บทที่ 255 ข้าเพิ่งไปเดินเล่นในยมโลก
บทที่ 255 ข้าเพิ่งไปเดินเล่นในยมโลก
“แม่จ๋า!!!”
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน มือที่ถืออาวุธเริ่มอ่อนปวกเปียก เพียงครู่เดียวก็พากันวิ่งกรูไปหาหัวหน้าหน่วยพลันกอดกันกลมตัวสั่นเทิ้ม มองเสือสีดำตัวใหญ่ยักษ์ที่คาบเหยื่อโชกเลือดไว้ในปาก ท่าทางหวาดกลัวดูน่าสังเวชใจยิ่ง
ทุกคนล้วนแต่เป็นชายหนุ่มอกสามศอก บัดนี้กอดกันกลมจนดูน่าตลกขบขัน
หัวหน้าหน่วยลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “มะ ไม่ต้องกลัว ผู้บัญชาการหลินบะ… บอกว่าหากเจอเสือสองตัวนั้นกะ… ก็ให้ปล่อยพวกมันไป”
คนอื่น ๆ น้ำตาคลอเบ้า ท่านก็หยุดมือเท้าสั่นตอนพูดก่อนสิพวกข้าถึงจะเชื่อ!
“ชะ…เช่นนั้นตอนนี้ควรทำอย่างไรดี”
ชายหนุ่มร่างใหญ่กล้ามเป็นมัดตะกุยตะกายหัวหน้าหน่วยแทบจะปีนขึ้นไปบนหลัง บัดนี้ดูเหมือน ‘เด็กขี้แย’ เป็นอย่างยิ่ง
หัวหน้าหน่วยอยากจะกระชากเขาลงจากหลังแล้วเขวี้ยงลงพื้น จากนั้นก็กระทืบซ้ำเสียทีสองที เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใคร!
แล้วที่พวกเจ้าทุกคนมาหลบอยู่หลังข้ามันหมายความว่าอย่างไร เขาดูเหมือนคนที่จะสู้กับเสือยักษ์ได้หรือ!
เจ้าเสือดำสะบัดหางไปมา กวาดสายตามองพวกเขาด้วยดวงตาดุร้าย พร้อมกับส่งเสียงครางต่ำในลำคอ
เพียงแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนรับรู้ได้เพียงแรงกดดันจากเสือร้ายเท่านั้น
ชายที่เกาะอยู่บนหลังของหัวหน้าหน่วยหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมจนแทบจะร้องไห้ “หะ…หัวหน้า พวกมันไม่กินคนจริง ๆ ใช่หรือไม่!”
“ข้า…เจ้าปล่อยคอข้าก่อน!”
คอของเขาถูกท่อนแขนอันแข็งแรงโอบรัดแน่นจนหน้าเขียวคล้ำ น้ำเสียงฟังดูผิดแปลก
ชายหนุ่มรีบปล่อยมือทันที จากนั้นก็หุบแขนหุบขาแล้วหลบไปยืนข้าง ๆ ดวงตาคู่เล็กดูหวาดกลัวเหลือบมองหัวหน้าหน่วยผู้สีหน้าอึมครึมแวบหนึ่ง
ปิดซ่อนแววตาที่อยากฆ่าคนไว้ไม่อยู่
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้นอีก หลายคนหันไปมองด้วยความหวาดหวั่น เพียงเพื่อจะได้เห็นเสือสีขาวตัวใหญ่ที่มีขนาดพอ ๆ กับเจ้าตัวสีดำค่อย ๆ เยื้องย่างเข้ามา
ในปากของเสือดำคาบเหยื่อตัวใหญ่เสียยิ่งกว่า และเพราะเหยื่อที่มีขนาดใหญ่จนเกินไปนี้เอง ทำให้เจ้าเสือขาวต้องออกแรงอย่างมากเพื่อลากมันมา
ทันทีที่เห็นว่ามันคือสิ่งใด ทุกคนก็อ้าปากค้าง
มันคือหมีควาย
ดูไปแล้วหมีควายนั้นตัวใหญ่กว่าเจ้าเสือขาว ทว่าบัดนี้กลับต้องมาตายอนาถอยู่ในปากเสือ
เจ้าเสือดำเดินนำหน้าโดยคาบกวางไว้ในปาก ส่วนหมีควายในปากเจ้าเสือขาวนั้นตัวหนักเกินไป มันจึงก้าวเดินได้อย่างเชื่องช้าและต้องใช้เวลาสักพัก จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงเพิ่งโผล่มาเอาตอนนี้
“แม่เจ้าโว้ย”
พวกเขามองหมีควายที่ตายสนิทตัวนั้นอย่างเลื่อนลอย รู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ
หมีควายยังมีสภาพเป็นเช่นนี้ พวกไร้น้ำยาไม่กี่คนอย่างพวกเขายังไม่พอยัดซอกฟันพวกมันเสียด้วยซ้ำ!
เจ้าเสือขาวเลียริมฝีปากโชกเลือด เพราะมีขนสีขาวปกคลุมอยู่ทั่วทั้งตัว เลือดสดใหม่พวกนั้นจึงดูเด่นชัดเป็นพิเศษ ยิ่งทำให้น่าหวาดกลัวเข้าไปใหญ่
พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
เสือขาวเอียงคอมองคนพวกนั้นแวบหนึ่งจากนั้นก็เบนสายตาไปทางอื่น ไร้ซึ่งความสนอกสนใจในสัตว์สองเท้า
ส่วนเจ้าเสือดำคาบซากกวางไว้ในปาก จมูกสีดำของมันสูดดมในอากาศคล้ายกับกำลังระบุทิศทาง
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนพูดเสียงสั่นขึ้นว่า “ท่านกำลัง…หาองค์หญิงเจาเสวี่ยใช่หรือไม่”
เจ้าเสือดำตวัดสายตามองทันที
“ทางนั้น ทางนั้น!”
ทุกคนชี้นิ้วไปในทิศทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดหมาย น้ำเสียงกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าเสือดำเบนสายตา จากนั้นก็เดินตรงไปยังทิศทางที่พวกเขาชี้อย่างเชื่องช้า
เจ้าเสือขาวนอนแผ่อยู่บนพื้นหิมะพักหนึ่ง จากนั้นก็ลุกยืนและคาบหนังของหมีควายพร้อมกับลากเดินไปข้างหน้า
เมื่อลูกพี่เสือทั้งสองจากไปแล้ว สมาชิกหน่วยลาดตระเวนก็แข้งขาไร้เรี่ยวแรงพลันฟุบนั่งลงกับพื้น หลังมือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ไม่กี่ชั่วอึดใจต่อมา สมาชิกของอีกหน่วยก็มาถึง “พวกเจ้าเป็นอะไรไป”
หลายคนตอบด้วยกายและใจที่เหนื่อยล้า
“ข้าเพิ่งไปเดินเล่นในยมโลกมา”
“แม่จ๋า ลูกเห็นสะพานไน่เหอ*[1]ด้วย”
เสียงหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “ข้าเห็นด้วยว่าบนสะพานมียายแก่ยืนยิ้มส่งถ้วยน้ำแกงให้ข้า…*[2]”
หน่วยลาดตระเวนที่เพิ่งมาถึง “…”
เสี่ยวเป่ายังมิรู้ว่าเสือทั้งสองตัวกำลังมาหานาง มิหนำซ้ำยังมาพร้อมกับของขวัญ พวกมันทำให้คนกลุ่มหนึ่งอกสั่นขวัญหายราวกับได้ลงไปเดินเล่นในยมโลก
บัดนี้นางนั่งอยู่บนม้านั่งตัวน้อย มือเล็ก ๆ กำลังเท้าคาง นัยน์ตาคู่ดำขลับทอประกายพลางมองไปข้างหน้า ข้าง ๆ นางคือหนานกงหลีที่กำลังนั่งไขว่ห้าง ผู้ซึ่งดูกระตือรือร้นอย่างมากในยามนี้ ขาดก็แต่เมล็ดแตงเท่านั้น
บนกระดานหมากล้อมตรงกลางของกระโจม ฝ่ายขาวและดำกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายขาวจะมีโอกาสพ่ายแพ้มากกว่า
จี้หนานอ๋องใช้ปลายนิ้วคีบตัวหมาก แฝงกลิ่นอายความชั่วร้ายทุกครั้งที่วางหมากดำ
“องค์ชายใหญ่มีฝีมือการแสดงตั้งแต่อายุยังน้อย ข้ามองผู้คนมานานหลายปีแต่สุดท้ายก็ดูผิดไป”
มุมปากของหนานกงฉีซิวกระตุกอย่างเสียมิได้ “จี้หนานอ๋องล้อข้าเล่นแล้ว ขาของข้ายังมิหายดีเพียงนั้น”
“หึ ๆ ยังมิหายดีแต่ก็ขี่ม้าได้แล้ว หากว่าหายดีคงจะน่าตกใจมากทีเดียว”
คำพูดนี้ฟังดูแดกดันเย็นชา หนานกงฉีซิวเพียงเขี่ยปลายจมูกไม่ได้พูดอะไร
“ดังนั้นข้าจึงกำลังคิดว่า สิ่งที่ดวงตาคู่นี้ได้เห็น มีความจริงอยู่กี่มากน้อยกันแน่”
หนานกงฉีซิวเพียงยิ้มตอบ
จี้หนานอ๋องเดาสีหน้าของเขาไม่ออก อารมณ์ก็พลันเคร่งขรึมยิ่งกว่าเก่า
องค์ชายใหญ่ผู้นี้ฉลาดหลักแหลม หากว่าเมื่อวานมิได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เกรงว่าเขาคงจะตามืดบอดต่อไป และหากภายภาคหน้าคนผู้นี้ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท สองพ่อลูกเป็นหนึ่งเดียวกันย่อมไม่เป็นผลดีต่อเป่ยเยว่ของพวกเขาอย่างแน่นอน
ในใจของเขาร้อนรน ทว่าสีหน้ากลับนิ่งเฉย “ว่ากันว่าองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองมิลงรอยกัน เมื่อก่อนข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่ว่าตอนนี้ข้ามิรู้แล้วว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนเท็จ”
เขาเห็นกับตาตนเองเลยว่าองค์ชายรองมิได้แปลกใจแต่อย่างใดที่เห็นองค์ชายใหญ่ลุกยืนได้ ทั้งยังจูงม้ามาให้และช่วยประคองเขาขึ้นม้าอีกต่างหาก!
นี่มันเหมือนคนไม่ลงรอยกันตรงไหน!!!
สองพี่น้องนี่กำลังแสดงละครให้พวกเขาดูชัด ๆ!
หนานกงฉีซิวเม้มริมฝีปากพลางยิ้มบาง “เขาเป็นน้องชายของข้า”
น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนและหนักแน่นเหมือนทุกครั้ง ไร้ซึ่งการปกปิดอำพราง
จี้หนานอ๋องเบิกตากว้าง เกือบจะล้มกระดานหมากล้อมอย่างควบคุมไม่อยู่
น้องชาย! ขาของเจ้ามีสภาพเช่นนี้มิได้เป็นแผนร้ายของมารดาเขาหรอกหรือ พวกเจ้าเกิดในราชวงศ์มิใช่หรือ สถานที่พรรค์นั้นไหนเลยจะมีความสัมพันธ์พี่น้อง!
ทันใดนั้นม่านกระโจมก็เปิดออก ชายหนุ่มในชุดสีแดงถือไหสุราสองไหเดินเข้ามา
“พี่ใหญ่ ข้าเอาสุรามา…”
เมื่อเห็นจี้หนานอ๋องอยู่ข้างใน หนานกงฉีโม่ก็ส่งยิ้มให้เขา “จี้หนานอ๋องแห่งเป่ยเยว่ก็อยู่ด้วยหรือ”
จี้หนานอ๋องมองพวกเขาโดยไม่แสดงสีหน้าใด
หนานกงฉีโม่เลิกคิ้วขึ้น มิได้รู้สึกละอายต่อจี้หนานอ๋องผู้นี้เลยสักนิด เจ้าเป็นฝ่ายยุให้พวกเราสองพี่น้องแตกคอกันเอง พอตอนนี้รู้ว่าตัวเองโดนหลอกก็สมควรแล้วมิใช่หรือ
ดังนั้นเขาจึงกอดอกเดินผ่านไป พลางมองดูกระดานหมากล้อม จากนั้นก็วางหมากสีขาวแทนพี่ใหญ่และล้อมกินหมากดำได้เป็นจำนวนมาก น้ำเสียงเกียจคร้านฟังดูกวนประสาท
“พี่ใหญ่ชอบออมมืออยู่เรื่อย”
หนานกงฉีซิวเพียงเผยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ มิได้ตำหนิน้องชายแม้แต่น้อย
จี้หนานอ๋อง “…”
เหตุใดเขาถึงรู้สึกอึดอัดเช่นนี้นะ!
[1] สะพานไน่เหอ (奈何桥) คือสะพานที่อยู่ในปรโลกในความเชื่อของจีน การเดินบนสะพานจะถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่มีความทรงจำของชาตินี้อยู่
[2] ตามความเชื่อของชาวจีน เมื่อเดินข้ามสะพานไน่เหอในปรโลกก็จะเจอกับหญิงชราที่เรียกกันว่า ‘ยายเมิ่ง’ ยืนถือน้ำแกงยายเมิ่ง มอบให้กับวิญญาณทุกดวงเพื่อลบความทรงจำในชาตินี้ทั้งหมด