ในเวลาเดียวกันนั้น ศิษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้ธงของยอดเขาเซียนหลินก็บินออกไปและยิ้มให้หลี่ฉางโซ่ว
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากเฝ้าติดตามดูยอดเขาเซียนหลินมาหลายปี เขารู้ดีว่าคนผู้นี้เป็นใคร เขาเป็นต้นกล้าอมตะจากยอดเขาเซียนหลิน ซึ่งอยู่ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นสอง และครองอันดับที่สิบเก้าของสำนัก เขาล้ำหน้าหลี่ฉางโซ่วไปหนึ่งขั้น ช่างบังเอิญสุดๆ อะไรเช่นนี้หนอ!
ทว่านี่ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ก่อนหน้านี้ ข้ายังได้พบกับต้นกล้าอมตะที่มีอันดับในสำนักใกล้เคียงกัน ดูเหมือนว่า เหล่าผู้อาวุโสจะจงใจจัดการจับคู่การต่อสู้ให้ ‘พอฟัดพอเหวี่ยงกัน’ ทุกๆ ครึ่งชั่วยาม
ทั้งคู่ร่อนลงไปบนพื้นราบซึ่งเสริมด้วยค่ายกล พร้อมกันนั้น ผู้ดูแลการประลองระดับบริหารของสำนักสองคนก็เดินไปข้างหน้าและตรวจดูแผ่นหยกในมือของพวกเขาทั้งสอง และชี้แจงกฎของการหยุดในเวลาที่เหมาะสมให้แก่พวกเขา
ก่อนหน้านี้มีศิษย์ที่บังเอิญทำร้ายสหายศิษย์ร่วมสำนักเพราะการต่อสู้ที่ดุเดือดเกินไปและไม่อาจหยุดยั้งได้มาแล้ว
หลังจากที่ผู้ดูแลการประลองของสำนักทั้งสองคนยืนยันว่าไม่มีข้อผิดพลาด พวกเขาก็ถอยกลับไป จากนั้น หลี่ฉางโซ่วและศิษย์ของยอดเขาเซียนหลินต่างก็โค้งคำนับให้กันและกัน
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันได้ยินข้อความเสียงหนึ่ง
“ศิษย์พี่หลี่ เหตุใดวันนี้พวกเราไม่ลองดูสักหน่อยเล่า ไม่จำเป็นต้องหยุดตามกฎทันทีหลังจากที่ท่านได้แต้มแล้ว” หลี่ฉางโซ่วยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วยันต์มากมายก็บินออกมาจากแขนเสื้อของเขาทันที
เขาจะตั้งรับแล้วโต้กลับ! เขาจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้กับศิษย์ของยอดเขาเซียนหลิน แต่เขาก็จะไม่ชนะอย่างง่ายดายเกินไปเช่นกัน เพราะพวกเขาทั้งสองครองขอบเขตพลังการฝึกฝนใกล้เคียงกัน
ศิษย์ของยอดเขาเซียนหลินคนนี้ คงทำการบ้านมาแล้ว และได้ศึกษาว่าเหล่าศิษย์ชั้นยอดในสำนักต่อสู้กันอย่างไรเมื่อก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ หลี่ฉางโซ่ว และอ๋าวอี่ยังเคยปะทะกันเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ในสำนักล้วนได้ประจักษ์ตา ในขณะนั้น ศิษย์ของยอดเขาเซียนหลินก็ได้หยิบอาวุธเวทออกมาสามชิ้น เขาถือกระบี่ไม้สายฟ้าและมีดอกเหมยอยู่บนศีรษะของเขา นอกจากนี้ยังมีไข่มุกล้ำค่าลอยอยู่รอบตัวเขา ซึ่งส่งรัศมีพิเศษออกมา บัดนั้น ไม่มีจุดบอดในการป้องกันร่างกายของเขาเลย จากนั้นเขาก็บินขึ้นไปในอากาศพร้อมกับชี้กระบี่ไม้ของเขาไปที่หลี่ฉางโซ่ว
บัดนั้น สายฟ้าขนาดเล็กจำนวนหลายสิบสายกำลังเปล่งประกาย ก่อนจะก่อตัวเป็นวิหคสายฟ้าที่มีปีกยาวกว่าสิบฉื่อแล้วพุ่งตรงไปทางหลี่ฉางโซ่วทันที ฉับพลันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็กระแทกเท้าของเขาลงไปเบาๆ แล้วผลักดันทะยานร่างของเขาบินถอยหลังออกไป จากนั้นเขาก็รีบผนึกมือของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วจู่ๆ ก็มียันต์สีเหลืองเจ็ดสิบสองแผ่นลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา แล้วรวมตัวเป็นค่ายกลยันต์เพลิงพิภพ
ทันใดนั้น ก็มีแท่งเพลิงพุ่งออกมาจากค่ายกลยันต์ไฟพิภพและแทบจะกระแทกวิหคสายฟ้าออกไปได้จนถึงจุดที่แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ
ในขณะนั้น เท้าของหลี่ฉางโซ่วก็แตะลงไปพื้นอีกครั้ง แล้วร่างของเขาก็ทรุดตัวลงไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว
ศิษย์ของยอดเขาเซียนหลินพลันเผยท่าทีเย้ยหยัน เมื่อเห็นเช่นนั้น แล้วเริ่มร่ายเวทผนึกน้ำแข็ง ด้วยมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้น ชั้นน้ำแข็งก็ปรากฏขึ้นบนพื้นและแผ่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่า เขาเตรียมพร้อมแล้ว
แต่ค่ายกลยันต์เพลิงพิภพก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย และยังเรียกอสรพิษไฟเต็มไปทั่วท้องฟ้าแล้วพุ่งตัวไล่ตามศิษย์ของยอดเขาเซียนหลิน
ทันใดนั้นไข่มุกก็ส่องประกายแสงเจิดจ้า แล้วดอกเหมยสีแดงเหนือศีรษะของเขาก็เบ่งบานเป็นประกายแล้วปกป้องศิษย์ของยอดเขาเซียนหลินเอาไว้…
ชั่วขณะหนึ่งนั้น เปลวเพลิงก็หรี่ลง และสายฟ้าก็กะพริบแปลบปลาบอยู่ครู่หนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วพลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว เขาหลีกเลี่ยงไม่ให้พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของอีกฝ่ายถูกตั้งเป้าเอาไว้กับเขา
ในช่วงเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งนี้นั้น บรรดาศิษย์ส่วนใหญ่ต่างก็เฝ้าดูด้วยความเพลิดเพลินอยู่แล้ว แน่นอนว่า มันเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญซึ่งอยู่ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถี
เวลานี้ หลี่ฉางโซ่วซ่อนตัวอยู่ใต้ดินด้วยความเร็วคงที่ เขาควบคุมค่ายกลยันต์และปล่อยให้มันรบกวนศัตรูอย่างต่อเนื่อง แล้วตัดสินใจที่จะยืนหยัดต่อสู้กับศิษย์ขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเอาชนะการต่อสู้ได้ในสถานการณ์ที่อันตราย…
หลังจากช่วงเวลาของการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้ ค่ายกลยันต์ของหลี่ฉางโซ่วก็ได้ถูกแทนที่ด้วยยันต์สองแผ่นอย่างเงียบๆ แล้ว
ชั่วพริบตานั้น แสงสมบัติที่เปล่งประกายรอบๆ ร่างของศิษย์ของยอดเขาเซียนหลินพลันเริ่มอ่อนลง
ในขณะนั้น แม้อาวุธเวทจะดี แต่เขาก็ต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเพื่อให้มันดำเนินต่อไป คนผู้นี้เสียสละสมบัติสามชิ้นไปในเวลาเดียวกัน แต่เขาก็ยังไม่พบร่องรอยของหลี่ฉางโซ่วเลย จนถูกบีบให้ต่อสู้อย่างยืดเยื้อยาวนาน…
ทุกคนสามารถเห็นได้ว่าถึงแม้หลี่ฉางโซ่จะดูน่าอายเล็กน้อยจากการใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย แต่ก็มั่นใจได้ว่าเขาจะชนะ
บัดนี้ ศิษย์ของยอดเขาเซียนหลินดูวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว จู่ๆ เขาก็กล่าวเสียงดังอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดกัน เหตุใดพี่หลี่ถึงเอาแต่มุดหลบลงดินเท่านั้น นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ท่านรู้ใช่หรือไม่ ช่างมีท่าทางเหมือนกับยอดเขาหยกน้อยของท่านจริงๆ!”
ทันใดนั้น บรรดาศิษย์หลายคนต่างพากันขมวดคิ้วและรู้สึกว่าศิษย์ของยอดเขาเซียนหลินนั้น หยาบคายนัก ทว่าสีหน้าท่าทีของหลี่ฉางโซ่วยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่เขาอยู่ใต้ดิน แล้วมันจะเกิดอันใดขึ้น หากเขาพูดเร็วๆ ออกมาเล่า
หลี่ฉางโซ่วจะไม่ถือสาเรื่องนี้กับสหายศิษย์ขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีอีกต่อไป…
แต่เขายังต้องพิจารณาว่าเขาควรทำอย่างไร เพราะในท้ายที่สุดก็มีความแค้นระหว่างสองยอดเขา
ดังนั้น…
ฉับพลันนั้น ก็มียันต์อยู่บนท้องฟ้ามากขึ้นโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว จากยันต์เจ็ดสิบสองแผ่นเป็นหนึ่งร้อยแปดแผ่น จากนั้นพวกมันยังคงค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนเป็นจำนวนสามร้อยหกสิบแผ่น ซึ่งเป็นจำนวนของวัฏจักรสวรรค์
ในขณะนั้น บนแท่นหยก อ๋าวอี่พลันเลิกคิ้วขึ้น…พลังของค่ายกลยันต์นี้
เขาเคยมีประสบการณ์กับมันมาก่อนแล้ว และมันก็ดีทีเดียว
ยันต์สามร้อยหกสิบแผ่นได้สำแดงพลังออกมาพร้อมกัน แล้วเพลิงสวรรค์อันไร้ที่สิ้นสุดก็ลุกโชนปั่นป่วนอยู่บนท้องฟ้า ในขณะที่แท่งเพลิงยังคงตกลงมา
ศิษย์ของยอดเขาเซียนหลินสกัดกั้นทั้งทางซ้ายและย้ายไปขวา และอาวุธเวททั้งสามก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง จนพวกมันไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป จากนั้น ศิษย์ของยอดเขาเซียนหลินกำลังจะทุ่มสุดตัว เขาชูไข่มุกขึ้น แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีเสียงไฟคำรามอยู่ข้างหลังเขา
เมื่อเขามองขึ้นไป เขาก็เห็นเปลวเพลิงสวรรค์ที่ลุกโชนพลุ่งพล่านอยู่เหนือเขา และก่อตัวเป็นเท้าขนาดใหญ่แล้วกระทืบลงมา!
เวลานี้ สีหน้าของศิษย์จากยอดเขาเซียนหลินพลันเปลี่ยนไป เขาพยายามต่อสู้สุดกำลังเพื่อปกป้องตัวเอง แม้เขาจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปกป้องตัวเอง แต่เขาก็ยังถูกเท้ากระทืบอย่างดุเดือด และร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว! และเมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นกำลังจะร่วงลงไปกับพื้น จู่ๆ ผู้ดูแลการประลองระดับบริหารที่อยู่ด้านข้างจึงประกาศชื่อผู้ชนะออกมาทันที
ในเสี้ยวอึดใจนั้น จู่ๆ ก็มีบางสิ่งปรากฏขึ้นบนพื้น หัวของมันหนาและบาง และทั้งตัวของมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลมคม มันเจาะทะลุชั้นน้ำแข็งและยื่นออกมาครึ่งฉื่ออย่างง่ายดาย แล้วเล็งเป้าไปยังร่างที่กำลังร่วงลงมาจากด้านบน…
คทาหนาม!
มันคือคทาหนามซึ่งเป็นคทาอาวุธเวทที่บรรดาศิษย์ ล้วนเคยเห็นมาก่อนแล้ว!
บัดนั้น ศิษย์จากยอดเขาเซียนหลินคนนี้มีพลังธรรมเหลืออยู่ไม่มากนักแล้ว และไม่สามารถใช้อาวุธเวทของเขาได้อีกต่อไป!
เขาไม่รู้ว่าคทาหนามจงใจเล็งเป้าไปที่ศิษย์ผู้นั้นหรือไม่ แต่บังเอิญมันถูกเล็งไปที่บั้นท้ายของเขา ซึ่งจะไม่ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส…แล้วทันใดนั้น เลือดพลันพุ่งสาดกระเซ็นออกไปสามฉื่อ! บรรดาศิษย์ทุกคนล้วนกลั้นหายใจ ศิษย์หญิงที่อยู่รอบๆ ต่างพากันปิดตา ไม่กล้ามอง ในขณะที่บนแท่นหยกนั้น อ๋าวอี่ยังมีเหงื่อเย็นออกมาจากด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว…คทาหนามแหลมหยุดลงทันทีที่เห็นเลือด มันลงโทษอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ศิษย์คนนั้นก็ร้องคำรามและนอนราบอยู่บนพื้น ในขณะที่เลือดไหลออกจากร่างของเขา เขากลอกตาและหมดสติไปด้วยความโกรธ จากนั้นร่างของหลี่ฉางโซ่วก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากทางด้านข้าง กลิ่นอายลมปราณของเขาอ่อนแอเพราะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์มากเกินไปอย่างเห็นได้ชัด และตอนนี้มือของเขาว่างเปล่า และไม่พบอาวุธเวทอันน่าสะพรึงกลัวเลย ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วมองไปที่คู่ต่อสู้ของเขาและขมวดคิ้ว
ทันใดนั้น เขาก็หัวเราะแห้งๆ แล้วกล่าวว่า “มันแค่แผลตื้นๆ เหตุใดถึงหมดสติไปได้ ศิษย์น้อง ท่านอาจารย์โปรดช่วยดูก่อนเถิดขอรับ!”
จากนั้น ผู้ดูแลการประลองระดับบริหารสองคนก็บินขึ้นไป แล้วมีสีหน้ามืดมน เหตุใดเขาถึงหมดสติไป…บอกข้ามาทีว่าเหตุใดเขาถึงหมดสติไป! จากนั้น ผู้บริหารทั้งสองก็รีบประกาศออกมาอย่างรวดเร็วว่าศิษย์แห่งยอดเขาเซียนหลินเพียงโกรธแค้นมากเท่านั้นและไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงใดๆ หลี่ฉางโซ่วจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“โอ้ ช่างเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดจริงๆ”
เขาถอนหายใจและกล่าวว่า “นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างคนสองคนที่มีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกันจริงๆ”
ทันทีที่กล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็หันกลับมาและขี่เมฆของเขากลับไปยังที่นั่งของเขา ซึ่งที่นั่น จิ่วจิ่วกำลังดึงหลิงเอ๋อร์อยู่ จิ่วจิ่วหัวเราะร่าในขณะที่หลิงเอ๋อร์ก็พยายามสะกดกลั้นความขบขันของนางเอาไว้อย่างเต็มที่