ตอนที่ 121.1 วิธีเดียวที่จะเอาชนะความกลัว (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

เวลานี้ ในสายตาของบรรดาศิษย์ทั้งหลายล้วนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก…

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตราบใดที่พวกเขาไม่อยากรู้อยากเห็น ไม่สนใจ หรือตื่นเต้น ย่อมจะไม่เป็นเรื่องใหญ่

หลี่ฉางโซ่วคาดถึงปฏิกิริยาเหล่านี้จากคนรอบข้างของเขาเอาไว้แล้ว

สิ่งเดียวที่เขากังวลก็คือ เหล่าผู้อาวุโสในสำนักจะไม่พอใจที่เขาลงโทษศิษย์คนนั้นเล็กน้อยหรือไม่

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบ

เรา

เวลานั้น เมื่อศิษย์ผู้นั้นเอ่ยวาจายั่วยุเขา มันก็เท่ากับก่นด่าเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดของยอดเขาหยกน้อยแล้ว

หากเขาไม่โต้ตอบ ผู้อื่นก็อาจคิดว่าเขากำลังวางแผนใดอยู่ และมองว่า เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจนัก ทำให้รู้สึกว่าต้องระวังเขา ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ในฐานะต้นกล้าอมตะด้อยค่าของเขาอีกด้วย

การโต้ตอบและลงโทษของเขาไม่เป็นอันตรายต่ออีกฝ่าย แต่ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องตลกเช่นกัน มันจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาแก้แค้นทันทีโดยที่ไม่ได้วางแผนเอาไว้…

หลี่ฉางโซ่วนั่งเอนหลังลงบนเบาะนั่งสมาธิและกวาดตามองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัวเขา ในขณะนั้นบรรดาศิษย์ล้วนพากันหันหน้าหนีหรือก้มศีรษะลงต่ำไม่กล้าสบตามองเขา

เขาเหลือบมองไปยังอาจารย์อาน้อยของเขาที่กำลังหัวเราะอยู่ด้านข้าง และชื่นชมในใจด้วยความเกรงกลัว อา…ความอัศจรรย์แห่งสวรรค์และปฐพี ความอัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิต และความอัศจรรย์ของโลก

จากนั้นเขาก็หลับตาลงเพื่อพักผ่อนและ ‘ฟื้นฟูพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา’ ในขณะที่แอบร่ายเวทวายุวัจน์ และติดตามสภาพแวดล้อมรอบกายของเขา และในไม่ช้า หลี่ฉางโซ่วก็เผยรอยยิ้มออกมา

บรรดาผู้อาวุโสส่วนใหญ่ที่มีปฏิกิริยาบางอย่างล้วนมีอคติต่อเขา

แม้เขาจะช่วยเหลือพวกท่านด้วยการให้โอสถปรารถนา แต่พวกท่านก็ล้วนเป็นคนมีเหตุผล ซึ่งส่วนใหญ่รู้สึกว่าศิษย์ของยอดเขาเซียนหลิน เป็นคนหยาบคายก่อน

หลี่ฉางโซ่วได้วางแผนไว้อย่างละเอียดแล้ว เขาจะปรากฏตัวบนลานประลองอีกสองสามครั้งในภายหลัง และจะต่อสู้ตามปกติโดยไม่ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย ซึ่งไม่ว่าเขาจะชนะหรือแพ้ เขาก็จะสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ ‘ดี’ และ ‘ธรรมดา’ ให้กับตัวเองได้

แล้วการต่อสู้ระหว่างศิษย์ครั้งต่อไปก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว

ในครั้งนี้ เป็นเรื่องบังเอิญเช่นกันที่ศิษย์ทั้งคู่เริ่มใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย หลังจากดูการต่อสู้ระหว่างหลี่ฉางโซ่วและอ๋าวอี่ ในขณะนั้น หลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ของหลี่ฉางโซ่วก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ และเผยรอยยิ้มออกมา

เมื่อผู้ดูแลการประลองระดับบริหารในสำนักเตือนพวกเขาให้หยุดทันทีที่ทำแต้มได้ การต่อสู้จึงเริ่มขึ้นในที่สุด

ศิษย์ชายสองคนต่างโค้งคำนับและมองหน้ากัน ลมปราณเชื่อมต่อกันและจู่ๆ ก็บินถอยหลังไปพร้อมๆ กัน

จากนั้นทั้งสองขยับมือร่ายเวทอย่างรวดเร็ว การกระทำของพวกเขาคล้ายกันมากราวกับกำลังลอกเลียนแบบกัน!

ทันใดนั้น ตราผนึกเวทก็ได้ก่อตัวขึ้นพร้อมๆ กัน จากนั้นทั้งสองก็ใช้อาวุธเวทล้ำค่าคนละสองชิ้น ขว้างออกไปด้วยกระบี่บิน คทาหยก กริชบิน และน้ำเต้าขนาดเล็ก…

หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย!

หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย!

ตูม! ตูม! และทันทีที่ร่างทั้งสองร่อนลงสู่พื้น ทันใดนั้นก็ดูราวกับว่ามีกับดักปรากฏขึ้นบนพื้น และพวกเขาก็ถูกโยนลงไปในกับดักอย่างแรงและหายตัวไป!

ในขณะนั้น บรรดาศิษย์ที่อยู่โดยรอบล้วนมองไปรอบๆ ในขณะที่เหล่าเซียนที่ยืนอยู่บนแท่นหยกในกลุ่มเมฆต่างก็จ้องมองด้วยใจจดจ่อ

แล้วจู่ๆ อาวุธเวททั้งสี่นั้นก็ลอยอยู่ในอากาศ และหมุนไปรอบๆ…

เป้าหมาย…หายไปแล้ว…

ชั่วขณะนั้น ศิษย์สองคนที่อยู่ใต้ดินต่างก็ตะลึงงันเช่นกัน

พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากคทาที่มีหนามแหลมของยอดเขาหยกน้อย พวกเขาสามารถซ่อนตัวด้วยหลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย และใช้อาวุธเวทเพื่อโจมตีคู่ต่อสู้ของพวกเขา และจากนั้นพวกเขาย่อมจะไร้เทียมทาน

ทว่า…พวกเขาใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายอย่างไร แล้วจู่ๆ บรรดาศิษย์หญิงจากยอดเขาต่างๆ ก็หัวเราะออกมา และเสียงหัวเราะก็ยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ

และทันใดนั้น เหล่าปรมาจารย์ของสำนักตู้เซียนที่อยู่บนแท่นหยกก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย แต่ฉับพลันนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่ค่อนข้างอ่อนกำลังดังออกมา และพบว่า เป็นท่านเจ้าสำนักตู้เซียน บัดนี้ นักพรตเต๋าอู๋โหย่วได้หัวเราะออกมาแล้วในขณะที่นั่งอยู่บนที่นั่งประธาน

“ศิษย์เหล่านี้น่าสนใจทีเดียว…ฮ่าๆ แค่กๆๆ!”

ผู้คนจากเกาะเต่าทอง สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และสำนักบำเพ็ญเซียนที่ไม่มีความสำคัญต่างมองลงมาด้วยรอยยิ้ม

เดิมทีพวกเขาคิดว่าครึ่งเดือนนี้จะน่าเบื่อและการต่อสู้ระหว่างศิษย์ที่ยังไม่กลายเป็นเซียนนี้ จะไม่มีอะไรให้ดูมากนัก

แต่ไม่คิดว่า สำนักตู้เซียนจะน่าสนใจขนาดนั้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง ศิษย์สองคนที่กำลังต่อสู้อยู่ก็พบวิธีจัดการกับสถานการณ์ แล้วเริ่มค้นหากันและกันใต้ดินพร้อมกับแอบคิดกลยุทธ์ลับๆ…

หลังจาก ‘การต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม’ ศิษย์คนหนึ่งก็พลาดพลั้งและถูกไล่ออกมาจากพื้นดิน ก่อนจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากอาวุธเวทสองชิ้นที่รอคอยเขามาเป็นเวลานานในทันที และพ่ายแพ้ไปในการต่อสู้ดีๆ ครั้งนี้

และในระหว่างการต่อสู้ครั้งต่อมา ศิษย์บางคนก็ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย

ด้วยเหตุนี้ เป็นผลให้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายของหลี่ฉางโซ่วถูกปกปิดมากขึ้น มันทำให้คนรู้สึกไม่เด่นชัด ราวกับว่ามันเป็นทักษะเซียนพิเศษของสำนักตู้เซียน…ซึ่งทำให้ระยะเวลาเฉลี่ยของการต่อสู้นานขึ้นเล็กน้อย

หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วยามต่อมา โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ปรากฏตัวขึ้นบนลานประลอง และจัดการกับคู่ต่อสู้ของนางอย่างสงบเรียบร้อยและสง่างาม นางยังคงเพลิดเพลินกับความโดดเด่นเป็นที่ดึงดูดความสนใจที่ในฐานะหัวหน้าศิษย์…และแล้ว เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน วันแรกของการต่อสู้ก็สิ้นสุดลง และบรรดาศิษย์ก็ได้ผ่านการต่อสู้รอบแรกไปแล้ว โดยที่การต่อสู้สิบสองรายการแรกนั้นใช้เวลานานมากที่สุด แต่ในช่วงท้ายของรอบแรก การต่อสู้ของแต่ละรายการก็เร็วขึ้น และยิ่งการต่อสู้เร็วขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งน่าตื่นเต้นมากขึ้นเช่นกัน

ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ก็มีผู้อาวุโสเซียนเทียนออกบรรยายธรรมกถาเต๋าให้แก่บรรดาศิษย์ได้ฟัง ซึ่งในช่วงเวลานั้น บรรดาศิษย์ก็จะใช้ประโยชน์จากครึ่งชั่วยามนี้ทำการสรุปบางอย่างเช่นกัน…

หลี่ฉางโซวผู้นั่งสมาธิอยู่ที่นั่น ตลอดเวลา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสวดมนต์มาจากด้านข้าง

ในขณะนั้น จิ่วจิ่วที่ถือไหสุราที่มีสุราเหลืออยู่ครึ่งไหพลันส่ายศีรษะ

“ดินแดนเทวะบูรพาอยู่ทางตะวันตกของทะเลบูรพา ซึ่งมีส่วนหนึ่งของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ในดินแดนเทวะบูรพาที่เรียกว่า สำนักตู้เซียน ว่ากันว่า บนยอดเขาหยกน้อยของสำนักตู้เซียน มีศิษย์นามว่า หลี่ฉางโซ่ว ซึ่งในยามนี้เขาอยู่ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถี เขาเชี่ยวชาญในการเล่นแร่แปรธาตุ ค่ายกล และกฎการหลบหนี และชื่นชอบการใช้คทาหนามแทงผู้คน!”

หลิงเอ๋อร์แย้มยิ้มและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์อา หยุดอ่านเถิดเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ของข้าจะระเบิดโทสะแน่ๆ”

“เสี่ยวฉางโซ่ว!”

“หือ?” หลี่ฉางโซ่วลืมตาพลางมองดู ก่อนจะยิ้มแล้วหยิบโอสถถั่วหวานสองขวดออกมา ซึ่งจิ่วจิ่วก็รีบคว้าพวกมันไปในทันที

จากนั้นจิ่วจิ่วก็ยิ้มพอใจและกล่าวว่า “เอาอาวุธเวทของเจ้ามาให้ข้าเล่นสนุกๆ สักหน่อยสิ!”

“ก็เป็นเพียงแค่อาวุธเวท” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางหยิบคทาที่มีหนามแหลมออกมาแล้วยื่นให้อาจารย์อาของเขา “ตอนนี้มีคนนอกอยู่มากมาย ท่านอาจารย์อา โปรดอย่าไปกลั่นแกล้งและล้อผู้อื่นเล่นสนุกเลยขอรับ”

“เหอะ! เจ้าเห็นอาจารย์อาผู้นี้ไร้ยางอายถึงเพียงนั้นเลยหรือ”

จิ่วจิ่วกลอกตาขณะพาดคทาไว้บนไหล่ของนางพลางเงยศีรษะขึ้นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องเล็กน้อยก่อนจะขับเคลื่อนเมฆแล้วบินออกไปอย่างรวดเร็ว

ทว่าไม่นาน ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องลั่นดังมาแต่ไกลโดยไม่รู้ว่าเป็นเสียงร้องของผู้ใด

และเมื่ออาวุธเวทกลับมาอีกครั้ง หนามแหลมคมของมันก็เปื้อนเลือดเซียนจนบรรดาศิษย์ล้วนไม่กล้ามองดู

“อย่างที่คาดไว้ ระทึกใจสุดๆ ไปเลย!”

จิ่วจิ่วคืนคทาหนามให้หลี่ฉางโซ่วและกล่าวว่า “คราวหน้าเจ้าให้ข้ายืมไปเล่นใหม่อีกครั้งนะ!”

หลี่ฉางโซ่วพลันกระตุกมุมปากเล็กน้อย และไม่กล้าถามอะไรต่ออีก แล้วเก็บคทาหนามไปทันที

ในวันแรกนั้น ผู้อาวุโสที่เริ่มแสดงธรรมกถาและอ่านพระสูตรคือรองหัวหน้าสำนัก ท่านปรมาจารย์จ้งอวี่ผู้สูงส่ง

นักพรตเต๋าชราผู้นี้บินขึ้นไปบนท้องฟ้าและท่องพระสูตรลึกลับสองสามพระสูตรที่เขาเองอาจไม่เข้าใจด้วยซ้ำ จากนั้นเขาจึงเริ่มสอนพระสูตรเมตตาของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน

เพราะในท้ายที่สุด ก็ไม่อาจจะบรรยายธรรมกถาถึงเนื้อหาของพระสูตรนิรกรรมได้

และในคืนนั้น บรรดาศิษย์ต่างก็ระงับการหาวและฟังการบรรยายตลอดทั้งคืนอย่างอดทน

ส่วนแขกบนแท่นหยกได้กลับไปที่โถงตู้เซียนแล้ว มีงานเลี้ยงเพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้แก่พวกเขาในขณะที่พวกเขานั่งพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานสำราญใจ

……….