ในยามนี้ หลี่ฉางโซ่วได้รายงานเรื่องของโอสถปรารถนากับท่านอาจารย์ของเขา และทันใดนั้น ฉีหยวนพลันตกตะลึงจนรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นกัน
“พวกเราล้วนเป็นสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เหตุใดเรื่องของคู่บำเพ็ญเต๋าถึงเป็นเช่นนี้…อ่า ช่างมันเถิด ฉางโซ่ว เมื่อเจ้ามอบโอสถไป ก็จงอย่าโลภของรางวัลจากบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้น ในขณะนี้ สำนักตู้เซียนได้รับการคุ้มครองจากผู้อาวุโสเหล่านั้น และด้วยการสนับสนุนจากพวกเขาทุกคนเหล่านั้น พวกเราจึงสามารถฝึกฝนได้อย่างสงบสุขปลอดภัยได้” จากนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เขาต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ของเขา แต่เขาก็มิอาจมอบโอสถให้โดยไม่รับผลตอบแทนใดๆ เลยเช่นกัน
และบัดนี้ ด้วยความช่วยเหลือของโอสถปรารถนา แผนการเปลี่ยนแปลงยอดเขาหยกน้อยของหลี่ฉางโซ่วจึงอาจสำเร็จเสร็จสิ้นได้เร็วขึ้นหลายร้อยปีกว่าที่เคยคิดเอาไว้แต่เดิม…
ทันทีที่เสียงระฆังบนยอดเขาพิชิตสวรรค์ดังขึ้น ศิษย์ทั้งสองก็กล่าวคำอำลาอาจารย์ของพวกเขาและขับเคลื่อนเมฆตรงไปยังยอดเขาพิชิตสวรรค์
ระหว่างทางมีเมฆจำนวนมากบินต่ำบ้าง สูงบ้าง ออกมาจากยอดเขาต่างๆ แต่ทั้งหมดล้วนมุ่งไปที่สถานที่จัดการแข่งขันภายในสำนักอย่างรวดเร็ว
สถานที่จัดงานตั้งอยู่ที่เชิงเขายอดเขาพิชิตสวรรค์ ซึ่งมีความลาดชันและมีหุบเขา และในขณะนั้น สถานที่นั้นก็ได้รับการจัดวางเอาไว้แล้ว
กฎกติกาการแข่งขันไม่ซับซ้อนมากนัก บรรดาศิษย์จะจับสลากเพื่อต่อสู้กันเอง ศิษย์ทุกคนล้วนมีโอกาสเข้าทดสอบสิบสองครั้ง และการตัดสินเข้ารอบต่อไปจะขึ้นอยู่กับจำนวนชนะและแพ้ในการทดสอบทั้งสิบสองรอบเบื้องต้นเหล่านั้น จากนั้น ศิษย์สามร้อยหกสิบคนแรกจะได้เข้าสู่รอบต่อไป ซึ่งเป็นวงจรแห่งสวรรค์
มันเป็นวงจรซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งในรอบถัดไปจากนี้ พวกเขาจะยังคงทำซ้ำสิ่งเดียวกัน โดยผู้ชนะหนึ่งร้อยแปดรายจะได้รับการคัดเลือกจากผู้เข้าทดสอบสามร้อยหกสิบราย และรอบถัดไปก็จะเป็นการคัดเลือกเจ็ดสิบสองรายจากหนึ่งร้อยแปดราย และรอบถัดไปก็จะเป็นการคัดเลือกสามสิบหกรายจากเจ็ดสิบสองราย…
เนื่องจากมีศิษย์จำนวนมาก จึงไม่มีการจำกัดเวลาสำหรับการแข่งขันภายในสำนัก ในระหว่างวันนั้น พวกเขาจะต่อสู้ และในยามค่ำคืน พวกเขาก็จะฟังเหล่าผู้อาวุโสในสำนักบรรยายพระสูตรต่างๆ
จากมุมมองนี้ ย่อมรู้ได้ชัดเจนว่า นี่เป็นงานที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงซึ่งจะจัดขึ้นภายในสำนักในทุกๆ สองร้อยปี มันเปรียบได้กับพิธีเปิดสำนักอย่างยิ่งใหญ่ และเวลานี้ หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์มาถึง พวกเขาก็พบมุมที่ไม่เด่นสะดุดตาที่จะพำนักอยู่ได้
โดยปกติแล้ว ยอดเขาที่มีชื่อเสียงมากบางแห่ง เช่น ยอดเขาตันติ่งและยอดเขาเซียนหลิน จะมีการตั้งธงด้วยคำว่า ‘ตัน’ และ ‘หลิน’ ตามลำดับ ซึ่งบรรดาศิษย์ของยอดเขานั้นๆ ก็จะมารวมตัวกันในที่เดียว
พวกเขาบางคนก็ยิ่งวางตัวเป็นกันเองกันอย่างสบายๆ มากขึ้น บรรดาศิษย์ได้มารวมตัวกันพบปะสังสรรค์กับสหายสนิทและมักแวะเวียนมาเยี่ยมกันได้ตามใจชอบบ่อยๆ
บัดนั้น มีเสียงระฆังดังยาวขึ้นเก้าครั้ง
ในขณะนั้น มีเมฆขาวลอยขึ้นและร่อนลงมาไปทั่วทุกหนทุกแห่ง และทั่วทั้งหุบเขาก็เต็มไปด้วยผู้คน
ครั้งสุดท้ายที่มีบรรดาศิษย์จำนวนมากมารวมตัวกันในที่เดียวคือ ยามที่สำนักตู้เซียนเกิดภัยพิบัติ แต่ในเวลานั้น บรรดาศิษย์ต่างก็หนีเอาชีวิตรอดและอยู่ในสภาพที่น่าอนาถนัก
ทุกวันนี้ พวกเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ และกระตือรือร้นที่จะลองทดสอบความสามารถของพวกเขา พวกเขามีท่าทางของเซียนที่มาจากสำนักเซียนที่ยิ่งใหญ่
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ หลี่ฉางโซ่วก็คิดถึงบทกวีน้อย และท่องในใจว่า
ทั่วทั้งภูเขาล้วนตระการ ดารดาษไปด้วยคนหนุ่มสาวรูปงาม และได้ยลโฉมแสนสะคราญทั่วทุกคน
ครั้นเมื่อมองขึ้นไปบนหมู่เมฆ ก็เห็นเหล่าผู้อาวุโสสุดพิเศษเหนือสามัญ
เมื่อเห็นกลุ่มผู้อาวุโสที่กำจัดทิ้งรูปลักษณ์แก่ชราในอดีตของพวกเขาออกไป หลี่ฉางโซ่วก็ตะลึงงันจนรู้สึกอับจนถ้อยคำไปเล็กน้อย
ทันใดนั้น ก็มีเสียงอุทานชื่นชมมาจากบริเวณโดยรอบไม่หยุด เมื่อมีหมู่เมฆขาวจำนวนหลายสิบก้อนบินมาจากยอดเขาพิชิตสวรรค์
คนแรกที่สวมชุดกระโปรงยาวสีแดงเพลิง เส้นผมสีดำของนางถูกมัดเป็นหางม้าเรียบๆ ด้วยผ้าไหมสีฟ้า พร้อมกับสะพายกระบี่ใหญ่อยู่บนหลังอันเป็นสัญลักษณ์ของนาง ใบหน้าของนางเย็นชาดุจน้ำแข็ง ดูงดงามยิ่งกว่าเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ บัดนี้ นางร่อนลงมาอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนสะดุดตาที่สุดซึ่งสงวนเอาไว้สำหรับนาง
นางคือหัวหน้าศิษย์ของรุ่นปัจจุบันนี้ โหย่วฉินเสวียนหย่า
โหย่วฉินเสวียนหย่ากำลังค้นหาบางอย่างท่ามกลางเหล่าฝูงชนก่อนที่จะร่อนลงบนพื้น ซึ่งหลังจากมองไปรอบๆ สองรอบแล้ว ในที่สุดนางก็เห็นคู่หูศิษย์พี่ศิษย์น้อง หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ และมุมปากของนางก็หยักขึ้นเป็นรอยยิ้มทันทีในขณะที่นางพยักหน้าเบาๆ
และทันทีที่โหย่วฉินเสวียนหย่าปรากฏกาย สายตามากมายหลายคู่ก็ไปบรรจบกันที่หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ ทว่าจู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็ถอยห่างออกไปครึ่งก้าวอย่างไร้ร่องรอย และเป็นผลให้ทุกคนต่างพุ่งสายตาไปให้ความสนใจกับหลิงเอ๋อร์ในทันใด
ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์ก็โค้งคำนับแล้วคืนกลับท่าทางเดิมอย่างสง่างาม นางเชิดคางแจ่มกระจ่างขึ้นเล็กน้อยพลางเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาบนริมฝีปากของนางด้วยกิริยาท่าทางมั่นใจ…
บัดนั้น นางก็ได้ยินข้อความเสียงส่งเข้ามาในหูของนาง
“จงจดจำขึ้นใจไว้ว่า เจ้าต้องคัดลอกพระสูตรมั่นคงหนึ่งร้อยจบ”
ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์พลันก้มศีรษะอย่างกะทันหัน และคิดว่า แย่แล้ว หัวใจเต๋าของข้าระทมทุกข์ยิ่ง เหตุใดข้าถึงไม่ถอยหนีออกไปก่อนนะ เหตุใดข้าถึงไม่เลิกคิดเปรียบเทียบตัวเองกับศิษย์พี่โหย่วฉินในยามนี้ และบัดนั้น ในขณะที่บรรดาศิษย์มารวมตัวกันในหุบเขา หมู่เมฆขาวก็ลอยวนเวียนอยู่รอบกายพวกเขา บรรดาเซียนส่วนใหญ่จากสำนักตู้เซียนก็ล้วนมารวมตัวกันที่นั่น และหลังจากได้ยินเสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง ก็มีแท่นหยกพุ่งมาจากโถงตู้เซียนซึ่งมีนักพรตเต๋าหลายสิบคนนั่งอยู่บนนั้น
ปรมาจารย์เจ้าสำนักที่ว่างเปล่า…แค่กๆ นักพรตเต๋าอู๋โหย่ว รองปรมาจารย์เจ้าสำนักผู้สูงส่งจ้งอวี่ ปรมาจารย์ผู้สูงส่งหว่างฉิง และผู้อาวุโสเซียนเทียนคนอื่นๆ ซึ่งมาพร้อมกับแขกหลายสิบคนที่มาถึงก่อนล่วงหน้าสองสามวัน และจากนั้น พวกเขาก็ค่อยๆ เดินออกมาจากแท่นหยกนั้นอย่างช้าๆ
ทว่าหลี่ฉางโซ่วสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายลมปราณจากแท่นหยกและขมวดคิ้วทันที
มีผู้บำเพ็ญจากเกาะเต่าทองมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น ในเวลานี้ ยังมีปรมาจารย์เซียนจินสองคนมาที่นี่ในครั้งนี้อีกด้วย พวกเขากำลังแผ่พุ่งพลังแรงกดดันระดับเซียนจินออกมา บางทีพวกเขาอาจเป็นหนึ่งในสิบจักรพรรดิเซียนสวรรค์
หลี่ฉางโซ่วไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน และนั่นจึงเป็นเพียงแค่การคาดเดาของเขา
ก่อนหน้านี้ มีผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทองจำนวนสามคนเป็นหุ่นเชิดยุงโลหิตและบุกโจมตีสำนักตู้เซียน ซึ่งต่อมา ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูได้ออกมาสอบสวนและพบว่าทั้งสามคนนี้ล้วนถูกควบคุมจิตใจเอาไว้
วันนี้ผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทองได้มาถึงที่นี่เพื่อเข้าร่วมชมพิธีอีกครั้ง พวกเขาคงอยากจะ ‘ขอคืนดี’ กับสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินด้วยท่าทีบ่งบอกถึงการขอโทษในทัศนคติของพวกเขา
แต่ในฐานะศิษย์น้อยเช่นเขา เรื่องนี้ย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย
ทว่าทางด้านหลังที่นั่งของผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทองเหล่านี้ ยังมีศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนกำลังยืนอยู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นผู้ที่หลี่ฉางโซ่วคุ้นเคยด้วยอย่างมาก…
และในขณะนั้น ชายหนุ่มคนนั้นก็สังเกตเห็นหลี่ฉางโซ่วเช่นกัน
จากนั้น เขาจึงกระซิบถ้อยคำสองสามคำที่หูของเซียนจินจากสำนักบำเพ็ญเจี๋ยผู้หนึ่ง ก่อนจะออกมาจากแท่นหยกและบินตรงไปทางหลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์
เขาคือ ศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเจี๋ย องค์ชายรองแห่งวังมังกรทะเลบูรพา รองเจ้าสำนักเทพทะเลทักษิณ และเป็นผู้พิทักษ์มังกรคราม นาม อ๋าวอี่!
“พี่ฉางโซ่ว!” “โอ้ พี่อี่ เป็นอย่างไรบ้าง” “ขอบคุณ พี่ฉางโซ่ว ข้าสบายดี”
และจากนั้น พวกเขาทั้งสองต่างก็มองหน้ากันโดยไม่เอ่ยวาจาใด
ตามกฎของสำนักเทพทะเลทักษิณแล้ว การสนทนาง่ายๆ ในตอนนี้ จริงๆ แล้วจะหมายถึงว่า “คารวะท่านเจ้าสำนัก!” “รองเจ้าสำนัก ไม่ต้องมากพิธี ทุกคนที่นี่กำลังมองดูอยู่”
“เมื่อไม่นานนี้ สำนักเทพทะเลทำได้ดี ท่านเจ้าสำนัก โปรดวางใจ ท่านสามารถมุ่งฝึกฝนต่อไปได้อย่างสบายใจ…”
และอื่นๆ อีกมากมายต่อไป…
แม้ทั้งสองคนจะเล่นปริศนาแสร้งโง่และไม่ได้เปิดเผยสิ่งใดเลย แต่ก็ไม่ใช่ความลับที่อ๋าวอี่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลี่ฉางโซ่วในสำนักตู้เซียน
ทว่าในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วกลับรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
บัดนี้ ทางด้านซ้ายของเขามีสตรีน้อย นางคือ ศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาที่งดงามราวบุปผาหยก ในขณะนี้ อันดับเซียนในสำนักของนางพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และบางครั้งก็มีบรรดาศิษย์ชายส่งสายตามองมาที่นาง
ส่วนทางด้านขวาของเขานั้นคือ ชายหนุ่มที่มีภูมิหลังทรงพลังยิ่งใหญ่ เขามีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและมีเขามังกรคู่หนึ่งอยู่บนศีรษะซึ่งทำให้ดูน่ารักทีเดียว ซึ่งบางครั้งก็มีบรรดาศิษย์หญิงส่งสายตาชม้ายมองมาที่เขาเช่นกัน
บัดนั้น หลี่ฉางโซ่วซึ่งยืนอยู่ตรงกลางก็พูดไม่ออก
เขามีความรู้สึกว่า บัดนี้ กิจวัตรประจำวันที่สงบสุข สบาย และเรียบง่ายซึ่งเขาเคยอยู่มานานนับแปดสิบเก้าปีได้หายไปตลอดกาลแล้ว