บทที่ 200 กลายเป็นคนมีพรสวรรค์

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 200 กลายเป็นคนมีพรสวรรค์

บทที่ 200 กลายเป็นคนมีพรสวรรค์

“หัวหน้าเฉิน สถานการณ์ไม่ราบรื่นใช่ไหม?” ซูฉางจิ่วถามอย่างกังวลใจ

“คนตระกูลหลี่คิดจะทิ้งหลี่จื่อกั๋ว พวกเขาเลยหาคนมาช่วย” เฉินจื่ออันขมวดคิ้ว “ซิ่วเอ๋อร์ ทำข้าวมาให้หน่อย ยังไม่ได้กินข้าวเลย”

ซูหม่านซิ่วรีบไปทำอาหารทันที

พอสมาชิกได้ยินข่าว พวกเขาก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง และไม่สนใจว่าเฉินจื่ออันจะเป็นผู้นำอำเภอหรือเปล่า

“หัวหน้าเฉิน เป็นแบบนี้ได้ยังไง? เห็นกันจะ ๆ ว่าไอ้สัตว์เดรัจฉานนั่นมันทำเรื่องเลวร้ายอะไรเอาไว้!”

“จะปล่อยมันไปแบบนี้หรือ?”

“พวกเขาปฏิบัติต่อพวกเราชาวนาไม่เหมือนมนุษย์เลยด้วยซ้ำ!”

“ถ้ารู้ก่อนคงต่อยมันให้ตายแล้วโยนลงแม่น้ำไปแล้ว!”

“ใช่ ไอ้เลวนั่นไม่สมควรมีชีวิตอยู่!”

แต่ละคนต่างพูดไปเรื่อย

มีบางคนไม่พอใจจนทนไม่ไหว พุ่งไปกรมทหารเพื่อจะทุบตีหลี่จื่อกั๋วให้ตาย

“พวกคุณวางใจเถอะ ผมจะทำให้ดีที่สุด!” พอเห็นทุกคนเป็นแบบนี้ เฉินจื่ออันไม่อาจปล่อยให้พวกเขากระทำผิดในสถานการณ์ที่กำลังยุ่งเหยิงแน่นอน ก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่น

เฉินจื่ออันเป็นพวกให้ท้ายอยู่แล้ว เขาไม่มีทางทำให้คนของตัวเองเสียเปรียบหรอก!

“ทุกคนต้องเชื่อมั่นในหัวหน้าเฉิน และเชื่อมั่นใจประเทศของพวกเรา คนแบบนี้จะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน!” ซูฉางจิ่วรีบสร้างความมั่นใจให้กับเหล่าสมาชิก

พวกเขารู้ว่าเรื่องแบบนี้ ถึงอยากจะช่วย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงผุดลุกขึ้นบอกลาและบอกว่าจะนั่งรถรับส่งที่กำลังจะมาถึงกลับหงซิน

“ในเมื่อหัวหน้าซูมาแล้ว ไม่อยู่รอผลสักหน่อยล่ะ?” เฉินจื่ออันถาม

“ไม่หรอก ๆ หัวหน้าเฉิน ที่ชุมชนการผลิตยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ ผมเป็นห่วงน่ะ”

เสิ่นจื่อเจินบอกว่าถ้าฝนตกหนักจริง ๆ ควรเร่งสร้างทำนบได้แล้ว เขาเลยไม่วางใจจริง ๆ

“พยานอย่างเถาฮวากับเสี่ยวเถียนยังต้องอยู่ที่นี่ ในเมื่อเหล่าซานอยู่ด้วยแล้วกัน ส่วนคนอื่นก็ตามฉันกลับไปก่อน”

“ช่วงนี้พี่เถาฮวาอยู่บ้านเราไปก่อนแล้วกันค่ะ โชคดีที่พี่อยู่ได้นะ!” ซูหม่านซิ่วรีบพูดเช่นกัน

ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ชายคนหนึ่งที่อายุไล่เลี่ยกับเฉินจื่ออันเดินเข้ามา เขาดูกระฉับกระเฉงมาก

ชุดสีเขียวทหารทำให้เขาดูหล่อเหลายิ่งขึ้น

ไม่รู้เพราะอะไร แต่ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าชายตรงหน้ามีกลิ่นอายคล้ายกับเฉินจื่ออัน

“หัวหน้าเฉิน ช่วงนี้ไม่เจอคุณเลยนะ!” ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม

เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้น่าจะดีมาก

“ดีจริง ๆ เถียนหยวนจื่อ อย่ามาอวดดีที่นี่นะ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าคุณเป็นพวกไม่มีธุระไม่มาซานเป่าเตี้ยน บอกมาว่าวันนี้มาทำไม?”

เฉินจื่ออันมองไปยังเถียนหยวนจื่อด้วยความรังเกียจ แต่ทุกคนฟังออกถึงความสนิทสนมในน้ำเสียงของสองคนนั้น

“ไม่ใช่ว่ามีเรื่องแล้วต้องมาหาอดีตผู้บังคับบัญชากองร้อยหรือไงครับ!” ชายคนนั้นพูดตรง ๆ โดยไม่เกรงใจ

“มีเรื่องอะไร?”

“รถของทีมเราเสียครับ แล้ววันนี้ผมต้องไปเจอคนอีกเพียบเลย ยังซ่อมไม่เสร็จด้วยเลยมาถามคุณเนี่ย” เถียนหยวนจื่อดูกังวลจริง ๆ และกำลังจะลากเฉินจื่ออันออกไปทันที

เฉินจื่ออันสะบัด “รอก่อน ฉันต้องส่งญาติไปขึ้นรถก่อน”

จากนั้นเถียนหยวนจื่อก็เห็นว่ามีคนมากมายอยู่ในลานบ้าน

เขารีบยิ้ม “เป็นความผิดของผมเองที่รีบร้อนเกินไป ไม่คิดว่าจะเจอญาติเยอะขนาดนี้”

เถียนหยวนจื่อเป็นพวกไม่ค่อยสนใจอะไร เขาเข้าไปแนะนำตัวกับทุกคน “ผมเป็นอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของหัวหน้าเฉินครับ และตอนนี้ผมเป็นหัวหน้าทีมยานยนต์ของอำเภอ”

ซูฉางจิ่วยื่นมือออกมาจับในนามของคนอื่น ๆ และแนะนำตัวเองเล็กน้อย

หลังจากเถียนหยวนจื่อฟังจบ เขาก็พูดตรง ๆ “นั่งรถรับส่งอะไรกัน เดี๋ยวผมจัดรถไปส่งพวกคุณเองเลย หัวหน้าเฉินครับ รีบไปดูเร็วเข้า ผมลากมันมาหลายวันแล้ว ลากไม่ไหวแล้วเนี่ย!”

เฉินจื่ออันขับรถเป็นและก็ซ่อมรถได้ ความสามารถเยี่ยมเลย

และทักษะเหล่านั้นอีกฝ่ายก็สอนเขามา

เพราะต้องไปส่งคน ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงนั่งรถไปกับทีมยานยนต์ด้วยกัน ส่วนซูเหล่าซานพาเสี่ยวเถียนไปด้วย

พอมาถึง เถียนหยวนจื่อก็จัดแจงหาคนพาซูฉางจิ่วและคนอื่น ๆ กลับ ส่วนตัวเขาแทบรอไม่ไหวที่จะพาเฉินจื่ออันไปดูรถ

ส่วนสองพ่อลูกไม่มีอะไรทำเลยตามไปด้วย

แน่นอนว่าเป็นคำแนะนำของซูเสี่ยวเถียนที่ให้ตามไปดูด้วยกัน

แต่เฉินจื่ออันมองดูอยู่ครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ในที่สุดเขาก็ได้แต่ส่ายหน้า

เถียนหยวนจื่อเห็นเช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ใบหน้างอง้ำ

เขาพูดอย่างหมดหนทาง “หากไม่มีวิธีอื่น ผมคงต้องไปที่เมืองหลวงเพื่อไปเชิญผู้เชี่ยวชาญมาแล้ว เฮ้อ ใช้เงินเพียบเลย!”

ถึงทีมยานยนต์จะดูดี แต่เอาเข้าจริงมันไม่ง่ายที่จะดิ้นรนโดยเฉพาะทุกครั้งที่รถเสีย พวกผู้นำจะใช้สายตาตำหนิและเชิญผู้เชี่ยวชาญที่มากความสามารถมา

แล้วเขาก็เป็นหัวหน้าทีมยานยนต์ผู้น้อย ยากลำบากจริง ๆ เลย

ถ้าเป็นแค่นี้ก็ช่างมันเถอะ แค่มันจะส่งเสียงดังไปอีกหลายวันน่ะสิ ถึงจะซ่อมดีแล้วแต่มีหลายครั้งเลยที่สุดท้ายก็แก้มันไม่ได้

ซูเสี่ยวเถียนจ้องมองที่รถด้วยสายตาที่เฉียบขาด และเธอก็เข้าใจแล้วว่าปัญหาคืออะไร

จริง ๆ แล้วปัญหาไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น แต่คนธรรมดา ๆ มักจะมองข้าม บางทีนี่อาจเป็นโอกาสก็ได้

“อาเขย พ่อของหนูซ่อมรถได้!” ซูเสี่ยวเถียนพูดขึ้น

เฉินจื่ออันได้ยิน เถียนหยวนจื่อก็ได้ยิน และผู้ที่อยู่รอบ ๆ ก็ได้ยินเช่นกัน!

อาเขยมองหลานสาวอย่างแปลกใจ ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าพี่สามถึงซ่อมรถยนต์ได้?

เถียนหยวนจื่อก็มองเสี่ยวเถียนด้วยความประหลาดใจเช่นกัน “หัวหน้าเฉิน เด็กคนนี้เป็นใครเนี่ย? พ่อของเธอคือใครหรือ? พวกเรารีบไปเชิญเขามาเร็ว ๆ ดีไหม?”

หลังจากตื่นเต้น เขาก็จำได้ว่าเหมือนจะไม่ถูกต้องนะ พ่อของเด็กคนนี้คือคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่ใช่หรือไง?

ซูเหล่าซานได้ยินก็ผงะ เขาซ่อมรถเป็นตั้งแต่เมื่อไร?

ก็แค่ซ่อมรถไถเองนะ ปกติทำอย่างระวัง ๆ ก็พอแล้ว แต่เขาไม่เคยเห็นรถบรรทุกสักครั้งเลย แล้วจะซ่อมเป็นได้อย่างไร?

“เสี่ยวเถียน…” ซูเหล่าซานอยากจะห้ามลูกสาวเอาไว้

เรื่องรักลูกสาวก็เรื่องหนึ่ง แต่จะโกหกคนอื่นไม่ได้นะ!

เถียนหยวนจื่อเห็นพ่อเด็กสาวที่ซื่อสัตย์ กลับรู้สึกว่าคนคนนี้ไม่น่าซ่อมรถได้นะ?

แต่มาคิด ๆ ดูแล้ว ก็คิดว่าอาจจะไม่ได้แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาไง!

“สหายท่านนี้ ถ้าคุณรู้วิธีซ่อมรถ ไม่ว่ายังไง คุณต้องช่วยพวกเรานะ!” เถียนหยวนจื่อเห็นช่องทางก็รีบก้าวไปข้างหน้าและจับมือของซูเหล่าซานไว้

อีกฝ่ายรีบร้อนดึงมือออก แต่เถียนหยวนจื่อก็ยังตามมาจับมืออยู่ดี

เพราะแบบนี้ ซูเหล่าซานเลยถูกบังคับให้ซ่อมรถ ส่วนเฉินจื่ออันก็ให้อดีตลูกน้องของตนจัดรถพาคนไปส่งที่หงซิน

เถียนหยวนจื่อตกลงทันที

ส่วนซูเหล่าซานไม่รู้วิธีซ่อมรถ แต่ซูเสี่ยวเถียนเป็นสูตรโกงที่แข็งแกร่งที่สุด

แต่เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไม่คณามือเสี่ยวเถียนหรอก ในไม่ช้าเธอก็บอกถึงวิธีแก้ปัญหา

ถึงพ่อจะสงสัยที่ลูกสาวว่ามันถูกหรือผิด แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามดู

อย่าบอกนะว่ามันจะสำเร็จจริง ๆ น่ะ!

“นี่คือพี่สามของภรรยาฉันเอง เขา…”

ก่อนที่เฉินจื่ออันจะพูดจบ เถียนหยวนจื่อรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อจับมือซูเหล่าซาน “สหายซู ขอบคุณมาก! หากไม่มีคุณ ผมก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้ยังไง”

ไม่แปลกใจที่เถียนหยวนจื่อจะรีบร้อน เพราะทีมยานยนต์มีรถเก๋งเจ็ดคัน ถ้าคันหนึ่งเสีย นั่นหมายความว่าคันอื่นจะรับภาระหนักกว่าเดิม

งานขนส่งช่วงนี้หนักมาก วันสองวันก็พอแล้ว ถ้านานกว่านั้นคันอื่นจะทนไม่ได้!

เพราะเรื่องนี้ทำเอาโดนด่าอยู่หลายครั้ง

ซูเหล่าซานรู้สึกว่าไม่มีสว่านมือชั้นดี ก็คงไม่กล้ากอบซ่อมเครื่องเคลือบดินเผา*[1] เขาเลยรีบพูดว่า “ผมทำไม่ได้! ผมทำไม่ได้จริง ๆ!”

เกิดอะไรขึ้น?

ทุกคนรอบข้างตกตะลึง

แต่ซูเสี่ยวเถียนดึงชายเสื้อพ่อเบา ๆ “พ่อ ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดหรือคะว่ามีอะไรอุดตันนิดหน่อย แค่ทำความสะอาดก็พอแล้วน่ะ?”

เหล่าซานงุนงง เขาไปพูดตั้งแต่เมื่อไร? ไม่เคยเลยนะ

อุดตันอะไรนั่น เขาจะไปรู้ได้อย่างไร?

ซูเสี่ยวเถียนขยิบตาให้พ่อ

“พ่อ พ่อขึ้นไปลองดูซี่ ถ้าได้ผลล่ะ?”

ซูเสี่ยวเถียนไม่ละความพยายาม

ผู้เป็นพ่อเพิ่งเข้าใจความหมายที่ลูกสาวบอกจึงขึ้นไปดู

จากนั้นภายใต้สายตาประหลาดใจของทุกคน รถที่ดับมาหลายวันก็ติดแล้ว

เถียนหยวนจื่อตื่นเต้นมาก!

“สหายซู คุณทำงานที่ไหนอยู่? ย้ายมาทีมยานยนต์ของเราได้ไหม? เราต้องการผู้มีความสามารถอย่างคุณนะ!”

*[1] หากไม่มีความสามารถหรือไม่มีความเชี่ยวชาญ ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งหรือรับปากว่าจะลงมือทำให้