บทที่ 249 ขัดขวางกลางคัน

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 249 ขัดขวางกลางคัน

“นั่นน่ะหรือ ความรู้มากแล้ว ข้าบอกเจ้าให้ ก็คือ…” หลิวหยิ่งกำลังเตรียมจะเปิดปาก จ้านเป่ยเซียวที่อยู่บนเวทีจู่ ๆ ก็ตะโกนเรียกเขา

หลังของหลิวหยิ่งเย็นวาบ เอียงศีรษะ ก็สัมผัสเข้ากับสายตาอาฆาตของท่านนายตระกูลตนเอง ข้าอ่อน อยากจะคุกเข่าตายอยู่ต่อหน้าเขา

“ท่านนาย ๆ” หลิวหยิ่งชี้ไปที่มุมตาของตนเอง กล่าวอย่างขอให้ยกโทษให้ : “ท่านเพิ่งจะตีคนแรกก็คือผู้ใต้บังคับบัญชา”

จ้านเป่ยเซียวกระตุกนิ้วไปยังหลิวหยิ่ง ในแววตานั้นมีความอาฆาตแค้น

หลิวหยิ่งกลืนน้ำลาย ก้าวไปข้างหน้าด้วยก้าวย่างที่หนักแน่น เพิ่งจะเดินมาถึงบนเวทีประลองยังไม่ทันยืนให้ดี จ้านเป่ยเซียวก็ถีบมาหนึ่งลูกถีบ

ทักษะการต่อสู้อู่ซู่ของหลิวหยิ่งส่วนใหญ่ก็ถ่ายทอดมาจากจ้านเป่ยเซียว สำหรับจุดอ่อนของเขา ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าจ้านเป่ยเซียว โจมตีหลิวหยิ่งนั้นง่ายเหมือนกินข้าว

ไม่ถึงเวลาหนึ่งถ้วยชา หลิวหยิ่งก็นอนอยู่กับพื้นแม้แรงจะลุกขึ้นมายังไม่มี

จ้านเป่ยเซียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่แม้แต่จะเหลือบมองหลิวหยิ่ง ลงเวทีโดยตรง กล่าวกับสองคนข้าง ๆ : “ใครก็ห้ามประคองเขา”

หลิวหยิ่งนอนอยู่บนเวที มองดูท้องฟ้าบนศีรษะ

ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า เมฆขาว ท่านนายฉุนเฉียวอย่างมาก เขาลำบากเกินไปแล้ว

วันที่สอง เฟิ่งชิงหัวตื่นนอนหวีผมล้างหน้าแต่เช้า จิตใจอิ่มเอิบ เตรียมรอองค์ชายใหญ่มาถึง ในหัวของนางคิดข้ออ้างเรียบร้อยแล้ว ขัดจังหวะและหลังจากรอให้องค์ชายใหญ่มาถึงก็อธิบายเรื่องผู้ชายบนเตียงคนนั้นเมื่อวานนี้ก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ แสดงความรู้สึกของตนเองออกมา

เช่นนี้รอจนองค์ชายใหญ่ระวังน้อยลง นางก็จะสามารถสืบหาและรู้แผนการของพวกเขา ถือโอกาสถามเรื่องราวขององค์หญิงซีหลัน

แต่ทว่า เฟิ่งชิงหัวรอแล้วรอเล่า จนเรียกได้ว่ารอคอยด้วยความวิตกกังวล แต่วังลั่วเซี๋ยแม้กระทั่งนกตัวเดียวก็ไม่มี

เฟิ่งชิงหัวร้อนใจ หรือว่าองค์ชายใหญ่สะเทือนใจเพราะเรื่องเมื่อวาน จึงได้เปลี่ยนความคิด ?

เฟิ่งชิงหัวเรียกเหลียนซินมา ทั้งสองออกจากวัง

บนรถม้าที่กำลังจะออกจากวังเหลียนซินก็กล่าวโน้มน้าวใจมาตลอด : “องค์หญิง พวกเราสองคนไม่ปลอดภัยเลยเพคะ ไม่อย่างนั้นก็หาองครักษ์มาคุ้มครองท่านสักสองสามคนเถอะ ?”

“ไม่ต้อง โรงเตี๊ยมหลวงอยู่ข้างจากวังไม่มาก ข้าไปหาพระโอรสฮ่องเต้ มิได้ไปเที่ยวเล่น”

หลังจากถึงโรงเตี๊ยมหลวง เฟิ่งชิงหัวกลับได้รู้ว่าองค์ชายใหญ่ได้รับเชิญให้ออกไปแต่เช้าแล้ว

“เชิญให้ไป ? ใครเชิญ ? เรื่องเร่งด่วนอะไรหรือ ?” เฟิ่งชิงหัวถามอย่างเร่งรีบ

“คนที่มาเชิญคือคนของจวนอ๋องเฉิน มาเชิญองค์ชายใหญ่ไปดื่มชาที่หอไล่ตามเมฆาแต่เช้าแล้วขอรับ” องครักษ์ของโรงเตี๊ยมหลวงกล่าว

“อะไร ? ดื่มชาเช้า !”

ถ้าตอนนี้เฟิ่งชิงหัวยังไม่รู้ว่าจ้านเป่ยเซียวทำลายเรื่องดีของนางก็สมองทึ่งจริง ๆ แล้ว

คนคนนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าวันนี้ตอนเช้าองค์ชายใหญ่จะต้องเข้าวังมาหานาง นึกไม่ถึงว่าจะชิงตัดหน้าเชิญเขา นางกับเขาอยู่ร่วมกันหลายวันเช่นนั้นเหตุใดจะไม่รู้ว่าเขามีนิสัยดื่มชาตอนเช้า ?

เมื่อคืนนางยังภูมิใจในตัวเองที่จ้านเป่ยเซียวไม่ได้บุกเข้ามาวังลั่วเซี๋ยทำให้นางสงบไม่น้อย ผลลัพธ์ในตอนเช้าเขากลับเล่นแบบนี้

เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว โมโหในอกอย่างรุนแรง จนกระโดดขึ้นรถม้าขี่ม้าด้วยตนเอง มุ่งไปยังหอไล่ตามเมฆาด้วยพลังที่เหลือล้น

เมื่อถึงหอไล่ตามเมฆา เฟิ่งชิงหัวมุ่งไปอยากจะขึ้นไปข้างบน แต่กลับถูกคนที่ชั้นหนึ่งขวางเอาไว้

“รอเดี๋ยว แม่นางผู้นี้ หอไล่ตามเมฆาไม่สามารถเข้าออกตามใจชอบ เจ้ามีป้ายำสั่งไหม ?” องครักษ์ชั้นที่หนึ่งกล่าวอย่างสุภาพ

“นี่คือองค์หญิงซีหลันแห่งเป่ยเว่ย พวกเรามาหาคน” เหลียนซินรีบประกาศฐานะของท่านนายตนเองทันที

“ไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงซีหลันของเป่ยเว่ยหรือว่าองค์หญิงของเทียนหลิง พวกเราหอไล่ตามเมฆา ยอมรับแค่ป้ายคำสั่ง หรือเจ้าของหอชั้นบนเป็นคนนำทางด้วยตนเอง มิเช่นนั้นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่าน” องครักษ์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

เฟิ่งชิงหัวเงยหน้าขึ้นมองหอไล่ตามเมฆาที่ราวกับมีเก้าชั้น ที่จริงแล้วจ้านเป่ยเซียวนั้นเชิญแขกที่ชั้นไหน ?

คงจะไม่ใช่ชั้นบนสุด ถึงอย่างไรก็เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขา

เฟิ่งชิงหัวประมาณพลังของตนเองกับองครักษ์คร่าว ๆ คงจะบุกไปได้ประมาณชั้นสาม ทว่าหากชั้นสามไม่มีสองคนนั้นเล่า ?

ช่างเถอะ ไม่สนแล้ว ลองดูสักตั้ง

เฟิ่งชิงหัวเตรียมที่จะลงมือ ทันใดนั้น ในการแทงที่ไม่นิ่งก็มีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้น : “โอ้ นี่ไม่ใช่องค์หญิงซีหลันของแคว้นเป่ยเว่ยหรือ เหตุใด ตามผู้ชายตามมาถึงที่นี่เชียวรึ ? เป็นวงศ์ตระกูลที่ป่าเถื่อนจริง ๆ ไม่รู้จักละอาย”

หลายจากหญิงสาวพูดจบ ทั้งหญิงและชายที่อยู่ข้าง ๆ ก็ต่างพากันหัวเราะ

เฟิ่งชิงหัวหันหน้าไปมองกลุ่มวัยรุ่นหญิงชายพวกนั้น หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย : “พวกเจ้าเป็นใคร ?”

เห็นเครื่องแต่งกายเช่นนี้ คงจะเป็นคนของเทียนหลิง

องค์หญิงซีหลันผู้นี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบมากเพียงใด เหตุใดจะออกนอกวังตามอำเภอใจก็พบแต่ปัญหา

“โอ้ องค์หญิงซีหลันผู้สูงศักดิ์ลืมเรื่องต่าง ๆ มากมายจริง ก็ใช่ วันนั้นเจ้าอยู่ที่ลานล่าสัตว์ ดวงตาคู่นั้นก็ยุ่งอยู่กับการขยิบตาให้ท่านอ๋องเจ็ด จะว่างมามองคนอย่างพวกเราได้อย่างไร เจ้าฟังให้ดี พ่อของข้าคือรองเจ้ากรมพิธีการ เมี่ยวเหวินชิงข้าเป็นลูกสาวคนโตของเขา เมี่ยวเถียนเถียน” หญิงสาวเงยหน้า กล่าวอย่างลำพองใจ

“ข้าคือรองเจ้ากรมพลเรือน ลูกสาวของเจียงเหวินหยวน เจียงฟางเฟย”

“ข้าคือลูกสาวของรองเจ้ากรมพระคลัง เย่ชวงชวง”

จากนั้นก็เริ่มแนะนำตัวกันที่ละคน ฟังจนเฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว ทำสัญญาณมือให้หยุดอย่างทนไม่ได้ เอ่ยปากกล่าว : “ตำแหน่งขุนนางของพ่อพวกเจ้าต่ำเกินไป ข้าไม่รู้จักพวกเขา และก็ไม่มีทางรู้จักพวกเจ้าด้วย”

“เจ้า เจ้าภูมิใจอะไรนัก ! เป็นแค่องค์หญิงไม่มีใครเอา หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะร้องไห้ไสหัวกลับเป่ยเว่ยไปนานแล้ว คงจะไม่หน้าด้านอยู่เข้าร่วมการคัดเลือกที่นี่แบบเจ้า !” เมี่ยวเถียนเถียนกล่าวเสียงดัง

เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว “อ้อ ข้าว่า พวกเจ้าแต่ละคนจู่ ๆ มารวมกันเช่นนี้ เดิมทีก็เพื่อคัดเลือกนี่เอง ทำไม กลัวว่าข้าจะแย่งความสนใจจากพวกเจ้า ?”

“ถุย พูดจาเหลวไหล อย่าว่าแต่ตอนนี้เจ้าเสียโฉมไปแล้ว ถึงแม้เจ้ามิได้เสียโฉมพวกข้าก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย การคัดเลือกสนมของพวกเราเทียนหลิง ให้ความสำคัญกับคุณธรรมที่จริยศาสตร์ศักดินากำหนดให้สตรีมี ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างเจ้าที่ยั่วยวนชายได้เพียงหน้าตา” เมี่ยวเถียนเถียนกล่าวอย่างดูถูก