พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 248 ยั่วเย้าคน
เฟิ่งชิงหัวเดินกลับออกมาจากบันไดหินสลัก เมื่อผ่านภูเขาเทียม จู่ ๆ ก็ถูกลากเข้าไป เหลียนซินที่เดินอยู่ข้างหลังเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ
“องค์หญิง !” เหลียนซินกำลังจะร้องของความช่วยเหลือ ข้างในก็มีเสียงราบเรียบของเฟิ่งชิงหัวออกมา
“ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าเฝ้าอยู่ข้างนอกก่อน อย่าให้ใครพบ”
“เพคะ” เหลียนซินออกห่างมาจากภูเขาเทียมเล็กน้อย มองดูรอบด้าน ไม่พบใคร ก็ซ่อนตัวอยู่หลังตันไม้หนาทึบอย่างเฉลียวฉลาด
ในภูเขาเทียม เฟิ่งชิงหัวสองแขนกอดอกอย่างไม่มีความผิดมองไปยังชายตรงหน้า : “เจ้ามีเวลาอะไรที่ไม่สามารถกลับไปคุยกับข้า ต้องมาอยู่ที่นี่ ไม่ลงแรงแต่รอหวังผล ?”
“ตอนนี้ข้าก็รอจนพบแล้วมิใช่รึ ?” นัยน์ตาของจ้านเป่ยเซียวลำพองใจ
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะเยาะ : “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะเดินทางนี้ หากข้าเดินเตร่ไปที่อื่นล่ะ ?”
“งั้นข้าก็จะไปจับเจ้าที่อื่น มักมีโอกาสเสมอ” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงเย็น
“ก็ได้ เจ้ามาหาข้าทำไม ?” เฟิ่งชิงหัวถามอย่างหงุดหงิด
ที่นี่คือพระราชวัง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามฐานะของตนก็คือองค์หญิง หากมีคนพบว่า “ประชุมลับ” อยู่กับเขาที่นี่ ถึงเวลานั้นองค์ความสัมพันธ์ของหญิงซีหลันกับท่านอ๋องเจ็ดแพร่สะพัดออกไป จากนั้นไม่ใช่นางที่จะลำบาก
จ้านเป่ยเซียวได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาคลุมเครือ ยืนมือออกไปช้า ๆ โอบรอบเอวของเฟิ่งชิงหัว ; “ข้าไม่อยากทำอะไร เพียงแค่ มือของข้ามันไม่ค่อยฟังคำสั่ง และก็ไม่รู้ว่าเจ้ามีผลกระทบกับมันไหม”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปยังมือของเขา ไม่ได้มีปฏิกิริยาสักพัก กล่าวอย่างตรงไปตรงมา : “มือของเจ้าจะไม่ฟังคำสั่งได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ยังดีอยู่ไม่ใช่รึ ? ข้าดูหน่อย”
ระหว่างที่พูดก็จะดึงมือของเขามาจับชพจรให้ แต่ทว่าจ้านเป่ยเซียวกลับโอบเฟิ่งชิงหัวแน่นกว่าเดิม หน้าอกเป็นระยะ
“เจ้ายิ้มอะไรอีก ? ข้าพูดมันน่าตลกหรือ ?” เฟิ่งชิงหัวไม่เข้าใจ
จ้านเป่ยเซียวกลับกล่าวต่อ : “ไม่เพียงแต่มือนี้ที่ไม่เชื่อฟัง ปากก็ด้วย ไม่ค่อยที่จะเชื่อฟัง ราวกับอยากจะเข้าไปแนบชิดอะไรอยู่ตลอด”
ระหว่างพูด จูบหนึ่งก็ประทับลงบนริมฝีปากของเฟิ่งชิงหัว บดละเอียดไป ๆ มา ๆ
เฟิ่งชิงหัวยื่นมือผลักเขา ตัวลาดเอียงไปข้างหลัง ปฏิกิริยาที่แสดงกลับมา ชายคนนี้ไม่ได้ป่วยสักนิด เห็นชัด ๆ ว่ากำลังลวนลามกันอยู่
ไม่ฟังคำสั่ง เห็นชัด ๆ ว่าตัวเขาเองนั่นแหละใช้วิธีสกปรก
“จ้านเป่ยเซียว เจ้ามีของตกพื้นแล้ว !” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างโมโห
“อะไร ?”
“ศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีของเจ้ามันตกลงพื้นแล้ว รีบเก็บขึ้นมาสิ !”
“ศักดิ์ศรีมีประโยชน์อะไร ข้าไม่ได้กินศักดิ์ศรีเป็นข้าว” จ้านเป่ยเซียวกล่าวในใจ รักษาหน้า จะสามารถโอบกอดหยกเนื้ออ่อนได้ ?
ครั้งนี้เฟิ่งชิงหัวรู้สึกว่าจ้านเป่ยเซียวราวกับเปลี่ยนแกนกลางไปแล้ว หรือว่ามีวิญญาณหนึ่งอยู่ในร่างของเขา มิน่าเล่านิสัยคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนไปได้มากเพียงนี้
ก่อนหน้านี้เป็นคนเย็นชา ขยับไม่ขยับก็อะไร ไม่รู้จักมารยาท ไม่ก็ต้องคงโทษคน ผลสุดท้ายตอนนี้กลับรังแกลวงลามผู้หญิง
“เดี๋ยว ๆ” จู่ ๆ เฟิ่งชิงหัวก็ราวกับหาจุดสำคัญอะไรได้ จ้องมองไปที่จ้านเป่ยเซียวอย่างอันตราย
“เดี๋ยวอะไร ?”
“ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าชอบใบหน้านี้ของข้ามากกว่าใช่หรือไม่ ? เพราะใบหน้าที่ข้าเปลี่ยนตอนนี้มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง เพราะฉะนั้นตอนนี้เจ้าจึงควบคุมไม่ได้ ?”
ถึงแม้ใบหน้านี้จะคล้ายกับนางหกเจ็ดส่วน แต่ก็งดงามน่าประหลาดใจ คนอย่างจ้านเป่ยเซียว หรือว่าจะเป็นคนตัดสินคนจากหน้าตา ?
มิฉะนั้นก่อนหน้าที่นางแต่งงาน เหตุใดไม่เป็นเขากระตือรือร้นเช่นนี้
ส่วนคำประกาศอย่างรุนแรงก่อนหน้าของจ้านเป่ยเซียวที่สองประโยคนั้นราวกับสารภาพรัก เฟิ่งชิงหัวไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
จ้านเป่ยเซียวฟังเฟิ่งชิงหัวพูดเช่นนี้ คิ้วก็ขมวดแน่น ปล่อยเฟิ่งชิงหัว : “เจ้าคิดเช่นนี้ ?”
“ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางเข้าใจที่จู่ ๆ เจ้าก็เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ? หรือว่าไม่ใช่เพราะเห็นใบหน้านี้ ?” เฟิ่งชิงหัวดึงผ้าคลุมหน้าสตรีบนใบหน้า เป็นสีหน้าของจ้านเป่ยเซียวไม่เปลี่ยนแปลง ก็กล่าวอย่างใจกว้าง : “ดูเถอะ ๆ อยากดูก็ดูให้พอ คนบนโลกมีดวงตาเพื่อชื่นชมความสวยงาม ข้าเข้าใจความคิดตื้น ๆ ของผู้ชายอย่างพวกเจ้า”
มองจากเฟิ่งชิงหัว ชายหนุ่มชอบสาวมากกับหญิงสาวชอบหนุ่มรูปงามเหมือนกัน ต่างหลงใหลในความงาม ไม่มีอะไรต้องอาย
สิ่งนี้ไม่ขัดแย้งกับการที่จ้านเป่ยเซียวยอมรับข้อเสนอรักของซีหลันหรือไม่ ใครยังจะทะนงตัวอยู่ได้
แต่ก่อนก็มีเรื่องเล่าไร้สาระ เป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญญาชนผู้มีภรรยาน่าเกลียดและนิสัยดี แต่เขากลับแอบไปดูสาวงามนอกวัดทุกวัน จากนั้นเขาได้รับการช่วยเหลือจากเทพ เปลี่ยนหัวของหญิงงามมาไว้บนตัวภรรยาของตน
รอบร่างกายจ้านเป่ยเซียวเย็นลง จ้องมองไปยังเฟิ่งชิงหัวอย่างมืดหม่น คิดอยากที่จะบีบสมองของนางออกมาดูว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ นึกไม่ถึงว่านางเห็นเขาเป็นผู้ชายที่มีความคิดตื้น ๆ เช่นนี้
“ใครบอกเจ้าว่าข้าชอบใบหน้านี้ ?”
“ไม่ชอบเหรอ ? ข้าว่าสวยมานะ”
“ก็แค่ผิดของคนงามเท่านั้น เดิมทีข้าไม่ชอบผู้หญิงที่สวยงาม” ดวงตาของจ้านเป่ยเซียวจดจ้องเฟิ่งชิงหัวอย่างลึกซึ้ง
เขาพูดตรงขนาดนี้แล้ว นางไม่เข้าใจหรือ ?
เดิมทีเขาไม่สนใจว่านางคือใคร หน้าตาเป็นอย่างไร ที่เขาสนใจคือ คนที่ชอบ เป็นนางตลอดมา
เฟิ่งชิงหัวลูบคางครุ่นคิด มีความงงงวยอยู่ในสายตา ทันทีหลังจากนั้นก็ตระหนักได้หลังจากเห็นหน้ากากของจ้านเป่ยเซียว : “อ้อ แบบนี้นี่เอง ข้าเข้าใจแล้ว”
ระหว่างพูด ก็พยักหน้าอย่างจริงจัง เขย่งปลายเท่าตบไหลของจ้านเป่ยเซียว : “ข้าเข้าใจเจ้าดี”
ในตอนที่ได้ยินนางบอกเข้าใจในใจของจ้านเป่ยเซียวตึงเครียดเล็กน้อย ในตอนที่ได้ยินนางบอกเข้าใจดี กลับเริ่มงงงวย เรื่องเช่นนี้ จะต้องเข้าใจอะไร ?
กำลังคิดเช่นนี้อยู่ ก็ได้ยินเฟิ่งชิงหัวกล่าว : “ข้ามองข้ามความรู้สึกของเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าเสียโฉม เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นใบหน้าที่งดงามหมดจด ก็อยากจะบดมันให้ละเอียดสินะ ? นี่ก็เป็นการตอบสนองความเครียดหลังการบาดเจ็บชนิดหนึ่ง”
เฟิ่งชิงหัวเริ่มปีติยินดี ตนเองมิได้เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง ในเมื่อจ้านเป่ยเซียวป่วยอยู่พักหนึ่ง ทำร้ายนางเสียโฉมจะทำอย่างไร ?
“เฟิ่งชิงหัว บอกว่าเจ้าสมองทึ่มนั่นดูถูกเจ้าแล้ว เจ้ามันเป็นแค่หมู !” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงโมโห จากนั้นก็บินออกจากภูเขาเทียม กระโดดสองสามครั้งก็ไม่เห็นเงาแล้ว
เฟิ่งชิงหัวเดาะลิ้น ลูบ ๆ หัว กล่าวอย่างไรเสียง : “สมองของข้า เป็นที่ยอมรับว่าฉลาดหลักแหลม กล้าพูดว่าข้าเหมือนหมู เจ้านั่นแหละหมู ทั้ง ๆ ที่ถูกข้าพูเรื่องการป่วย กลับกลุ้มใจอายจนโกรธ”
เฟิ่งชิงหัวไม่ได้สนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อีก หลังจากออกมาจากภูเขาเทียม รวมกับเหลียนซิน สองคนก็ค่อย ๆ กลับตำหนักอย่างเอ้อระเหย ทันเวลาข้าวพอดี เรียกอาหารและกินอย่างเต็มอิ่ม
ไม่รู้เลยสักนิดว่า ในตอนนี้บนเวทีประลองหลังจวนของจวนอ๋องเฉิน มีองครักษ์หลายนายนอนเกลื่อนกลาดอยู่นานแล้ว
ด้านนอกเวทีประลององครักษ์ลับสองสามคนกระซิบกับหลิวหยิ่ง : “ท่านผู้บัญชาการ ท่านนายเป็นอะไรหรือขอรับ ? ได้รับบาดเจ็บแต่ยังอยากฝึกทหารทุกคน”
หลิวหยิ่งส่ายหน้า : “ไม่รู้สิ ครั้งนี้ไม่ใช่ความควรจะอยู่ที่พระราชวังเป็นเพื่อนพระชายาหรือ ? ข้าก็แปลกใจ หรือว่าวิธีสอนของข้าไม่ถูกต้อง ยั่วเย้าไม่สำเร็จ ?”
“ท่านสอนอะไรท่านนาย ?” องครักษ์ลับกล่าวถามอย่างสงสัย