ราตรีสวัสดิ์ เซอร์อาเรส! บทที่ 23
ถึงแม้ว่าโรสจะรีบมุ่งไปยังคฤหาสน์โฮไรซอน คอลเลอร์ แล้วแต่เพราะการจราจรที่แอดอัดในช่วงเวลาเร่งรีบก็ทำให้เธอมาสายอีกครั้ง
ร่างสูงของเจย์ที่ยืนอยู่บริเวณระเบียงชั้นสองของคฤหาสน์เพ่งมองความรีบร้อนของหญิงสาวจากด้านบน รอยยิ้มแสยะปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง
“คุณโรส คุณสายนะ”
โรสได้ยินเสียงบ่นเบา ๆ มาจากด้านบนหัวของเธอ ทันทีที่เห็นเจ้าของเสียงนั้นวิญญาณของเธอแทบออกจากร่าง เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม เธอกลับได้รับรอยยิ้มคล้ายสาปสมเป็นการต้อนรับ
ร่างบางหอบเหนื่อย พยายามที่จะผ่อนลมหายใจเข้าออก สิ่งที่เธอต้องทำเพื่อแก้ไขสถานการ์ตรงหน้าคงมีเพียงแค่การรวบรวมคำพูดเพื่อแก้ต่าง “ท่าน—อาเรสคะ—พอดีว่าถนน—การจราจร…” เพียงพูดไม่กี่คำก็หอบเสียแล้ว
‘ท่าน อาเรส ถนน จราจร อะไรนะ? ข่างเป็นประโยคที่เพ้อเจ้อจริง ๆ’
ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มแสดงถึงความมึงตึง
“เธอช่วยพูดให้ฉันเข้าใจอีกทีสิ?” เจย์คำรามในลำคอ
เธอพยายามอธิบายไปพร้อมกับหอบหายใจไปด้วย “ท่านอาเรสคะ—บนถนนรถติดมาก—เพราะแบบนั้น—ดิฉัน—จึงมาสายค่ะ”
ชายหนุ่มยังคงนิ่ง ก่อนจะเดินลงมายังชั้นล่าง
ไม่นานนัก
ร่างสูงกำยำนั่งลงบนโซฟาตัวเก่ง ขายาวเรียวไขว้กันพร้อมจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า
“ในเมื่อเธอมาสาย เธอคิดว่า คราวนี้ฉันควรจะทำยังไงกับเธอดี?”
โรสนึกถึงคำเตือนของเจย์ครั้นเมื่อวานขึ้นได้อย่างฉับไว ถ้าเธอมาสายอีกครั้ง เธอจะไม่มีวันได้เข้ามาทำงานที่นี่อีก
ถ้าเธอต้องเจอเจ้านายนิสัยแบบเจย์ในงานอื่น เธอคงลาออกอย่างรวดเร็วเป็นแน่
แต่ทว่า งานที่คฤหาสน์นี้มันต่างออกไป เธออยากจะชดเชยช่วงเวลาที่เธอนั้นละเลยเจนสัน เธอยอมตายดีกว่าเสียงานนี้ไป
เธอไม่เกรงกลัวความตาย แต่กลับละอายใจมากกว่า
สำหรับตอนนี้ โรสจึงได้แต่พูดว่า “ท่านอาเรส ฉันผิดเองค่ะ”
ร่างสูงยิ้มเหยด “ถ้าขอโทษแล้วเรื่องจะจบง่าย ๆ กฎหมายจะมีไว้ทำไมล่ะ ว่าไหม?”
“ท่านเอเรสคะ ในเมื่อฉันมาทำงานสายไปสามสิบนาที คุณจะให้ฉันทำงานเพิ่มอีกสามสิบนาทีก็ได้ค่ะ ฉันยอมรับมันค่ะ”
ริมฝีปากหมากระตุกยกอย่างเย้ยหยัน “เพิ่มเวลาทำงาน? เธอต้องการให้ฉันทำแค่นั้นใช่ไหม?”
“คุณไม่ต้องจ่ายเงินให้ฉันก็ได้ค่ะ!”
…
ขณะเดียวกัน ด้านนนอกคฤหาสน์
เด็กน้อยพยายามเดินผ่านพุ่มไม้และรั้วลวดหนามอย่างระมัดระวัง
หลังจากเดินวนไปมารอบ ๆ คฤหาสน์อยู่หลายรอบ เขาก็ยังหาทางเข้าไม่เจอซักที ท้ายสุดจึงตัดสินใจสอดตัวลอดผ่านช่องว่างเล็กๆระหว่างโรงรถเข้าไปในห้องใต้ดิน
ภายในชั้นใต้ดินมีลิฟต์ที่สามารถพาเขาไปยังชั้นสามได้โดยตรง
อย่างไรก็ตาม การจะใช้ลิฟต์นั้นจำเป็นต้องใช้ลายนิ้วมือ เด็กชายวางนิ้วเล็กลงบนตัวล็อก พลันแสงอินฟราเรดก็เริ่มสแกนผ่านนิ้วมือ ทันใดนั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก
เด็กน้อยร็อบบี้ถึงกับตกตะลึง
เขามองไปที่มือเล็ก ๆ ของตัวเองพลางอุทาน “ว้าว นี่พระเจ้ามอบลายนิ้วมือโลกคู่ขนานที่เหมือนกันสองคู่ให้ฉันเหรอเนี่ย?”
หลังจากเข้าไปในลิฟต์ได้ เด็กน้อยก็เลือกที่จะไปชั้นสองก่อนเพราะตัวเขาไม่ชอบเลขคี่
เมื่อร็อบบี้ก้าวเท้าออกมาจากลิฟต์ ร่างน้อยพบว่าตัวเองนั้นอยู่บนสวนลอยที่สวยงาม ภายในสวนเต็มไปด้วยกำแพงพุ่มไม้หนาทำให้รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว
ร็อบบี้น้อยถูกดึงดูดใจไปกับดอกไม้สีสันสีสดใสและพืชพันธุ์นานาชนิดภายในสวน พร้อมเครื่องเล่นแปลก ๆ ที่แทบจะเป็นอะไรที่ไม่มีให้เห็นในสนามเด็กเล่นเลย
สไลด์เดอร์คดโค้งตัวยาวตัวนั้นดูท่าทางน่าสนุกที่สุด เด็กน้อยไม่สามารถอดทนต่อแรงดึงดูดเหล่านั้นได้ ร่างเล็กปีนขึ้นไปด้านบน พลางสไลด์ตัวลงมาผ่านส่วนคดโค้งอย่างสนุกสนาน
“นายเป็นใคร?” เสียงเรียบเอ่ยขึ้น
ร็อบบี้สะดุ้งสุดตัว เขาเสียสมดุลจนเผลอสไลด์ตัวลงไปก้มจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้นหญ้าสีเขียว
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมอง แต่กลับไม่เห็นใคร
ร็อบบี้หันหน้ากลับมาทางด้านหลังก่อนจะกรีดร้องอย่างตกใจหลังเห็นเจนสัน
“เห้ย!”
เมื่อเจนสันเห็นร็อบบี้ ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มน้อยเริ่มขมวดคิ้วเป็นปม
ร็อบบี้น้อยก้าวเดินมาด้านหน้า ด้วยสัญชาตญาณทำให้เขาเอื้อมมือออกไปด้านหน้า ก่อนจะจับเข้าที่ใบหน้าและเสื้อผ้าของเจนสัน สิ่งแรงที่เด็กน้อยอื้อนเอ่ยคือ “นี่คือเงาสะท้อนจากกระจกเหรอ?”
แม้ว่าร็อบบี้จะรู้สึกได้ถึงเจนสัน และรู้ว่าคนตรงหน้ามีตัวตนจริง ๆ แต่ที่เขาพูดไปแบบนั้นก็เพราะว่าคนตรงหน้านั้นรูปร่างหน้าตาเหมือนเขาอย่างกับแกะ เพียงแค่เราใส่เสื้อผ้าต่างกันเท่านั้น
“แล้วนายล่ะ เป็นใคร?” ร็อบบี้น้อยถามกลับอย่างใคร่รู้
เจนสันจึงตอบกลับ “ที่นี่คือบ้านของฉัน คำถามนั้นฉันสิควรจะถามนาย”
เด็กน้อยจึงตอบกลับไปเพียงแค่ “ฉันชื่อโรเบิร์ต แล้วนายล่ะ?”
“เจนสัน” เจนตอบกลับไปเพียงแค่นั้น
เด็กทั้งสองต่างมองกันและกันไม่วางตา มันคือเรื่องที่โคตรจะช็อกเลยถ้าเราต้องมาเจอกับคนที่เหมือนไปทุกตารางนิ้วอย่างกับส่องกระจก
“เราต้องเป็นฝาแฝดกันแน่ ๆ” เด็กน้อยร็อบบี้สรุปให้
เจนสันพยักหน้าเห็นด้วย
ร็อบบี้เหยียดแขนออกไปพร้อมยิ้มอย่างดีใจ “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าฉันเป็นพี่หรือเป็นน้องนาย แต่เราควรจะกอดที่เราได้เจอกันซักทีนะ ยินดีที่ได้เจอนะ”
เจนสันได้แต่ยืนนิ่ง นี่เป็นครังแรกเลยที่เด็กคนอื่นทำดีกับเขาแบบนี้
ในขณะที่เจนสันยังคงลังเล เด็กน้อยร็อบบี้จึงเลือกที่จะเข้าไปกอดทักทายก่อน
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่” เจนสันถามอีกครั้ง
เด็กน้อยเกาศรีษะแกก ๆ ด้วยความอาย “ฉันมาตามหาแม่ แต่ฉันมาติดอยู่ในสวนนี่แทน อย่าบอกแม่นะ เข้าใจเปล่า?”
เจนสันได้แต่งุนงง “คุณโรสคือแม่ของนายเหรอ?”
ร็อบบี้จึงพยักหน้ากลับ “และแม่ ก็เป็นแม่ของนายเหมือนกัน”
หน้าหล่อเหลาของเด็กน้อยเจนสันเปลี่ยนไปเป็นเกรี้ยวกราดแทน หลังจากที่เขารู้ตัวแล้วว่าตัวเองโดนหลอกมาตลอด
เมื่อเห็นว่าเจนสันเริ่มไม่สบอารมณ์ ร็อบบี้น้อยจึงยื่นมือเล็ก ๆ ออกไป ก่อนเอ่ย “เจนสัน นายเป็นอะไรไป?”
“ทำไมแม่ต้องการแค่นาย ไม่ใช่ฉัน” เด็กชายพึมพำแผ่วเบา
ร็อบบี้น้อยขมวดคิ้ว คำถามนั้นของเจนสัน ตัวเขาเองก็ตอบไม่ได้ อย่างไรก็ตามเด็กน้อยก็คิดอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าสร้อย
“นายเป็นอะไร?” เจนสันถามออกมา
“แม่ของฉันก็คือแม่ของนาย ส่วนพ่อของนายก็ต้องเป็นพ่อของฉันอย่างแน่นอน แม้ว่าแม่จะเลือกฉัน ไม่ใช่นาย แล้วพ่อล่ะ ทำไมพ่อถึงเลือกนาย ไม่ใช่ฉัน?”
เจนสันได้แต่ยืนนิ่ง
เด็กทั้งสองคนได้แต่หมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกนี้แทบจะครึ่งค่อนวัน ทว่าเด็กน้อยร็อบบี้กลับแนะนำอะไรดีๆขึ้นมาก่อน “เจนสัน อย่าเสียใจไปเลย คุณแม่กับคุณพ่อก็คงจะรู้สึกแย่ที่ต้องเลือกเหมือนกัน เราต้องเชื่อในรักที่พวกท่านมีให้เรานะ นี่ ไม่เห็นเหรอว่าแม่กลับมาหานายแล้ว? นายโชคดีกว่าฉันนะ! ฉันไม่เคยเจอพ่อเลย!”
เจนสันจับมือของเด็กน้อยร็อบบี้ไว้ ก่อนจะเอ่ย “มากับฉัน ฉันจะพานายไปเจอพวกเขา”