขึ้นมา จากนั้นก็จิ้มเนื้อย่างในจานที่บรรจุผงจูอวี๋เอาไว้ เสร็จแล้วก็วางลงบนใบผักกาดหอม มือคู่น้อยขาวผ่องม้วนใบผักกาดห่อเนื้อย่างหอมกรุ่นคำโต จากนั้นก็นำใส่ปากและเริ่มเคี้ยวจนแก้มป่อง ดูพออกพอใจและมีความสุขเป็นอย่างมาก

ฝูงชน: ที่แท้ใบไม้นี้ก็เอาไว้ห่อเนื้อย่างกินนี่เอง!

พวกเผ่าหมาน: ดูท่าทางน่าอร่อย พวกเขาลองบ้างดีกว่า

นานาอาณาจักรที่พิถีพิถันเรื่องมารยาท: นี่…ใช้มือกินได้อย่างไร หยาบคาย หยาบคายยิ่งนัก!

ทว่าในลมหายใจถัดมา จักรพรรดิผู้สูงส่งก็หยิบใบผักขึ้นมาเช่นกัน จากนั้นก็ม้วนเนื้อย่างเข้าปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เป็นครั้งแรกของหนานกงสือเยวียนที่ได้กินของแบบนี้ รสชาติดีกว่าที่คาดไว้ทีเดียว

ใบผักกาดที่ใช้ห่อเนื้อย่างนั้นสดกรอบมาก ผสมผสานเข้ากับเนื้อย่างได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังช่วยลดความมัน

หนานกงจ้านกับหนานกงฉีโม่เริ่มกินตามโดยไม่ลังเล และตามมาด้วยสายตาที่เป็นประกาย

เนื้อย่างอร่อยก็จริง แต่กินติดต่อกันสองวันนานเข้าจึงมิแปลกที่จะเบื่อ ทว่าพอห่อด้วยผักนี้แล้วต่อให้พวกเขาต้องกินบ่อยแค่ไหนก็ไม่มีทางเบื่อ!

แม้แต่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็ยังกินเช่นนี้ มิหนำซ้ำองค์หญิงเจาเสวี่ยก็กินได้น่าเอร็ดอร่อยเย้ายวนใจ จนหลายคนลอบกลืนน้ำลายไปพร้อมกัน จากนั้นไม่นานพวกคนที่ไม่สนมารยาทมากนักก็ปล่อยวางท่าทีของตนและลองกินบ้าง ดวงตาพลันเป็นประกายยามกัดเข้าไปคำแรก

พวกเขาสามารถกินเนื้อย่างได้อีกโขเลย!

ในบรรดาคนทั้งหมด พวกที่กินมูมมามและไร้ยางอายมากที่สุดก็คือพวกอนารยชน ชาวซยงหนู รวมถึงชนเผ่าทุ่งหญ้าอีกหลายคนรีบยัดเนื้อย่างใส่ใบผักกาดจากนั้นก็ม้วน และนำเข้าปากโดยไม่รีรอ

เมื่อกินเสร็จแล้วก็ร้องออกมาอย่างพอใจ

“สิ่งนี้อร่อยมาก มันคือผักอันใดหรือ แล้วผักชนิดอื่น ๆ นำมากินเช่นนี้ได้หรือไม่?”

หนานกงสือเยวียนมีสีหน้าเรียบเฉยไม่อยากตอบคำถาม จึงส่งสายตาไปให้หนานกงหลี

ถึงคราวของเจ้าแล้ว เส้าชิงแห่งหงหลูซื่อ

หนานกงหลี “…”

เขาขายตำแหน่งเส้าชิงให้ผู้ใดได้บ้าง?

หนานกงหลีสบสายตาของเสด็จพี่ จึงทำได้เพียงเอ่ยปากตอบคำถาม “สิ่งนี้คือผักกาดหอม เป็นผักที่สามารถนำมากินสด ๆ ได้ตามชื่อของมัน*[2] สดกรอบและมีรสหวาน จะอร่อยที่สุดหากนำมากินคู่กับเนื้อย่าง เพียงแต่ว่าพวกเราได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดหอมมาโดยบังเอิญ ตอนนี้จึงยังมีไม่มาก ส่วนผักชนิดอื่นสามารถนำมากินเช่นนี้ได้หรือไม่นั้น ตัวข้าเองก็มิทราบ”

เป็นของใหม่ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนอีกแล้ว!

ทว่าหากเทียบกับเฉ่าเหมยและสุราก่อนหน้านี้ เจ้าผักกาดหอมก็มิได้รู้สึกดึงดูดใจเท่าใดนัก

มันเป็นแค่ผัก พวกเขามิขาดแคลนทั้งปลาและเนื้อ แค่ลองกินของแปลกใหม่สักมื้อเท่านั้น

แต่ที่พวกเขาสนใจมากกว่าก็คือ ปีนี้ต้าเซี่ยมีของสดใหม่เยอะเกินไปแล้วกระมัง?

เมื่อชาวเผ่าอนารยชนได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกเสียดาย เดิมทีตั้งใจว่าจะนำผักชนิดนี้กลับไปด้วย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงจะไม่มีโอกาสเสียแล้ว

สิ่งที่ชนเผ่าทุ่งหญ้าอย่างพวกเขาชื่นชอบมากที่สุดก็คือเนื้อและสุรา ทั้งยังกินเนื้อย่างเป็นอาหารหลัก พวกเขาจึงชอบการกินเนื้อย่างคู่กับผักชนิดนี้เป็นอย่างมาก

หรือไม่…พวกเขากลับไปแล้วลองใช้ผักชนิดอื่นมากินคู่กับเนื้อย่างดูบ้างดีหรือไม่?

งานเลี้ยงเนื้อย่างยังคงดำเนินต่อไป บัดนี้หน่วยลาดตระเวนด้านนอกค่ายยังทำหน้าที่เหมือนเช่นเคย แต่แล้วจู่ ๆ ทหารยามนายหนึ่งที่อยู่ข้างหลังสุดก็หยุดเดินขึ้นมากะทันหัน

“มีอะไรหรือ”

ทหารยามคนนั้นขมวดคิ้ว “พวกเจ้า…ได้ยินเสียงหรือไม่”

นี่เป็นการคุ้มครองความปลอดภัยขององค์จักรพรรดิ จึงห้ามละเลยแม้เพียงนิดเดียว

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น หัวหน้าหน่วยก็ยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดทันที “อย่าส่งเสียง”

จากนั้นพวกเขาก็ตั้งใจฟัง

“กร๊อบ…”

“สวบ ๆ…”

คล้ายกับมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวบนพื้นหิมะ และเหยียบกิ่งไม้แห้งจนหัก

เขานำคนอื่น ๆ หยิบอาวุธขึ้นมาในทันใด สีหน้าพลันเคร่งขรึมจริงจัง

“นั่นผู้ใดกัน ออกมาเดี๋ยวนี้…”

ลมหนาวพัดผ่านไป ทว่าไม่มีผู้ใดปรากฏตัว

หัวหน้าหน่วยนำทหารยามเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง อ้อมต้นไม้หลายต้น จากนั้นก็เผชิญหน้ากับเสือสีดำตัวใหญ่มหึมาที่กำลังเดินตรงมาทางนี้โดยคาบเหยื่อไว้ในปาก

บรรยากาศเงียบสงัดจนน่าขนลุกอยู่หลายชั่วอึดใจ…

พวกทหารยาม “!!!!”

[1] จูอวี๋ (茱萸) สมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน มีผลสีแดง

[2] ผักกาดหอมในภาษาจีนคือ 生菜 หมายถึง ผักดิบ