ตอนที่ 136 สําเร็จ

หลังจากหายจากอาการตกตะลึง ฉินเยว่กล่าวอย่างเบา “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะเจ้าจะเป็นผู้มั่งคั่งถึงเพียงนี้ดังนั้นเจ้าก็คืออาจารย์ยันต์สินะ ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงจะจัดการเรื่องเงินเมื่อก่อตั้งองค์กร”

หยางเย่เผยรอยยิ้ม “อย่าเอ่ยถึงมันเลย พวกเรามาตรวจสอบของวิเศษกันเถอะ!”

ฉินเยว่พยักหน้าก่อนจะหยิบแหวนมิติจากศพออกมา

ขณะที่พวกเขากําลังตรวจสอบสิ่งที่ได้รับ เสียงของหยินฉวนเอ๋อได้ดังขึ้นในหัวหยางเย่ “รีบไป! มียอดฝีมือ ขั้นปราณจิตวิญญาณกําลังมาทางนี้!”

ท่าที่หยางเย่เปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน เขารีบคว้ามือฉินเยวพร้อมวิ่งออกไป

“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเยวถามขณะวิ่งหนี

“ยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณได้มาทางนี้!” หยางเย่เอ่ยเสียงต่ํา ยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทั้งสองจะสู้ได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรที่ยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณวิ่งมาทางพวกเขาหยางเย่ก็ไม่คิด จะปะทะด้วย

ฉินเยวขมวดคิ้วเมื่อได้ยินหยางเย่ จากนั้นนางเงียบไปชั่วครู่

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมหรูหราปรากฏตัวขึ้นกลางห้องที่พวกเขาต่อสู้กัน

เมื่อเขาเห็นศพรอบตัว ท่าทีของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันที เขากวาดสายตามองไปรอบด้านเปลือกตาของเขากระตุกเมื่อเห็นว่าศพนั้นเป็นซูหยาน ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปเป็นสั่นเทา

“มันเป็นใครกัน? มันผู้ใดที่บังอาจสังหารน้องเล็กข้า!!!” เสียงคํารามอันเหี้ยมโหดดังลั่นไปทั่วห้อง

จากนั้นไม่นาน ร่างของชายหนุ่มได้หายไปจากห้อง

หลังจากพวกเขาออกมาจากสุสาน หยางเยู่สูดหายใจลึกขณะมองไปยังดวงอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าหลังจากนั้นเขามองไปที่ฉินเยว่ขณะกล่าวด้วยท่าที่เคร่งขรึม “ท่านได้ยินเสียงเมื่อตะกี้หรือไม่?”

ฉินเยวพยักหน้า “คนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ รีบไปให้เร็ว มิเช่นนั้นพวกเราเจอปัญหาแน่!”

หยางเยู่พยักหน้า ทั้งสองอยู่ต่อให้เสียเวลา พวกเขารีบเดินออกจากราชวังก่อนจะออกจากโบราณสถานราชวงศ์ชาง

ไม่นานหลังจากหยางเยู่และฉินเยว่ออกมา บุรุษชุดหรูหราได้ปรากฏตัวตรงทางออก ขณะเดียวกันโฉมงามสวมชุดราชวังบุปผาก็ออกมาเช่นกัน นางมองไปที่ชายด้านข้างพร้อมเอ่ย “ซูฉิงแผ่นศิลาวิญญาณของศิษย์ราชวังบุปผาแตกไปสองชิ้นเจ้าทราบหรือไม่ว่าเป็นฝีมือใคร?”

ดวงตาของซูฉิงแดงก่ํา เขาเหมือนจะกล่าวบางอย่าง แต่ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนฟาดดาบลงพื้นขณะมาถึงทางออกของราชวัง เขาเอ่ยถาม “ซูฉิง แผ่นศิลาวิญญาณของสํานักดาบราชันแตกละเอียดผู้ใดเป็นคนทํา!?”

โฉมงามจากราชวังบุปผามองไปที่ชายวัยกลางคนที่ได้กล่าวอย่างเกรี้ยวกราด

ซึ้ง!

ทันใดนั้นเสียงตัดอากาศได้ดังขึ้น ชายชุดคลุมดําปรากฏตัวในทันที ชายชุดดําท่าทางน่ารังเกียจได้ปรากฏ ตัวขึ้น

เหตุที่เขาดูน่ารังเกียจเพราะเขามีคุณสมบัติเหมือนมนุษย์อยู่ครึ่งเดียว เขามีเพียงหูหนึ่งข้างตาหนึ่งข้างจมูกครึ่งหน้า และริมฝีปากล่างเท่านั้น…

ชายชุดคลุมดํามองไปที่กลุ่มคน จากนั้นหันไปมองซูฉิง “หัตถ์ภูตวิญญาณจากสํานักภูตผีเองก็ตายเช่นกันซูฉิงมีเพียงเจ้าที่สามารถฆ่าเขาได้ ดังนั้นอธิบายมาเดี๋ยวนี้!”

เมื่อพวกเขาได้ยินชายชุดดํา โฉมงามจากราชวังบุปผาและชายวัยกลางคนจากสํานักดาบราชันมองไปทางซูฉิงเช่นกัน

“คําอธิบายงั้นหรือ?” ซูฉิงที่ท่าที่สงบอยู่ได้เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดอีกครั้ง จากนั้นเขากล่าวอย่างรุนแรง “เจ้าต้องการคําอธิบายจากข้างั้นหรือ? ข้าจะไปเอาคําอธิบายไหนมาให้ล่ะ? น้องเล็กและศิษย์โรงเรียนปราชญ์ทุกคนตายอย่างอนาถข้างในนั้น!ข้าจะไปเอาคําอธิบายมาจากไหน?”

โฉมงามขมวดคิ้วเมื่อได้ยินซูลิ้งกล่าว แต่เดิมนางคิดว่าเป็นซูฉิงที่ทํา แต่ตอนนี้เหมือนจะเป็นคนอื่นที่ลงมีอกับศิษย์จากราชวังบุปผา

“ดังนั้นศิษย์ของสํานักภูตผี โรงเรียนปราชญ์ สํานักดาบราชัน และราชวังบุปผาถูกสังหารภายในสุสานจักรพรรดิโจวสินะ?” ชายวัยกลางคนจากสํานักดาบราชันเอ่ยขึ้น

“ใช่!” ซูฉิงหัวเราะอย่างเย็นเยือก “ศิษย์โรงเรียนปราชญ์ของข้า สํานักดาบราชันของเจ้า และอีกสองสํานักถูกกําจัดทุกคน ไม่เพียงแต่จะตาย วิญญาณของพวกเขายังหายไปด้วย”

“ซูฉิง เจ้ายืนเฝ้ายามที่นี่เป็นไปได้งั้นหรือที่จะไม่ทราบว่าผู้ใดลงมือ?”โฉมงามจากราชวังบุปผาเอ่ย

ซูฉิงสูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ย “เมื่อไม่นานมานี้ เสียงระเบิดดังก้องไปทั่ว ในตอนแรกขาไม่สนใจมันเพราะ เป็นเรื่องปกติที่จะมีการต่อสู้เพื่อแย่งสมบัติกัน แต่ในเวลาไม่นานเสียงระเบิดอีกลูกได้ดังขึ้นและครั้งนี้ข้ารู้สึกว่า มันไม่ค่อยปกติ เพราะเมื่อได้ยินเสียงนั้นครั้งที่สองข้าก็จึงเริ่มคิดในใจว่ามันจะเป็นของคนที่เข้าไปได้จริงงั้นหรือดังนั้นจึงตัดสินใจเข้าไปดูเมื่อไปถึงข้าก็เห็นศพมากมายนอนกองอยู่…”

“แล้วเจ้าไม่เห็นฆาตกรงั้นหรือ?” ชายชุดดําเอ่ยเสียงต่ํา

ซูฉิงส่ายหัว “เมื่อไปถึงเหลือเพียงแต่ศพเท่านั้น ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีก อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณที่จะสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นปราณราชันถึงสี่คน ข้าได้ตรวจสอบผู้ที่เข้าไปรอบนี้หมดแล้วไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถฆ่าพวกเขาได้…”

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ โฉมงามได้เอ่ยถาม “เจ้าสังเกตเห็นใครที่น่าสงสัยหรือไม่?”

“คนน่าสงสัย?” ซูฉิงขมวดคิ้ว ในไม่นานเขาเริ่มเปิดตากว้างขึ้นก่อนจะเอ่ย “ข้าจําได้แล้ว ยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ และสัตว์อสูรจิตวิญญาณได้ผ่านมาในสุสานและพยายามเปิดมันพวกเขาทั้งสองตรวจสอบทุกคนที่นี่ก่อนจะออกไปข้าไม่ได้ใส่ใจเวลานั้นและคิดว่าคงค้นหาใครบางคนอยู่ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะน่าสงสัยที่

สุด!”

“เจ้าทราบภูมิฐานพวกเขาหรือไม่?” ชายวัยกลางคนจากสํานักดาบราชันเอ่ยขึ้น

ซูฉิงส่ายหัว “ข้าสัมผัสพวกเขาได้ผ่านสัมผัสเทวะ และก็ถอนมันออกทันทีที่ติดต่อกับพวกเขาได้พวกเจ้าทราบดีหากข้าตรวจสอบพวกเขาด้วยสัมผัสเทวะ เช่นนั้นมันก็จะกลายเป็นไปยั่วยุดังนั้นหลังจากตรวจสอบว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายข้าจึงถอนสัมผัสออกและไม่สนใจพวกเขาอีก!”

“เมื่อพวกเรามาถึงที่นี่ มันมีกลุ่มของทหารม้า และสัตว์อสูรของเผ่าสิงโตเพลิงกัมปนาทอยู่ ยอดฝีมือขั้น ปราณจิตวิญญาณคงจะมากับกลุ่มทหารม้า ส่วนสัตว์อสูรจิตวิญญาณน่าจะมากับเผ่าสิงโตเพลิงกัมปนาท”โฉมงามจากราชวังบุปผาเอ่ยขึ้น “แต่หากเป็นพวกเขาแล้วเหตุใดพวกเขาต้องสังหารศิษย์ของสํานักพวกเราด้วย? มันไม่สมเหตุสมผลแม้แต่น้อย!”

ทันใดนั้นชายชุดดําได้เอ่ยขึ้น “ทําไมต้องมานั่งคาดการณ์ พวกเราไปถามพวกมันเลยไม่ง่ายกว่าหรือ? ข้ารู้สึกว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่!”ทันทีที่กล่าวจบร่างของเขาได้ทยานหายไปอย่างรวดเร็ว

คนอื่นที่เหลือมองตากันก่อนจะทยานหายไปเช่นกัน

ด้วยความช่วยเหลือจากหยินฉวนเอ๋อ หยางเย่และฉินเยวจึงปลอดภัยจากการหลบหนีกองทหารม้าและฝูงสิงโตเพลิงกัมปนาท พวกเขาวิ่งมาตลอดทางและใช้เวลากว่าสามชั่วยามก่อนจะมาถึงเทือกเขาแห่งความตาย

ในดงต้นไม้หนาทึบ หยางเยู่สูดหายใจก่อนจะลูบหัวมิงค์ม่วงพร้อมกล่าว “ขอบคุณมากสหาย หากไม่ใช่เพราะเจ้า เช่นนั้นพวกเราคงโดนยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณทั้งสองจับตัวได้!”

ถูกต้อง หากสหายตัวจ้อยไม่ช่วยพวกเขาปกปิดพลัง เช่นนั้นตอนออกมาจากใต้ดิน พวกเขาคงถูกยอดฝีมือทั้งสองจับตัวได้เสียแล้ว

มิงค์ม่วงกะพริบตาก่อนจะพุ่งไปตรงหน้าหยางเย่ จากนั้นมันใช้กรงเล็บลูบหัวหยางเย่

“ข้าล่ะอิจฉาความสัมพันธ์ของเจ้ากับมันนัก!” ทันใดนั้นฉินเยว่เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

หยางเย่ยิ้มก่อนจะหันไปกล่าว “มาดูกันว่าครั้งนี้พวกเราได้อะไรมาบ้าง ข้าหวังว่ายอดฝีมือขั้นปราณราชันสี่คนและปราณสวรรค์คงไม่ยากจนนะ มิเช่นนั้นมันคงไม่คุ้มค่าแน่นอน”

ฉินเยวพยักหน้า จากนั้นนางนําแหวนมิติทั้งสิบเอ็ดวงออกมา นางวางแหวนมิติที่เป็นของขั้นปราณสวรรค์ทั้งเจ็ดวงลงจากนั้นนางหยิบหนึ่งแหวนมิติของขั้นปราณราชนออกมานิ้วของนางขยับเล็กน้อยก่อนจะถ่ายพลังปราณลงในแหวนมิติ ไม่นานพวกเขาได้ยินเสียงดังออกมาเล็กน้อย

ฉินเยวใช้สัมผัสเทวะเข้าไปในแหวนพร้อมกวาดดูข้างใน ไม่นานมุมปากนางเริ่มยกขึ้นและกลายเป็นกว้างออกในที่สุดตอนนี้ใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง…

เมื่อเห็นท่าทีของฉินเยว่เปลี่ยนไป หยางเย่ทราบทันทีที่ว่าสมบัติภายในแหวนมิตินั้นยอดเยี่ยมแน่นอน!