บทที่ 201 ฉันไม่รู้วิธีซ่อมรถจริง ๆ นะ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 201 ฉันไม่รู้วิธีซ่อมรถจริง ๆ นะ

บทที่ 201 ฉันไม่รู้วิธีซ่อมรถจริง ๆ นะ

จู่ ๆ ซูเหล่าซานก็กลายเป็นคนมีพรสวรรค์ขึ้นมา แต่ตัวเองนั้นยังไม่เข้าใจว่าทำไม

“คุณลุง พ่อหนูเป็นสมาชิกของชุมชนการผลิตหงซิน ยังไม่มีงานทำค่ะ!” เสียงชัดแจ๋วของเสี่ยวเถียนดังขึ้น

ซูเหล่าซานยืนยิ้มอย่างโง่เขลา ไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

“คุณลุงคะ พ่อของหนูเก่งมาก เขาเป็นคนขับรถไถของชุมชนเราด้วย!” ซูเสี่ยวเถียนพูดต่อ

คนที่อยู่โดยรอบส่วนใหญ่เป็นคนขับรถอยู่แล้ว แต่พอได้ยินว่าเหล่าซานเป็นแค่คนขับรถไถ พวกเขาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไร้ยางอาย

หลังจากหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็มีบางคนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป

พวกเขามีเหตุผลอะไรถึงหัวเราะเยาะอีกฝ่ายในฐานะชาวนาและคนขับรถไถ?

อีกฝ่ายไม่ใช่มืออาชีพ แต่เขากลับรู้ถึงวิธีซ่อมรถ เพราะงั้นก็ไม่น่ามีปัญหาในการขับรถหรือเปล่า?

พวกเขาที่คิดว่าตัวเองเป็นมืออาชีพ กลับไม่มีความสามารถเก่งเท่าชาวนาเพียงคนเดียวหรือเปล่า!

เถียนหยวนจื่อสับสนมึนงง เขามองเหล่าซานด้วยสายตาไม่เชื่อ ตั้งแต่เมื่อไรที่สมาชิกของชุมชนเก่งกาจขนาดนี้?

ก่อนจะจ้องมองพวกลูกน้องของตัวเอง ทำไมถึงไร้ค่าแบบนี้? แย่กว่าชาวชนบทเสียอีก

ทุกคนหยุดหัวเราะแล้ว!

สายตาของซูเหล่าซานค่อย ๆ เปลี่ยนจากรังเกียจเป็นเคารพ

ซูเสี่ยวเถียนเข้าใจความคิดของคนพวกนี้ แต่เธอยังเป็นเด็ก เลยแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจแล้วพูดหน้าตาเฉย ก่อนจะยิ้มจนตาโค้ง “พวกคุณก็คิดว่าพ่อหนูเก่งใช่ไหมคะ?”

เถียนหยวนจื่ออยากจะบอกว่าไม่ใช่ แต่พอคิดอีกทีก็รู้สึกว่าไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ

ถึงชายตรงหน้าจะเป็นแค่คนขับรถไถ แต่เขาซ่อมรถเก๋งได้ ไม่ใช่ว่าเก่งกาจมากเลยหรือ!

“น่าทึ่งมาก! สหายซู คุณมีความคิดอยากเข้าร่วมทีมเราไหม?”

ตอนเถียนหยวนจื่อถาม และมันทำให้เฉินจื่ออันยังประหลาดใจ

เพราะอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้เป็นคนอารมณ์ร้าย มีแต่คนไม่ชอบ ไม่ว่าหัวหน้าจะจัดใครมาก็ไม่รับไว้ แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายเชิญด้วยตัวเองเลย

ซูเหล่าซานลังเล เขารู้ว่าวันนี้ที่ซ่อมรถได้เพราะลูกสาวบอก

ถ้ามาเป็นคนงานร่วมทีมจริง ๆ จะพาลูกไปด้วยทุกรอบก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?

แต่ซูเสี่ยวเถียนกลับปรบมือ ก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่น “เก่งมาก ๆ!”

ซูเหล่าซานอยากจะปิดปากลูกสาวเหลือเกิน ทว่าก็ไม่ทันเสียแล้ว!

“พ่อคะ ถ้าพ่อเป็นคนงานนะ ก็จะได้อยู่กับแม่ที่นี่ด้วย”

ต้องบอกว่าซูเหล่าซานติดใจคำพูดของลูกสาว

ช่วงนี้ภรรยาของเขากำลังทำงานในอำเภอ และเขากำลังขับรถไถอยู่ที่ชุมชน อันที่จริงก็เคยคิดจะเข้ามาอยู่ในอำเภอเป็นเพื่อนภรรยา

แต่การจะได้เป็นคนงานนั้นง่ายดายที่ไหนกัน สุดท้ายก็ตัดสินใจหารือกับคนที่บ้านก่อน

เถียนหยวนจื่อกล่าว “ผมใกล้จะออกรถแล้ว ไปรอบนี้ครึ่งเดือนถึงจะกลับ ถึงตอนนั้นจะกลับมาเอาคำตอบจากคุณนะครับ!”

หลังจากที่ซูเหลาซานกลับไปก็บอกเรื่องนี้กับหม่านซิ่ว น้องสาวก็บอกว่าเป็นเรื่องที่ดี

ซูเถาฮวาเองก็คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีมากเหมือนกัน ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมันจะดีมากแค่ไหนนะ?

“แต่ฉันไม่รู้วิธีซ่อมรถจริง ๆ นะ!” ซูเหล่าซานลังเล

“พ่อ เรียนเดี๋ยวเดียวก็ได้แล้ว เดี๋ยวหนูสอนเอง” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างมีความสุข “อาเขย ในเมืองมีร้านหนังสือไหมคะ? หนูว่ามันน่าจะมีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ”

เฉินจื่ออันตอบ “ที่บ้านของอามีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ แต่ว่าพี่สามรู้หนังสือหรือเปล่าครับ?”

ไม่ใช่ว่าเขาสงสัย แต่ภรรยาเคยบอกว่าพวกเหล่าพี่น้องของตนไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน สองปีมานี้หม่านซิ่วก็เรียนรู้กับเขา ทำให้รู้คำศัพท์ไม่น้อยเลยด้วย

แต่พี่สามอยู่ในชนบท คงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือแน่นอน

ถึงจะมีชั้นการเรียนการสอน แต่ใครจะรู้เล่าว่าชั้นเรียนแบบนี้ก็แค่ทำกันเล่น ๆ

“รู้สิ!” ถึงเสียงเหล่าซานจะไม่ดัง แต่มันเต็มไปด้วยความหนักแน่น และเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

แม้เฉินจื่ออันจะสงสัย ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แล้วหยิบหนังสือออกจากกล่องมาจำนวนหนึ่ง

“ตอนนี้ในร้านหนังสือมีหนังสือที่มีประโยชน์ไม่เยอะ พวกนี้ผมได้มาจากสถานีรีไซเคิล” เฉินจื่ออันพูด

พอเสี่ยวเถียนได้ยินดังนั้นดวงตากลมโตก็เปล่งประกาย

“อาเขย หนูอยากไปดูที่สถานีรีไซเคิลด้วยได้ไหมคะ?”

ชาติก่อนได้ยินว่าสถานีรีไซเคิลมีของดี ๆ เยอะแยะ แต่เธอไม่รู้ว่ามันจริงหรือเปล่า

บังเอิญว่าช่วงนี้ได้เรียนพวกหนังสือประเภทความรู้ความเข้าใจ ไม่แน่ว่าอาจจะทดสอบน้ำได้ นะ!

มันจะเป็นอย่างไรหากได้พบเจอของดีและอุดมไปด้วยคุณค่า?

ในฐานะคนที่ได้มาเกิดใหม่อีกครั้ง การหาขุมทรัพย์ก็สำคัญเช่นกันนะ

เฉินจื่ออันไม่เคยคิดมาก่อนว่าเด็กหญิงจะมีความคิดเช่นนี้ด้วย

เขาลูบศีรษะหลานสาวตัวน้อย “ได้สิ เดี๋ยวกลับไปจัดแจงแล้วจะพาหนูไปดูนะ”

“ขอบคุณค่ะอาเขย!” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส

“สาวน้อย ทำไมถึงสุภาพกับอาเขยแบบนั้นเล่า?”

เฉินจื่ออันรักซูเสี่ยวเถียนมาก และน้ำเสียงนั้นทำเอาเหล่าซานรู้สึกว่าตนเข้มงวดกับลูกสาวในฐานะพ่อเกินไปหรือเปล่า?

อีกด้านหนึ่ง ซูเถาฮวากำลังพูดคุยกับซูหม่านซิ่ว

เธอหยิบตั๋วธัญพืชออกมาแล้วมอบให้น้องสาว

ซูเถาฮวาเป็นคนเห็นคุณค่า จึงรู้สึกว่าการมาอยู่บ้านหม่านซิ่วมันน่าละอายใจเหลือเกิน แถมยังกินข้าวขาวด้วย หน้าหนาเกินไปแล้ว

“หม่านซิ่ว นี่คือตั๋วธัญพืชอันเดียวที่พี่มี รับไปก่อนเถอะ อย่าได้รังเกียจเลยนะ ตอนมาไม่ได้คิดเยอะเลยลืมเอาอาหารมาด้วย!”

ตอนเถาฮวาเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ

ตั๋วธัญพืชในบ้านส่งมาจากลูกชายคนโต มีไม่เยอะ ทั้งหมดคือห้าจินเท่านั้น

ตอนมาถึง คิดแค่เรื่องกินข้าวที่แบกมาด้วย แต่ไม่คิดว่าจะต้องมาอยู่กินที่บ้านหม่านซิ่วอีก

อีกฝ่ายไม่คิดว่าพี่สาวจะให้ตั๋วธัญพืชแก่เธอ จึงรีบดันกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“พี่เถาฮวา พี่เป็นแบบนี้ฉันจะโกรธแล้วนะ พี่เป็นพี่สาวของฉัน อยู่บ้านแค่ไม่กี่วันเองจะเอาตั๋วพี่ได้ยังไง?”

“แต่ช่วงนี้อาหารบ้านใครต่อใครก็ไม่พอนะ!” ซูเถาฮวาเอ่ยช้า ๆ

ซูหม่านซิ่วตอบ “ไม่ว่าจะไม่พอยังไง ก็ไม่อยากได้ข้าวชามเดียวของพี่หรอกนะ”

เธอหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “อีกอย่างที่พี่ต้องเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องที่บอกคนอื่นไม่ได้ แต่บ้านเราล้วนรู้ว่าพี่ทำเพื่อเสี่ยวเถียน”

เธอเป็นผู้มีพระคุณของบ้านหลักตระกูลซู นับประสาอะไรกับเรื่องอาหารล่ะ ไม่ได้มากเกินไปอะไรเลย

หลังจากที่อาเขยกับหลานสาวสนทนากันเสร็จ พวกเขาก็วางแผนเข้าห้องไปเล่นกับน้องชายคนเล็ก

เจ้าตัวเล็กยืนพิงผนังมาสองวันแล้ว แต่ยังไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง และทุก ๆ ครั้งที่เขาลุกขึ้นยืนก็มักจะล้มเสมอ เมื่อมองแล้วน่าตลกยิ่งนัก

ซูเสี่ยวเถียนชอบแกล้งให้เขายืนมาก

แต่พอเข้ามาก็ได้ยินบทสนทนาของเถาฮวากับหม่านซิ่วพอดี

“ป้าเถาฮวา พ่อหนูเตรียมตั๋วธัญพืชมาแล้ว รอซื้อธัญพืชกลับไปนะคะ ป้าวางใจเถอะ ไม่ทำให้ป้าหิวแน่นอน!”

ซูเถาฮวาไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว จริง ๆ เลยเด็กคนนี้นี่ กลัวป้าอย่างเธอจะหิวหรือ?

ไม่ใช่ว่ากลัวพวกเธอสองคนกินมากไปหรอก แต่สองแม่ลูกหม่านซิ่วเกิดหิวขึ้นมาเนี่ยสิจะทำอย่างไร?

ถึงเฉินจื่ออันจะเป็นผู้นำและได้ตั๋วธัญพืชต่อเดือนเยอะ แต่ไม่มากพอจะช่วยครอบครัวพ่อตาหรอกนะ

ทว่าหม่านซิ่วยืนกรานไม่เอา เถาฮวาก็ทำอะไรไม่ได้

สุดท้ายก็ตัดสินใจรอช่วงเก็บเกี่ยวธัญพืชฤดูร้อนแล้วกัน ค่อยเอาส่งคืนให้บ้านหม่านซิ่ว

ถึงอาหารที่บ้านจะมีไม่พอ แต่กดดันให้หม่านซิ่วไปก็ได้แล้ว

พอตัดสินใจก็จะพยายามให้ถึงที่สุด

ซูเหล่าซานออกไปก่อนรอบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับธัญพืช ไม่ใช่แค่เล็กน้อย แต่ใส่มาเต็มถุงเลย

“ตอนที่ไปก็เห็นร้านขายธัญพืชพอดี ฉันก็เลยซื้อมาเพียบเลย!” ซูเหล่าซานพูดขณะวางถุงข้าวลง

“พี่สาม ทำไมพี่ซื้อมาเยอะจัง?” ซูหม่านซิ่วอยากจะถามนักว่าพี่เขาไปเอาตั๋วธัญพืชมาจากไหนเยอะแยะ แต่คิดดู ๆ ก็ไม่ได้ถามเช่นนั้น

การจะซื้ออาหารได้ในคราวเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ช่วงเวลาแบบนี้ ต่อให้มีตั๋วก็ซื้ออาหารไม่ได้ ต้องโชคดีเท่านั้นถึงจะซื้อได้ทัน

อีกอย่าง ถ้าตั๋วในมือเป็นตั๋วธัญพืชประจำชาติ*[1] ถึงจะซื้อได้เยอะขนาดนี้

ทันใดนั้น เธอก็รู้ว่าในมือพี่สามอาจถือตั๋วธัญพืชประจำชาติอยู่

*[1] ตั๋วที่ใช้สำหรับไปซื้ออาหารที่อื่น จะมีตั๋วท้องถิ่นกับตั๋วประจำชาติ ซึ่งถ้าเราจะไปเยี่ยมญาติหรือซื้ออาหารจากที่อื่นจะต้องเอาตั๋วท้องถิ่นไปแลกเป็นตั๋วประจำชาติถึงจะซื้อได้ แล้วก็มีแค่ตั๋วประจำชาติที่จะซื้อน้ำมันจากที่อื่นได้