ในเช้าวันรุ่งขึ้น บรรดาศิษย์ต่างก็กลับมาเริงร่าเต็มไปด้วยกำลังวังชาอีกครั้ง และการทดสอบรอบที่สองก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
จิ่วจิ่วผู้ซึ่งไปที่โถงตู้เซียนเพื่อกินและเล่นมาเป็นเวลาครึ่งคืนก็มาปรากฏกายขึ้นทางด้านหลังของหลี่ฉางโซ่ว และหลิงเอ๋อร์ตรงเวลา
จิ่วจิ่วกล่าวว่า“หลิงเอ๋อร์น้อยยังต้องต่อสู้อย่างหนักต่อไป เมื่อขึ้นไปบนลานประลอง อย่าได้กลัว จงตีพวกเขาจนร้องไห้เหมือนเมื่อวาน! เสี่ยวฉางโส่ว…หากเจ้าต้องเผชิญกับศิษย์หญิง ห้ามใช้กระบวนท่าอย่างที่เจ้าใช้เมื่อวานนี้เด็ดขาดนะ!”
“ท่านอาจารย์อาโปรดวางใจขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางยิ้ม “ข้ามีมาตรการรับมือของตัวเองขอรับ” และจากนั้น ไม่รู้ว่าบางทีอาจเป็นเพราะปากของอาจารย์อาจิ่วจิ่วนั้นศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ เพราะหลี่ฉางโซ่วได้พบกับคู่ต่อสู้ที่เป็นสตรีในการต่อสู้รายการที่หนึ่งร้อยสามสิบสองของวันจริงๆ
ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่มีแผนการซ่อนเร้น ผู้อาวุโสไม่ได้จัดให้มี ‘การต่อสู้ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกัน’ ศิษย์หญิง คนนี้อยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นหกเท่านั้น นางด้อยกว่าหลี่ฉางโซ่วอยู่เล็กน้อย…
เมื่อเห็นหลี่ฉางโซ่วขับเคลื่อนเมฆบินอยู่เหนือศีรษะของบรรดาศิษย์ทั้งหมดและร่อนลงบนลานประลองพร้อมกับนาง ใบหน้าของศิษย์หญิงคนนั้นก็ซีดเผือดฉับพลัน
หลี่ฉางโซ่วยังคงทำตามแผนเดิมของเขาต่อไป ในครั้งนี้ เขาจะไม่ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย และจะไม่ใช้คทาของเขาอีกเช่นกัน เขาเพียงแค่ใช้ค่ายกลยันต์เพื่อบีบให้คู่ต่อสู้ยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น
แต่สิ่งที่หลี่ฉางโซ่วไม่คาดคิดคือ…
ผู้บริหารสองคนในสำนักตรวจสอบแผ่นหยกในมือแล้วถอยไปทางด้านข้าง และทันทีที่ผู้บริหารคนหนึ่งยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้เริ่มต้นการต่อสู้ ศิษย์หญิงคนนั้นก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าวและมองหลี่ฉางโซ่วอย่างระมัดระวัง
หลี่ฉางโซ่วพยายามเผยรอยยิ้มอย่างที่สุดพลางเปิดใช้ยันต์เจ็ดสิบสองแผ่นที่ปล่อยออกมาจากแขนเสื้อทั้งสองข้างของเขา…
ช่างเป็นการเปิดที่คุ้นเคยอะไรเยี่ยงนี้…
“ข้ายอมแพ้แล้ว!”
แล้วทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หยุดการกระทำของเขาลงอย่างกะทันหัน
ข้าทำอันใดไป
ใบหน้าของศิษย์หญิงเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและโกรธจัด นางกัดฟัน ขณะที่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความความไม่เต็มใจ และเกรี้ยวกราดราวกับนางได้รับความอัปยศครั้งใหญ่ และทันทีที่กล่าวเช่นนั้น ศิษย์หญิงผู้นั้นก็หันหลังและบินหนีจากไปในขณะที่แผ่นหลังของนางดูกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่ง
หลี่ฉางโซ่วถึงกับเงียบงันในทันใด
ชั่วขณะหนึ่ง สายตาที่จ้องมองมาที่หลี่ฉางโซ่วส่วนใหญ่ล้วนเต็มไปด้วยความอับจนหนทางและก่นด่าประณาม นอกจากนี้ยังมีความกลัวราวกับว่าเขาได้รังแกศิษย์หญิงคนเมื่อครู่นั้นจริงๆ
หลี่ฉางโซ่วพลันส่ายศีรษะและขี่เมฆบินกลับมานั่งขัดสมาธิลงที่ตำแหน่งของเขาด้วยความหดหู่ใจ
การแข่งขันในวันนี้ช่างน่าปวดหัวจริงๆ
แต่ไม่ใช่เพียงแค่ในวันที่สองเท่านั้นที่ทำให้ฉงนไม่อาจอธิบายได้…
ในรอบที่สามของวันที่สาม หลี่ฉางโซ่วก็ปรากฏกายขึ้นบนลานประลองในยามเที่ยง ฝ่ายตรงข้ามของเขาเป็นศิษย์ที่โดดเด่นซึ่งได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่หนึ่งร้อยอันดับแรกภายในสำนักและอยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นเก้า
ก่อนที่จะเผชิญหน้ากับหลี่ฉางโซ่ว ดวงตาของศิษย์ผู้นั้นก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่ง เขายังคงบีบนิ้วเพื่อคาดคำนวณอย่างต่อเนื่องราวกับกำลังคิดจะใช้ทักษะคาดคำนวณเพียงเล็กน้อยนี้เพื่อหากลยุทธ์ในการจัดการกับหลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย และคทาหนามแหลมในทันที
และคราวนี้ศิษย์ผู้นั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา โดยไม่รอให้ผู้บริหารสำนักก้าวไปข้างหน้า…
“ข้าไม่อาจจัดการทักษะนี้ได้”
หลังจากกล่าวเช่นนี้ เขาก็คำนับให้หลี่ฉางโซ่วก่อนจะหันหลังแล้วบินไปทางเหล่าฝูงชน
“หลี่ฉางโซ่ว ศิษย์แห่งยอดเขาหยกน้อย ชนะแล้ว!”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับเงียบงันอย่างกะทันหัน
ไม่เป็นไร ยังมีการแข่งขันต่อสู้อีกอีกเจ็ดรายการในภายหลัง แค่กอบกู้ชื่อเสียงของเขาขึ้นมาก็เพียงพอแล้ว
แม้ในเวลานี้ เขาจะใช้คาถาเวทวายุวัจน์ แต่เขาก็ได้ยินถ้อยคำบางอย่างเพียงไม่กี่คำเท่านั้น
“จอมโฉดจากยอดเขาหยกน้อย ทำให้คู่ต่อสู้ของเขาสองคนหวาดกลัวแล้ว”
“ไม่มีทางหนีได้เลยหากข้าไม่ล่าถอย ไม่อาจจะจัดการหลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย และคทาหนามของเขาได้เลย…ว่ากันว่า คทาหนามเป็นสมบัติอมตะที่สามารถทำลายแสงเซียนพิทักษ์ได้”
“เฮ้อ ไม่คิดว่าจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างคาดไม่ถึงในครั้งนี้ พวกเราประเมินจอมโฉดจากยอดเขาหยกน้อยต่ำเกินไป”
“หากเราเจอเขาในวันพรุ่งนี้ แล้วจะทำอย่างไรกันดี”
“ยอมแพ้ไปเถิด ยังมีรายการแข่งขันอีกมาก ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะเจอเขาซ้ำสองหรอก”
ทว่า…ถึงกระนั้น ในวันที่สี่…ใบหน้าที่คุ้นเคยเมื่อวานนี้ก็มาปรากฏขึ้นต่อหน้าหลี่ฉางโซ่วอีกครั้ง เพียงแต่เวลาเปลี่ยนเป็นยามบ่ายแทนที่จะเป็นยามเที่ยงเท่านั้น และก่อนที่ผู้บริหารในสำนักจะก้าวออกไปข้างหน้า หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวออกมาทันทีว่า “ศิษย์น้อง เหตุใดเราไม่มาต่อสู้กันแบบตัวต่อตัวเล่า…”
“เหตุใดถึงเป็นศิษย์พี่อีกแล้ว…”
ใบหน้าของชายผู้นี้อับจนหนทาง เขาเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจยาว “เวลาและชะตากรรม ในท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็ยังไม่อาจทำลายทักษะของท่านได้ มีบางสิ่งในโลกนี้ที่ข้าไม่อาจทำได้เสมอ นี่คือตรรกะที่ท่านอาจารย์สั่งสอนข้า ในฐานะที่เป็นคน ย่อมไม่จำเป็นต้องบีบบังคับตัวเอง สิ่งที่เราต้องการบรรลุจากการฝึกฝนเต๋าคือ อิสระเสรี ศิษย์พี่…ข้าขอยอมแพ้ขอรับ”
กล่าวจบ ชายผู้นี้ก็หันหลังและบินออกไปจากลานประลองด้วยใบหน้ามืดมนในทันที
แผ่นหลังของเขาดูเยือกเย็น และให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเครื่องสายดนตรีกำลังบรรเลงเพลงที่คุ้นเคยอยู่…
มุมปากของหลี่ฉางโซ่วกระตุกสองสามครั้ง แล้วมองไปบนแผ่นหยกที่วาบสว่างขึ้นก่อนจะบินกลับไปยังที่นั่งของเขาอย่างไร้ความรู้สึก
คำพูดที่เขาได้ยินจากการใช้เวทวายุวัจน์นั้นเต็มไปด้วยความสะเทือนอารมณ์
“โหดเหี้ยมอะไรถึงเพียงนี้ ศิษย์น้องผู้นี้ควรถูกขับออกไปอย่างรวดเร็วบ้าคลั่งเกินไปแล้ว”
“ศิษย์น้องผู้นี้ก็โชคร้ายมากเช่นกัน แต่ครั้งที่สาม…”
“เฮ้ อย่าพูดเช่นนั้นสิ เจ้าจะเดือดร้อนได้นะ!”
หลี่ฉางโซ่วมุมปากกระตุกเล็กน้อยในขณะที่หลิงเอ๋อร์ ซึ่งอยู่ข้างๆ อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดตัวเองไว้ ทว่าทันใดนั้น จิ่วจิ่วก็ดึงนางออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วแนะนำทักษะการต่อสู้ให้นางสำหรับการต่อสู้ของนางในวันพรุ่งนี้
หลิงเอ๋อร์ชนะการต่อสู้มาได้สามครั้งและแพ้หนึ่งครั้งในการต่อสู้สี่รายการ ก่อนหน้านี้ นางแพ้ให้กับศิษย์พี่หญิงที่อยู่ในอันดับที่เจ็ดสิบสอง ซึ่งไม่เปิดเผยขอบเขตพลังการฝึกฝนของนางอย่างแน่ชัดเต็มที่
และในวันที่ห้า ‘ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ลือลั่น’ ซึ่งหลี่ฉางโซ่วกำลังเผชิญอยู่ ในที่สุดก็มาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อในเวลานี้ เขากำลังเผชิญกับหลิวซื่อเจ๋อ ต้นกล้าอมตะแห่งยอดเขาตู้หลิน ซึ่งขณะนี้ อยู่ในอันดับหกของสำนัก! ในที่สุด พวกเขาก็สามารถต่อสู้กันได้อย่างยุติธรรมในการต่อสู้ที่ ‘พอฟัดพอเหวี่ยงกัน!’ หลี่ฉางโซ่ว ‘ผู้พิทักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ของสำนักตู้เซียน’ ในช่วงภัยพิบัติครั้งก่อน ก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ศิษย์น้องหลิว” หลี่ฉางโซ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงดังชัดเจน “วันนี้ พวกเราจะได้ออกไปต่อสู้อย่างเปิดเผยเต็มที่แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง” หลิวซื่อเจ๋อฝืนยิ้มอย่างขบขันแกมเหน็บแนม แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “วันนี้ข้าจะต้องได้สัมผัสกับคาถาและทักษะของพี่หลี่อย่างแน่นอน ข้าจะไม่ถอยโดยไม่ต่อสู้เหมือนคนอื่นๆ และยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังได้เตรียมการบางอย่างมาแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจอย่างโล่งอกและรู้สึกเต็มไปด้วยอารมณ์อยู่ชั่วขณะ
มาดูกัน! ต้นกล้าอมตะเป็นอย่างไร
ต้นกล้าอมตะควรเป็นเฉกเช่นนี้!
มั่นใจ นิ่งสงบ และสง่างาม เขาสามารถแสดงจิตวิญญาณและท่าทางที่ถูกต้องของศิษย์รุ่นนี้แห่งสำนักตู้เซียนออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งนำความภูมิใจและศักดิ์ศรีมาสู่ท่านอาจารย์ของเขา!
ในฐานะสหายศิษย์ที่เป็นต้นกล้าอมตะ หลี่ฉางโซ่วจึงอดจะรู้สึก…ภาคภูมิใจเล็กน้อยไม่ได้
จากนั้นผู้บริหารสำนักทั้งสองคนก็ทำหน้าที่ตรวจดูแผ่นหยกในมือของศิษย์ตามปกติ…
และไม่นานหลังจากนั้น หลิวซื่อเจ๋อก็หยิบสมบัติสองสามชิ้นออกมา ซึ่งเขาย่อมไม่ขาดสิ่งเหล่านี้ ในฐานะที่เป็นต้นกล้าอมตะแห่งยอดเขาตู้หลิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขามีชุดเกราะระดับสมบัติอมตะ หลังจากนำออกมาแล้ว เขาก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะปลดชุดเกราะออกมาแล้วพันรอบเอวเอาไว้เพื่อปกปิดบริเวณจุดอ่อนในร่างกายของเขา
ทว่าหลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ดูเหมือนว่า หลิวซื่อเจ๋อจะรู้สึกว่ายังมีบางอย่างพลาดไป ดังนั้นจึงหยิบชุดเสื้อคลุมสมบัติอีกชุดหนึ่งออกมาและเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้นด้วยความกังวลใจ
หลังจากนั้น หลิวซื่อเจ๋อก็ถือกระบี่ยาวและยิ้มให้หลี่ฉางโซ่ว
“ศิษย์พี่ โปรดชี้แนะข้าด้วยขอรับ”
และฉับพลันนั้น หลี่ฉางโซ่วถึงกับเงียบงันไปทันที