ตอนที่ 385 เข้าเรียน (1) / ตอนที่ 386 เข้าเรียน (2)
ตอนที่ 385 เข้าเรียน (1)
หลังจากกลับมาที่โรงเตี๊ยม เฟยเยียนก็ยื่นลูกแก้วผลึกสีใสส่งให้กับจวินอู๋เสีย
“การจะเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเฟิงหัวได้ ก่อนอื่นพวกเขาจะทดสอบวงแหวนภูติวิญญาณของเจ้าก่อน ไม่จำเป็นต้องอัญเชิญภูติวิญญาณของเจ้าออกมา เพียงแค่วางมือลงบนสิ่งนี้ มันก็จะถ่ายโอนรูปลักษณ์ของภูติวิญญาณของเจ้ารวมไปถึงระดับของวงแหวนภูติวิญญาณของเจ้าลงไป ในที่นี้ ทางที่ดีที่สุดให้เจ้านึกถึงภาพของเจ้าแมวดำตัวน้อยแทนบัวหิมะซังอวี้จะดีกว่า” เฟยเยียนใช้เวลากว่าครึ่งวันเพื่อค้นหาขั้นตอนในการลงทะเบียนเรียน กับคนอื่นๆ เขาไม่ค่อยเป็นห่วงมากเท่าไหร่แต่กับจวินอู๋เสีย ภูติวิญญาณของนางไม่สามารถเปิดเผยต่อหน้าผู้คนได้
“เจ้าโง่เฉียวเคยเล่าให้ข้าฟังว่าแมวดำของเจ้าเองก็เป็นร่างวิญญาณด้วย เจ้าลองดู” ที่มาที่ไปของแมวดำของจวินอู๋เสียนั้นไม่ชัดเจนนัก เฟยเยียนและคนอื่นๆ จึงไม่อยากถามซอกแซกมากไปกว่านี้
จวินอู๋เสียพยักหน้า หลังจากเฟยเยียนจากไป จวินอู๋เสียก็วางมือลงบนลูกแก้วผลึกสีใสอันนั้น ภาพของดอกบัวขาวสะท้อนอยู่ในลูกแก้วผลึกสีใสเลือนรางมากจนแทบจะมองไม่เห็น
จวินอู๋เสียหรี่ตาลงเล็กน้อย เปิดถุงเอกภพของนาง แล้วเปิดของบางอย่างที่มีลักษณะทรงกลมปิดผนึกขนาดใหญ่ออกมา ครึ่งล่างของทรงกลมนั้น เผยให้เห็นระลอกคลื่นของน้ำพุสวรรค์เทียนเฉวียนที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลง โดยที่บนผิวน้ำบัวหิมะซังอวี้กำลังลอยอยู่บนนั้นอย่างสงบ
หลังออกมาจากสำนักศึกษาหงส์อมตะ จวินอู๋เสียก็พาเจ้าบัวหิมะซังอวี้มากับนางด้วย เนื่องจากมีกาสวรรค์เทียนหูและน้ำพุสวรรค์เทียนเฉวียนซึ่งจะไม่มีวันหมดอยู่กับนาง นางจึงไม่กังวลว่าจะขาด ‘น้ำ’ ที่จะนำมาเพาะเลี้ยงบัวหิมะซังอวี้อีกต่อไป
เนื่องจากบัวหิมะซังอวี้ไม่ได้อยู่ในร่างของจวินอู๋เสีย เงาที่สะท้อนจากลูกแก้วผลึกสีใสจึงคลุมเครือมาก แต่ก็ยังมองออกว่าเป็นรูปทรงของดอกบัว
การปรากฏตัวของวงแหวนภูติวิญญาณประเภทพฤกษาจะนำผลกระทบที่น่าสะพรึงกลัวขนาดไหนมาให้ จวินอู๋เสียเคยได้สัมผัสมันกับตัวมาแล้ว แผนที่ของสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ เดิมทีก็เป็นของในมือของเจ็ดในสิบสองตำหนัก ถ้าหากว่าสำนักศึกษาเฟิงหัวมีมันอยู่…ดวงตาของจวินอู๋เสียทอประกายหนาวเหน็บ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับตำหนักใดตำหนักหนึ่งอย่างแน่นอน
เฟยเยียนเองก็คงตระหนักได้ถึงอันตรายนี้ ถึงได้จงใจเตรียมสิ่งนี้ไว้กับจวินอู๋เสียตั้งแต่เมื่อคืนก่อน
ใช้เจ้าแมวดำตัวน้อยแทนที่ภูติวิญญาณของจริง จวินอู๋เสียไม่เคยลองมาก่อนเช่นกัน นางจึงทำได้เพียงค่อยๆ คลำทางไปทีละเล็กละน้อย ดึงพลังวิญญาณมาไว้ที่ฝ่ามือของตัวเอง จากนั้นจวินอู๋เสียก็วางมือลงบนลูกแก้วผลึกสีใสอีกครั้ง คราวนี้เงาสลัวๆ ของดอกบัวได้หายไปแล้วและถูกแทนที่ด้วยเงาของเจ้าแมวดำตัวเล็กๆ ที่กำลังโปร่งแสงอยู่
ทว่ามันก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ จวินอู๋เสียดึงมือของตัวเองกลับพร้อมกับหอบหายใจเหนื่อย
เจ้าแมวดำตัวน้อยยังคงหลับใหลอยู่ จิตวิญญาณของมันเกือบจะเหือดแห้งไปหมดแล้ว จวินอู๋เสียจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไรมากไปกว่านี้ ทำเพียงหยิบยืมเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของมันที่ยังคงวิ่งอย่างอิสระอยู่ภายในร่างกายของนางแล้วลองทำ ‘เรื่องตบตา’ นี้ดู เนื่องจากจิตวิญญาณของจวินอู๋เสียก็ได้รับบาดเจ็บหนักไม่แพ้กัน ทดลองทำ
ได้ไม่กี่ทีร่างเล็กก็เหนื่อยหอบเหงื่อโชกเต็มร่าง
หยิบแหวนจากในถุงเอกภพออกมาแล้วสวมมันลงบนนิ้วมือข้างหนึ่ง ปลอมว่าเป็นวงแหวนภูติวิญญาณ จวินอู๋เสียหย่อนตัวนั่งลงกับเก้าอี้เพื่อปรับลมหายใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น จวินอู๋เสียและคนอื่นๆ ก็มุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาเฟิงหัวตั้งแต่เช้าตรู่ เนื่องจากมีคนจำนวนมากมารออยู่ก่อนแล้ว ทั้งห้าคนจึงต้องแยกย้ายกันไปรับการประเมินคนละแถว
อาจเพราะยังเช้าอยู่มาก แม้คนที่มารอจะมากแล้วแต่ก็ไม่ได้มหาศาลเท่ากับเมื่อวาน ไม่นานนักคนทั้งห้าก็มาถึงโต๊ะที่รับลงทะเบียนของสำนักศึกษาเฟิงหัว แต่ละคนทำการทดสอบของตัวเองไป จนกระทั่งมาถึงตาของจวินอู๋เสีย นางก็เดินเข้าไปเพื่อรับการทดสอบ บุรุษผู้ซึ่งรับผิดชอบการทดสอบนี้มองจวินอู๋เสียขึ้นลงหลายครั้งอย่างพิจารณา สีหน้าของเขาแสดงออกถึงอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นลูกแก้วผลึกสีใสไปตรงหน้าจวินอู๋เสียอย่างไม่สบอารมณ์นัก
จวินอู๋เสียรับเอาลูกแก้วผลึกสีใสนั้นมาถือไว้ในมืออย่างสงบ นางไม่ได้พูดอะไร เพียงปลดปล่อยพลังวิญญาณของตัวเองลงไป ไม่นานนักก็มีรูปของลูกแมวตัวน้อยสีดำขมุกขมัวปรากฏด้านในลูกแก้ว บุรุษผู้นั้นเพียงเหลือบตามองนางอย่างไม่ใส่ใจและพูดว่า “สัตว์วิญญาณ…รอเดี๋ยว!”
คล้ายกับจะสังเกตเห็นถึงบางอย่าง การแสดงออกบนใบหน้าที่หงุดหงิดของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาหรี่ตาลง พิจารณาเงาที่ปรากฏอยู่ในลูกแก้วผลึกสีใสนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองจวินอู๋เสียด้วยความประหลาดใจ มีร่องรอยของการค้นหาฉายขึ้นในดวงตาของเขา
“ปลดปล่อยพลังวิญญาณของเจ้าลงไปในลูกแก้วผลึกสีใสอันนี้” บุรุษผู้นั้นหยิบลูกแก้วผลึกสีใสออกมาอีกอันแล้วส่งให้กับจวินอู๋เสีย
ตอนที่ 386 เข้าเรียน (2)
จวินอู๋เสียลอบหลุบตาลง และปลดปล่อยพลังวิญญาณของนางลงไปในลูกแก้วผลึกสีใสนั้น!
แสงสีส้มเรืองรองระเบิดออกมาในทันที และแสงนั้นได้ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นเยาว์ทุกคนที่กำลังยืนเข้าแถวเพื่อรอลงทะเบียนเรียนอยู่ด้านหน้าประตูสำนักศึกษาเฟิงหัว!
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ที่เพิ่งผ่านการทดสอบกำลังเดินเข้ามาหาจวินอู๋เสีย หลังจากที่พวกเขาเห็นแสงสีส้มนั้น ทุกคนก็รู้สึกตกใจจนอ้าปากหวอ!
ลำแสงสีส้มนั้นดึงดูดความสนใจของทุกคนมากจริงๆ สายตาของเด็กหนุ่มสาวจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่ร่างกายที่เล็กกะทัดรัดของจวินอู๋เสียด้วยสายตาตกตะลึง
แสงสีส้ม!
ลูกแก้ววัดระดับลูกนั้นมันเรืองแสงสีส้มออกมาจริงๆ!
นี่ไม่ได้หมายความว่าพลังวิญญาณของเด็กคนนั้นได้ทะลุไปถึงระดับพลังวิญญาณขั้นสีส้มแล้วหรือ!
ในบรรดากลุ่มเด็กรุ่นเยาว์ทั้งหมดที่กำลังเข้าแถวอยู่ ไม่มีเด็กหนุ่มคนไหนที่ตัวเล็กไปกว่าจวินอู๋เสียอีกแล้ว นางมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์และมีร่างกายที่เล็กและบอบบาง หากมองในแวบแรก นางแทบจะเหมือนกับเด็กชายอายุสิบขวบต้นๆ เลย ถ้าไม่ใช่เพราะการตื่นของภูติวิญญาณที่จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเมื่ออายุครบสิบสี่ปีแล้วเท่านั้น ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของนางในยามนี้ หากบอกพวกเขาว่านางเพิ่งจะอายุสิบสองหรือสิบสามขวบปีพวกเขาก็เชื่อ
แต่เด็กหนุ่มตัวเล็กที่เยาว์วัยมากเช่นนี้ กลับทะลวงระดับไปจนถึงขั้นพลังวิญญาณขั้นสีส้มแล้ว!
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าอายุที่แท้จริงของจวินอู๋เสียนั้น สรุปแล้วคือเท่าไหร่กันแน่!
เฟยเยียนที่วิ่งไปได้ครึ่งทาง ตบหน้าผากของเขาเมื่อเห็นแสงสีส้มเรืองรองนั้น
“จบสิ้นแล้ว! คราวนี้มันจบสิ้นแล้วจริงๆ!”
การลงทะเบียนเรียนของสำนักศึกษาเฟิงหัว โดยพื้นฐานแล้วจะทดสอบเพียงวงแหวนภูติวิญญาณของผู้สมัครเท่านั้น เว้นแต่จะมีเด็กที่เสนอขอทดสอบความก้าวหน้าในการบ่มเพาะพลังวิญญาณ พวกเขาถึงจะทดสอบจุดนี้เป็นพิเศษ ท้ายที่สุดมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเลื่อนระดับพลังจากพลังวิญญาณขั้นสีแดงมาเป็นพลังวิญญาณขั้นสีส้มได้ด้วยวัยเพียงสิบสี่ถึงสิบหกปี และถึงแม้ว่าจะมี ก็ไม่มีใครคิดที่จะปิดซ่อนความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจนี้
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ แรกเริ่มวางแผนที่จะเริ่มต้นจากตึกรองก่อน พวกเขาจึงไม่ได้รีบร้อนเข้าไปยังตึกหลักแม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถทำมันได้อย่างง่ายดายก็ตาม
แต่คิดไม่ถึง ทางด้านจวินอู๋เสียจะเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ขึ้น
ทำไมอยู่ดีๆ คนของสำนักศึกษาเฟิงหัวถึงได้ให้จวินอู๋เสียทดสอบระดับพลังวิญญาณของนาง
สามารถบรรลุพลังวิญญาณระดับขั้นสีส้มได้ตอนอายุสิบสี่ปี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านางจะได้เข้าไปศึกษายังตึกหลักโดยตรง!
อย่างไรก็ตาม การทดสอบของทั้งสี่คนได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้แต่ป้ายประจำตัวของฝ่ายตึกรองพวกเขาก็ยังได้รับมันมาแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก!
อีกด้านหนึ่ง บุรุษผู้ซึ่งรับผิดชอบการทดสอบของจวินอู๋เสียก็เผยแววตาประหลาดใจ เขามองไปที่จวินอู๋เสียก่อนจะขยับริมฝีปากและกระซิบสองสามครั้งกับสหายของเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน สหายของเขาผู้นั้นก็วิ่งออกไปทันที
หลังจากนั้นไม่นาน บุรุษในชุดอาภรณ์สีน้ำเงินตัดขอบสีขาวคนหนึ่งก็เดินออกมาที่ประตูสำนักศึกษาอย่างช้าๆ เดินเข้ามาตามทิศทางของแสงสีส้มที่กะพริบอยู่ตรงหน้าจวินอู๋เสีย
การแสดงออกของจวินอู๋เสียยังคงสงบ ดวงตาทั้งสองข้างของนางทั้งกระจ่างและใสเย็น
บุรุษในชุดอาภรณ์สีน้ำเงินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองไปที่จวินอู๋เสีย ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาและคว้ามือของจวินอู๋เสียที่ยังคงวางอยู่บนลูกแก้ววัดระดับอันนั้น
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ที่กำลังมองดูภาพเหตุการณ์อยู่อย่างเงียบๆ ตื่นตัวขึ้นมาในทันที
จวินอู๋เสียหรี่ตาลง ไม่ได้ตอบสนองอะไร
บุรุษผู้นั้นทำเพียงแค่จับข้อมือของจวินอู๋เสียไว้ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีก ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะขึ้นมาและพูดว่า “พลังวิญญาณขั้นสีส้มตอนอายุสิบสี่ปี ช่างเป็นต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ”
ทันทีที่คำพูดของบุรุษผู้นั้นจบลง ความโกลาหลก็พลันบังเกิด!
แม้ว่าพลังวิญญาณขั้นสีส้มตอนอายุสิบหกปีนั้นจะหาได้ยากมากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใด แต่พลังวิญญาณขั้นสีส้มตอนอายุสิบสี่ปี…
นี่มันเรื่องมหัศจรรย์ชัดๆ!
เด็กอายุสิบสี่ปีส่วนใหญ่กำลังทำอะไร
วงแหวนภูติวิญญาณเพิ่งจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน เพียงแค่ศึกษาวิธีการบ่มเพาะพลังวิญญาณและเอกลักษณ์ของวงแหวนภูติวิญญาณของตัวเอง อย่างต่ำก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีแล้ว รอจนกว่าพวกเขาจะได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะอย่างแท้จริง ก็ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่พวกเขาจะรวบรวมพลังวิญญาณให้ขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดได้
แต่ปีศาจน้อยตัวนี้กลับสามารถทะลวงพลังวิญญาณขึ้นมาอยู่ในขั้นสีส้มได้ในวัยเพียงสิบสี่…
พวกเขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนจริงๆ!
ผู้ใดจะคิดเล่าว่าเด็กน้อยที่ดูเหมือนธรรมดาไม่สะดุดตาเลยผู้นี้ จะมีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และมีความเร็วในการบ่มเพาะพลังวิญญาณที่ท้าทายสวรรค์ขนาดนี้!