ตอนที่ 120.1 การต่อสู้ระหว่างสองผู้เยี่ยมยุทธ์ (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ในฐานะศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย มันดูไม่สมเหตุผลนักที่อ๋าวอี่จะมายืนเคียงข้างกับศิษย์ของสำนักตู้เซียนอยู่ตลอดเวลา

โชคดีที่องค์ชายผู้นี้รู้ว่าข้าเป็นตัวแทนบุญที่ได้รับมอบหมายจากปรมาจารย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ดังนั้นจึงต้องเก็บตัวตนของข้าเอาไว้เป็นความลับ

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงตัดสินใจที่จะเกลี้ยกล่อมเขาผ่านพลังปราณส่งเสียง และอ๋าวอี่ก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “เอาไว้หลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขันภายในสำนักแล้ว ข้าค่อยมาคุยกับพี่ฉางโซ่วอีกครั้ง”

หลังจากนั้น อ๋าวอี่ก็ขับเคลื่อนก้อนเมฆของเขาและบินกลับไปที่แท่นหยกก่อนจะกลับไปอยู่ที่ด้านข้างของหานจื่อ และศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ…

ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วก็ขับเคลื่อนก้อนเมฆของเขาและบินออกมาจากแท่นหยก ชั่วขณะนั้น บรรดาศิษย์และคนอื่นๆ ในสำนักที่อยู่ด้านล่างต่างกลั้นหายใจและเฝ้ามองอย่างจดจ่อ บัดนี้ทั่วทั้งสำนักล้วนเงียบกริบในขณะที่หลี่ฉางโซ่วสัมผัสมันอย่างระมัดระวังและตระหนักได้ว่าลมปราณของเจ้าสำนักยังคงไม่เสถียร และเขาอาจยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ

หลังจากนั้นไม่นาน จี้อู๋โหย่วก็กล่าวออกมา เสียงของเขาก็ดังก้องกังวาน แผ่กระจายออกไปทั่วทั้งสำนัก… “แค่กๆ…ในวันอันเป็นมงคลนี้ บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักตู้เซียน ที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามาเมื่อเกือบสองร้อยปีก่อนล้วนมารวมตัวกันที่นี่…แค่กๆ…การแข่งขันภายในสำนักครั้งใหญ่ในวันนี้ หาใช่เพื่อการจัดอันดับของพวกเจ้าไม่ การจัดอันดับเป็นเพียงเพื่อประโยชน์ในการดูแลการฝึกฝนของพวกเจ้าเท่านั้น แม้พวกเจ้าจะไม่อาจไล่ตาม และไม่ติดอันดับใดๆ แต่พวกเจ้าก็อาจพัฒนาจนก้าวหน้าและทำได้ในอนาคต บัดนี้ ดูเหมือนว่า การบุกของเหล่าปีศาจเมื่อก่อนหน้านี้ ทำให้ข้าได้ประจักษ์ชัดถึงความมุ่งมั่นของพวกเจ้าที่ต่อสู้ทั้งรุกและรับเคียงข้างไปกับเหล่าอาจารย์และปรมาจารย์ของพวกเจ้าในสำนักที่ปรากฏให้เห็นในขณะนั้น ทำให้ข้ารู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง” “ในยามนี้ การประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋ากำลังจะถูกจัดขึ้นมาในเวลาอันใกล้นี้แล้ว พวกเรา คนของสำนักตู้เซียน ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยท่านปรมาจารย์เสิ่นตู้เอ้อร์ และเป็นส่วนหนึ่งของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ย่อมต้องเข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ และในการแข่งขันภายในสำนักครั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในอันดับสามสิบหกอันดับแรกหรือผู้ได้รับการแนะนำจากเหล่าผู้อาวุโส จะสามารถติดตามข้า เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมที่ดินแดนเทวะมัชฌิมาได้…”

หลี่ฉางโซ่วพลันขมวดคิ้วเล็กน้อยในทันทีที่ได้ยินคำพูดของท่านเจ้าสำนัก

สามสิบหกคนแรกต้องไปเข้าร่วมการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋า?

หลังจากได้รับประสบการณ์บางส่วนจากงานการประชุมกวาดล้างปีศาจที่วังมังกรในครั้งก่อน หลี่ฉางโซ่วก็ไม่อยากเข้าร่วมงานใหญ่โตเช่นนี้อีก เขาเพียงต้องการซ่อนตัวอยู่ในภูเขาและฝึกฝนอย่างสงบสุขตลอดไปเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อขอบเขตพลังการฝึกฝนของโหย่วฉินเสวียนหย่ารุดหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางฉายประกายกล้าและกลายเป็นที่จับตามองมากขึ้นเรื่อยๆ หากมีบุรุษผู้หลงใหลนางสักหนึ่งหรือสองคนที่ปราศจากมโนธรรมใดๆ มาปรากฏกายขึ้น พวกเขาย่อมจะมาเรียกร้องเจรจาและอยากต่อสู้กับเขา ผู้เป็น ‘สหายธรรมดาของศิษย์น้องหญิงโหย่วฉิน’…นั่นคงจะเลวร้ายอย่างมาก และในการประชุมเยี่ยงนั้น ย่อมจะมีบรรดาปรมาจารย์มากมายมารวมตัวกัน ซึ่งอาจมีระดับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในระดับเดียวกับสิบสองเซียนจินแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน

เช่นนั้น การปลอมตัวของเขาอาจไม่เพียงพอแล้ว

หากเขาดึงดูดความสนใจขึ้นมา มันย่อมจะง่ายที่จะพัฒนาเรื่องราวจนบานปลายออกไปจนเขาไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป…

หรือจะจำกัดอันดับของข้าไว้อันดับที่สามสิบเจ็ดถึงอันดับที่สี่สิบดี

และในขณะที่หลี่ฉางโซ่วกำลังตัดสินใจอยู่นั้น เขาก็ตระหนักว่ามีสายตามากมายกำลังจับจ้องมาที่เขา

เขาจึงแอบตรวจสอบแหล่งที่มาของสายตาเหล่านั้นอย่างเงียบๆ

จากนั้น เขาจึงพบว่า สายตาจับจ้องเหล่านั้นเป็นของผู้อาวุโสว่านหลินหยุน ซึ่งอยู่บนแท่นหยก ผู้อาวุโสของสำนักที่อยู่รอบข้างสองสามคนที่คุ้นเคยกับหอไป่ฝาน และผู้อาวุโสเซียนเทียนสองสามคนที่เปล่งประกายเจิดจ้าและทรงพลัง

หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที

ข้าควรคิดหาวิธีปรับปรุงทักษะสงบลมปราณเต๋าต่อไป

ดูจากรูปการแล้วน่าจะดุจดั่งยืนอยู่ริมทะเลสาบต้าหมิง หากไม่พบย่อมไม่เลิกรา[1] ใช่หรือไม่ เช่นนั้น ข้าคงทำได้เพียงเตรียมการสำหรับการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋าครั้งนี้ล่วงหน้า และจัดการกับมันอย่างระมัดระวัง

แล้วการแข่งขันภายในสำนักก็ดำเนินการไปทีละส่วนตามขั้นตอนของงานที่กำหนดไว้

หลังจากที่เจ้าสำนักกล่าวจบ เขาก็มอบเวลาให้รองเจ้าสำนักกล่าว ตามด้วยผู้อาวุโสใหญ่…

และในท้ายที่สุด ผู้อาวุโสเก่อจากหอไป่ฝาน ก็ปรากฏตัวขึ้นและประกาศเริ่มต้นการแข่งขันภายในสำนักอย่างเป็นทางการทันที

ทันใดนั้น ก็มีผู้อาวุโสใหญ่สองคนบินออกมาจากแท่นหยก เส้นผมสีขาวของพวกเขาปลิวไสวไปตามสายลม ในขณะที่ร่างผอมบางของพวกเขาล้วนดูไม่ธรรมดา

ในขณะนั้น แขนเสื้อยาวทั้งสี่พลันพลิ้วสะบัดไปในอากาศขณะที่สาดประกายแสงดาวจำนวนมากออกไป ภาพเหตุการณ์นั้นค่อนข้างน่าตื่นตาตื่นใจ จากนั้น แสงดาวเหล่านั้นก็กลายเป็นแผ่นหยกที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา แล้วปล่อยให้ศิษย์แต่ละคนหยิบไปคนละหนึ่งแผ่น

มีหมายเลขบนแผ่นหยก ซึ่งเป็นหมายเลขต่อเนื่องกัน หมายเลขชุดแรกจะเป็นหมายเลขหนึ่งตามระบบต้นฟ้า[2]ในสิบลำดับแรก ได้แก่ เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง อู้ จี่ เกิง ซิน เหริน กุ่ย ตามด้วยหมายเลขสามตัว ซึ่งหมายเลขของ หลี่ฉางโซ่ว คือ ติงหลิงเอ้อร์[3] ในขณะที่หมายเลขของหลิงเอ๋อร์ คือ ซินอี่เอ้อร์อี่[4]

น่าแปลกที่ระบบหมายเลขต่อเนื่องเหล่านี้เหมือนกับวิธีที่หลี่ฉางโซ่วใช้ในการทำเครื่องหมายถุงเก็บสมบัติขนาด ‘เล็ก’ ที่เขาสร้างขึ้นมา

หากหยกของพวกเขาติดไฟขึ้นมาในภายหลัง นั่นหมายความว่า พวกเขาจะต้องต่อสู้

นอกเหนือจากหมายเลขประจำตัวของพวกเขาแล้ว ยังมีช่องสี่เหลี่ยมว่างเปล่าสิบสองช่องบนแผ่นหยกแต่ละแผ่นอีกด้วย ซึ่งหากพวกเขาต่อสู้ชนะในภายหลัง สี่เหลี่ยมบนแผ่นหยกแต่ละอันก็จะส่องแสงสว่างขึ้น

แผ่นหยกเหล่านี้เป็นสมบัติและอาวุธเวททั้งชุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงมีข้อความเขียนด้วยตัวอักษรขนาดเล็กที่ด้านหลังว่า ‘ห้ามทำลายแผ่นหยก จงส่งคืนหลังการแข่งขัน หากทำสูญหาย จะถูกระงับทุกอย่างเป็นเวลาครึ่งปี’

ทันใดนั้น ผู้บริหารเซียนเสิ่นหลายสิบคนจากสำนักต่าง ๆ ก็เข้ามาในสถานที่ก่อนและยืนอยู่ที่ตำแหน่งของตนในบริเวณรอบนอก ในขณะที่มีศิษย์สองคนที่จะต่อสู้กันในรอบแรกได้เข้าสู่ลานประลองพร้อมด้วยแผ่นหยกเรืองแสงและกำลังรอเวลาการต่อสู้ของพวกเขาอยู่แล้ว

ชั่วขณะนั้น บรรดาศิษย์ทั้งใกล้และไกลทั้งหมดเริ่มนั่งลง ผู้ที่มีความเฉพาะพิเศษกว่าก็จะนำเบาะรองนั่งสมาธิและเบาะรองนั่งออกมา และคนที่เรียบง่ายกว่าก็จะนั่งลงบนพื้นและสัมผัสกับพื้นดินอย่างใกล้ชิด

“ศิษย์พี่…”

หลิงเอ๋อร์ตะโกนเบาๆ จากทางด้านข้างพลางหยิบเบาะรองนั่งสมาธิสองใบและตะกร้าไม้ไผ่ออกมาจากสร้อยข้อมือหยกซึ่งทำหน้าที่เป็นคลังเวทจัดเก็บ และยังจงใจวางเบาะนั่งสมาธินั้นให้ห่างออกไปห้าฉื่อ

ชั่วขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วกล่าวผ่านพลังปราณส่งเสียงว่า “ผลงานของเจ้าไม่เลว เช่นนั้นก็หักจำนวนการคัดลอกของเจ้าลง คงเหลือให้เจ้าต้องคัดลอกพระสูตรมั่นคง ห้าสิบจบ”

ทันใดนั้น หลานหลิงเอ๋อร์ก็เม้มปากแล้วพึมพำว่า “ศิษย์พี่หน้าเหม็น ข้าไม่ได้ทำเพราะจะได้คัดลอกพระสูตรให้น้อยลงสักหน่อยนะ”

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องลด”

“เฮ้ ไม่นะ ไม่เจ้าค่ะ…”

ฉับพลันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ยิ้มแล้วหรี่ตามองขณะรวบชายเสื้อคลุมเต๋าขึ้นมาด้านหน้าและนั่งลงกับศิษย์น้องหญิงของเขา

ในขณะนั้น ทั้งสองคนเพิ่งนั่งลง และหลิงเอ๋อร์ยังไม่ทันได้หยิบตะกร้าอาหารและชาสมุนไพรเย็นที่นางเตรียมเอาไว้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา จู่ๆ ก็มีมือขาวคู่งามเอื้อมมือมาจากทางด้านหลังและแอบกอดตะกร้าเอาไว้อย่างลับๆ…“ฮิฮิ ขอข้าดูหน่อยสิว่า หลิงเอ๋อร์ทำอาหารอร่อยๆ อะไรมาอีก”

บัดนั้น จิ่วจิ่วก็แอบย่องเข้าไปนั่งตรงกลางระหว่างทั้งสองคน และเปิดผ้าคลุมบนตะกร้าไม้ไผ่ขึ้น

แล้วทันใดนั้น ก็มีสายตาจำนวนมากต่างพากันจับจ้องมองมาที่พวกเขา ศิษย์หลายคนที่ไม่เคยเห็นอาจารย์อาจิ่วจิ่วล้วนตื่นตกใจ…

หลี่ฉางโซ่วคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว เขาจึงยังคงสงบและหลับตาลงเพื่อพักผ่อน

ส่วนหลิงเอ๋อร์ก็เชื่อฟังนางในฐานะอาจารย์อา เนื่องจากอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย นางจึงไม่กล้าโต้แย้งจิ่วจิ่ว จึงได้แต่เฝ้ามองดูขนมที่นางทุ่มเททำมาด้วยความอุตสาหะเติมเต็มความชั่วร้ายของอาจารย์อาจิ่วจิ่วแทน…ในขณะนั้น จิ่วจิ่วและหลิงเอ๋อร์นั่งด้วยกัน และมันกลายเป็นภาพประชันโฉมสะคราญที่งดงามน่าดูและน่ารื่นรมย์ใจอย่างยิ่งในสายตาของบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ทว่าเมื่อจิ่วจิ่วย้ายไปอยู่ด้านข้างหลี่ฉางโซ่ว แล้วถามเขาว่าเขาคิดจะต่อสู้อย่างไรในภายหลัง จู่ๆ สีหน้าของบรรดาศิษย์ทั้งหลายเหล่านั้นก็พลันเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

“ในด้านการต่อสู้ ข้าทำได้เพียงปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์เท่านั้น” หลี่ฉางโซ่วกล่าวขณะหัวเราะเบาๆ

จิ่วจิ่วไม่ถามอะไรมาก นางให้กำลังใจเขาก่อนจะหันกลับมาชี้แนะหลิงเอ๋อร์อย่างระมัดระวัง

การต่อสู้ดำเนินไปทีละคนเรื่อยๆ หลี่ฉางโซ่วแอบกวาดพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไป เขาสังเกตดูแม้ว่าการต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญในรุ่นเดียวกันจะไม่เป็นประโยชน์สำหรับเขาอีกต่อไป ในอดีตนั้น บางกระบวนท่าที่ใช้ในการต่อสู้ดูเหมือนจะเป็นแนวทางอันล้ำค่าจากเหล่าเซียน แต่ยามนี้ มันกลับดูเหมือนท่วงท่าร่ายรำที่น่าอับอาย…ทว่าเมื่อเขามองลึกลงไปอีกเล็กน้อย เขาจะสามารถแสร้งทำได้เป็นธรรมชาติมากขึ้นได้ในภายหลัง

ในนัดที่เจ็ดสิบเก้าของรอบแรก หลิงเอ๋อร์ก็ไปปรากฏกายขึ้นพร้อมกับถือสมบัติอมตะเอาไว้ในมือสองสามชิ้นในขณะที่เผยให้เห็นขอบเขตพลังสร้างวิญญาณเทพขั้นเก้าของนาง ซึ่งสามารถเอาชนะศิษย์อาวุโสกว่าที่อยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาได้อย่างง่ายดาย

หลี่ฉางโซ่วค่อนข้างพอใจกับผลงานของหลิงเอ๋อร์และเริ่มแอบส่งข้อความเสียงชื่นชมนางลับๆ

ทันใดนั้น แม้ใบหน้าของหลิงเอ๋อร์จะไม่เผยความรู้สึกใดๆ ราวกับผิวน้ำสงบนิ่ง แต่ในหัวใจของนางก็เบ่งบานด้วยความปีติยินดีอย่างยิ่ง

ขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วยังคงรอต่อไป เขาต้องต่อสู้รอบแรกในช่วงบ่าย ทว่าในระหว่างการแข่งขันนัดที่สามร้อยหกสิบสอง จู่ๆ แผ่นหยกในมือของหลี่ฉางโซ่วพลันสั่น และเปล่งแสงระยิบระยับออกมาเล็กน้อย จากนั้นผู้บริหารของสำนักก็ตะโกนหมายเลขแผ่นหยกในมือของเขาออกมา แล้วหลี่ฉางโซ่วก็ลุกยืนขึ้นก่อนจะบินตรงไปที่ลานประลอง

[1] ไม่พบย่อมไม่เลิกรา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพบเจอ

[2] ระบบต้นฟ้า ระบบการนับของจีนโบราณ ซึ่งจะมีต้นฟ้า กิ่งดิน เดิมทีใช้นับวัน เดือน ตามปฏิทินจีนโบราณ แล้วได้นำมาใช้ทางโหราศาสตร์รวมถึงปีนักษัตร ราศีบน ราศีล่างด้วย

[3] ติงหลิงเอ้อร์ ติงศูนย์สองหก หรือเทียบได้กับ D026

[4] ซินอี่เอ้อร์อี่ ซินหนึ่งสองหนึ่ง หรือหรือเทียบได้กับ H121