เมื่อไม่มีความกังวลใจแล้ว หวังซีกับเฉินลั่วก็รับประทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุขไปหนึ่งมื้อ หลังมื้ออาหารยังลากเฉินลั่วไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ด้วยกันอีกด้วย
เฉินลั่วเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งของพวกเขาขึ้นมา “ข้าอยากเลื่อนงานแต่งเข้ามา เจ้าคิดว่าปลายเดือนเก้าเป็นอย่างไร”
หวังซีตกใจ ครุ่นคิดแล้วถามว่า “อาการของฮ่องเต้ไม่ค่อยดีแล้วใช่หรือไม่”
มีความรู้สึกภูมิใจสายหนึ่งปรากฏตัวจางๆ ขึ้นมาในหัวใจของเฉินลั่ว
เขารู้อยู่แล้ว ไม่ว่าเขากับหวังซีจะคุยอะไรกัน หวังซีมักจะเข้าใจความคิดของเขาทันทีเสมอ
นี่ก็นับได้ว่ามีหัวใจเชื่อมต่อถึงกันกระมัง
เฉินลั่วหัวเราะออกมา กล่าวเสียงเบาว่า “เมื่อวานฮ่องเต้ทรงประชวรอีกแล้ว ครานี้ถึงกับงดการประชุมเช้าด้วย ส่วนองค์รัชทายาท เมื่อก่อนข้าค่อนข้างดูเบาเขา คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ฮ่องเต้ประชวร เขาจะหว่านล้อมฮองเฮาเหนียงเหนียง ให้หนิงผินไปเฝ้าไข้อยู่ที่ตำหนักเฉียนชิง”
ไม่มีความหยิ่งทะนงของผู้ชนะ ค่อนข้างใจกว้างทีเดียว
หวังซีกลับกังวลใจขึ้นมา กำชับเฉินลั่วว่า “องค์รัชทายาทเป็นคนใจกว้างผู้หนึ่ง แต่ไม่ว่าจะใจกว้างเพียงใด ฮ่องเต้ยังอยู่ นั่นคือเสด็จลุงของเจ้า เป็นผู้อาวุโสที่มีสายเลือดเดียวกัน หากฮ่องเต้ไม่อยู่แล้ว จักรพรรดิพระองค์ใหม่คือลูกพี่ลูกน้อง ผู้อื่นยังมีพี่น้องร่วมสายเลือด ยังมีลุงและญาติผู้น้องที่ให้ความช่วยเหลือได้ อะไรที่สมควรห่างก็ต้องอยู่ให้ห่างเข้าไว้…
…มีคำเก่าแก่บอกเอาไว้มิใช่หรือว่า คนไกลหอมหวาน คนใกล้เหม็นโฉ่ ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่งนัก”
นี่คงกลัวเขาทะนงตัวจนสร้างปัญหากระมัง
นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีคนแนะนำเขาเช่นนี้
แต่ความรู้สึกเช่นนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว!
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าทราบแล้ว เจ้าไม่ต้องย้ำเตือนข้าบ่อยๆ ก็ได้”
หวังซีกล่าวว่า “เรื่องอื่นข้าอาจไม่ต้องย้ำเตือนเจ้าบ่อย แต่เรื่องนี้ต้องย้ำเตือนเจ้าให้บ่อย บางครั้งข้าเองก็อาจลืมตัวได้เช่นกัน”
นางยกตัวอย่างมากล่าวว่า “อย่างตัวข้ามักจะคิดว่าข้าเด็กที่สุดในบ้าน อยู่กับท่านปู่ท่านย่าก็อ้อนเอาแต่ใจ อยู่กับบิดามารดาก็อ้อนเอาแต่ใจ แต่ความจริงข้ามีหลานชายแล้ว อายุน้อยกว่าข้า ลำดับอาวุโสก็น้อยกว่าข้าไปหนึ่งขั้น…
…หากข้าเป็นเช่นนี้ตอนอยู่บ้านก็ไม่เป็นไร ถ้าออกเรือนแล้วยังเป็นเช่นนี้ พี่สะใภ้ของข้าเห็นข้ามาตั้งแต่เล็กก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อไปถึงคนรุ่นหลานสะใภ้นั่นไม่เหมือนกันแล้ว ผู้อื่นไม่เคยปฏิสัมพันธ์กับข้ามาก่อน และไม่เคยได้รับความเมตตาอะไรจากข้ามาก่อนด้วย เหตุใดจึงต้องอดทนกับข้าเพียงเพราะสถานะของข้าด้วย…
…ในเรื่องนี้ เจ้าเองก็ต้องเตือนสติข้าด้วยถึงจะถูก…
…พวกเราควรเตือนสติกันและกันตลอดไป”
หวังซีมองเฉินลั่วด้วยรอยยิ้มร่า เฉินลั่วเองก็ยิ้มตามไปด้วย
มีคนคอยเตือนสติอยู่ข้างกายผู้หนึ่ง ย่อมช่วยให้เดินบนทางที่วกวนน้อยลงได้ นี่คงเป็นสิ่งที่ผู้อื่นพูดกันว่า ‘มีภรรยาดีชีวิตผาสุกไปกึ่งหนึ่ง’ นั่นกระมัง
เฉินลั่วยังไม่ทันได้แต่งงานเลย ก็รู้สึกว่าการแต่งงานเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งแล้ว
เขากล่าว “หากเจ้าเห็นด้วย ข้าจะไปหารือกับพี่ใหญ่ดู”
หวังซีรู้สึกว่าอย่างไรก็ได้ อย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นเฉินลั่วหรือพี่ชายใหญ่ของนาง ล้วนไม่ทำให้นางเสียเปรียบอยู่แล้ว
ทั้งสองคนคุยเรื่องในวังนอกวังกันอีกครั้ง “องค์รัชทายาทคิดว่าเนื่องจากฮ่องเต้สุขภาพไม่ดี เช่นนั้นองค์ชายเจ็ดก็ไม่จำเป็นต้องออกจากเมืองหลวงเร็วขนาดนั้น ให้อยู่ในเมืองหลวงอีกสักระยะหนึ่ง รอให้ฮ่องเต้ดีขึ้นแล้วค่อยไปปกครองเมืองศักดินาก็ได้…
…มีขุนนางจำนวนมากรู้สึกว่าองค์รัชทายาทกตัญญูรักพี่น้อง แต่ขุนนางใหญ่หลายท่านกลับคิดว่าเป็นเพราะองค์รัชทายาทอยากเก็บองค์ชายเจ็ดไว้ในสายตาในระหว่างที่เรื่องราวยังไม่สิ้นสุด ต่างยิ่งพึงพอใจในตัวองค์ชายรองมากขึ้น…
…ข้ารู้สึกว่าขุนนางใหญ่สองสามท่านนี้ช่างคาดเดาได้แม่นยำนัก…
…คนจวนชิ่งอวิ๋นป๋อได้รับการปล่อยตัวออกมาทั้งหมดแล้ว สิ่งที่ถูกยึดไปก็ได้รับคืนกลับมาหมดแล้วเช่นกัน…
…เพียงแต่ว่าคนของหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้าจัดการไม่ง่ายนัก…
…บางส่วนมีสัมพันธ์เก่าแก่กับจวนชิ่งอวิ๋ป๋อ บางส่วนตามไปด้วยโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ยังมีบางส่วนที่ถูกชิ่งอวิ๋นป๋อกำจัดทิ้งไปก่อนล่วงหน้าแล้ว ข้าคิดว่านี่มิใช่เรื่องที่ดีนัก นอกจากนี้ข้ายังไม่คิดจะนั่งเรือลำเดียวกับจวนชิ่งอวิ๋นป๋อด้วย ข้าจึงยุให้ดึงปั๋วหมิงเย่ว์เข้ามาร่วมด้วย ให้เขามาช่วยจัดการ ส่วนข้าตั้งหน้าตั้งตารับมือกับคนที่มาขอความเมตตาเหล่านั้น”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาตั้งใจกล่าวขึ้นว่า “วันแต่งงานของปั๋วหมิงเย่ว์ถูกกำหนดให้จัดในเดือนสิบ เจ้ารู้เรื่องหรือไม่”
หวังซีส่ายหน้า กล่าวอย่างแปลกใจว่า “พวกเขาหาได้ส่งเทียบมาให้พวกข้า ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
นอกจากนี้ต่อให้ปั๋วหมิงเย่ว์แต่งงาน ด้วยสถานะของทั้งสองครอบครัวแล้ว ตระกูลปั๋วก็ไม่มีทางส่งเทียบมาให้ตระกูลหวังอยู่ดี
เฉินลั่วได้ยินคำตอบเช่นนั้นแล้วกลับพึงพอใจมาก กล่าวต่อไปว่า “คนที่มาขอร้องไล่ไปไม่ยาก แม้กระทั่งข้าที่จัดการเรื่องประเภทนี้ทุกวันเช่นนี้ยังรู้สึกรำคาญใจเลย ยามว่างจึงไปเที่ยวหาองค์ชายใหญ่…
…หนิงจวิ้นอ๋องเองก็มีไหวพริบมาก ได้ยินว่าใช้อายุของเขาเป็นเหตุผล เสนอให้องค์ชายใหญ่ไปรับตำแหน่งผู้นำศาลบรรพชน ฮ่องเต้ไม่เห็นด้วย แต่หนิงจวิ้นอ๋องกลับพูดกับองค์ชายใหญ่เป็นการส่วนตัวครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะช้าหรือเร็วตำแหน่งนี้ก็ต้องเป็นของเจ้า…
…องค์รัชทายาทจึงอยากให้องค์ชายใหญ่ไปศาลบรรพชนก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที…
…ผลปรากฏว่าถูกฮ่องเต้ปฏิเสธอีกเช่นกัน…
…ดูทีแล้วเขาคงแค้นฝังหุ่นองค์ชายใหญ่ไปแล้ว…
…แต่องค์ชายใหญ่เองก็พูดเช่นกันว่า ก่อนหน้านี้เขาอยู่บ้านว่างๆ มาตลอดมิใช่หรือ ต่อให้อยู่ว่างๆ ต่อไปอีกก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ดีกว่าเอาชีวิตไปทิ้ง…
…ดูทีเขาเองก็แค้นฝังหุ่นเช่นกัน…
…ตอนนี้องค์รัชทายาทกลัวว่าฮ่องเต้จะหัวแข็งขึ้นมา แล้วเอาองค์ชายใหญ่ไปทิ้งยังอำเภอยากจนห่างไกลที่ไหนสักแห่ง ให้เขาไปปกครองเมืองศักดินาเสีย ก็เลยจำต้องคอยหว่านล้อมฮ่องเต้อยู่ตลอด”
หวังซีจึงถามเขาว่า “เจ้าเล่า? ยังเป็นผู้บังคับบัญชากองพลทองคำทั้งสี่ต่อไปหรือไม่”
“องค์ชายรองเป็นแค่องค์รัชทายาท ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้เสียหน่อย” เฉินลั่วกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “แน่นอนว่าข้ายังคงเป็นผู้บังคับบัญชากองพลของข้าต่อไป”
เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้คนคาดไม่ถึงก็คือ เขาพูดประโยคนี้ไปไม่ถึงสองวัน จู่ๆ ฮ่องเต้ก็เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน
หวังเฉินลอบรู้สึกร้อนใจ
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินลั่วมาปรึกษาเรื่องงานแต่งระหว่างเขากับหวังซีนั้น เขาลังเลใจเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่ารีบร้อนแต่งเกินไป กลัวผู้อื่นเอาไปนินทา บัดนี้ดียิ่งแล้ว ต้องไว้ทุกข์ทั้งแผ่นดิน อย่างไรก็ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีกระมัง
แต่ผู้อาวุโสและเหล่าญาติๆ จากสู่จงออกเดินทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เรื่องที่เลวร้ายที่สุดได้บังเกิดขึ้นแล้ว
“นี่มีอะไรต้องกังวลหรือเจ้าคะ” หลังจากทราบเรื่องแล้วหวังซีหัวเราะร่าพลางกล่าวกับพี่ชายใหญ่ว่า “จะได้อยู่จิงเฉิงสักระยะหนึ่ง ยังได้หารือเรื่องที่หากครอบครัวพวกเราจะย้ายออกจากสู่จงจริงควรไปอยู่ที่ไหนเรื่องนั้นด้วย นอกจากนี้ภูเขาแม่น้ำล้วนงดงาม หากอยากไป ก็นั่งเรือล่องลงใต้ ไปดูทิวทัศน์ของทางใต้ แล้วค่อยมาส่งข้าออกเรือนก็ยังไม่สาย”
จินซื่อฟังแล้วพลันตื่นเต้นขึ้นมา
ในบรรดาสตรีด้วยกันนั้นนางถือได้ว่าเป็นคนมีประสบการณ์เห็นโลกกว้างมาแล้วผู้หนึ่ง แต่หากถามว่าเดินทางไปที่ไหนบ้าง ก็แค่เมืองและอำเภอไม่กี่แห่งเท่านั้น ถ้าได้ไปเจียงหนานสักครั้ง ได้เข้าใจความนุ่มนวลของดินแดนริมน้ำอย่างเจียงหนานสักหน่อย นางก็รู้สึกว่าชีวิตนี้คุ้มค่าแล้ว!
นางจึงส่งเสริมให้หวังเฉินเห็นดีเห็นงามด้วย ยังกล่าวด้วยว่า “ก็ถือเสียว่าพวกเราออกไปท่องเที่ยวด้วยกันครั้งหนึ่ง ท่านเองก็พูดบ่อยๆ มิใช่หรือว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่มก็ไม่เท่าออกเดินทางหมื่นลี้ ลูกๆ อายุยังน้อย เป็นเวลาที่เหมาะสำหรับออกไปเห็นโลกกว้างพอดี”
หวังเฉินยังไม่ค่อยแน่ใจนัก จึงตัดสินใจว่ารอปู่กับบิดามาถึงแล้วค่อยว่ากันอีกที
แต่จิงเฉิงเริ่มแต่งกายขาวโพลนกันทั้งหมดเพื่อไว้อาลัยแด่ฮ่องเต้
หลงจู๊ใหญ่กลับยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินว่าสุขภาพของฮ่องเต้ไม่ค่อยดี เป็นโรคใจสั่น จึงเดินทางไปวัดเจินอู่เป็นพิเศษครั้งหนึ่งเพื่อขอคำแนะนำจากเซียวเหยาจื่อ จากนั้นก็เริ่มรวบรวมผ้าขาวมาไว้ที่ร้าน น่าเสียดายที่เขายังรวบรวมได้ไม่มากพอฮ่องเต้ก็เสด็จสวรรคตไปเสียแล้ว ต่อให้เป็นเช่นนั้น เขาก็ทำเงินได้ก้อนใหญ่เลยทีเดียว
จิตใจและอารมณ์ของทุกคนล้วนไม่แย่นัก
เนื่องจากได้รับการคุ้มครองจากตระกูลหวังตอนเกิดกบฏในวัง ฉังเคอนางจึงตั้งใจนำผลไม้และยาบำรุงร่างกายมามอบให้เป็นพิเศษ แล้วก็คุยเรื่องจวนหย่งเฉิงโหวกับหวังซีด้วย “ที่เขตต้าสือยงและเขตเสี่ยวสือยงไม่ค่อยมีเรื่องวุ่นวายเท่าไรนัก แต่บ้านของฉังเหยียนสูญเงินไปเล็กน้อย โชคดีที่คนไม่เป็นอะไร ข้ากลับไปบังเอิญเจอนางพอดี นางดูเศร้าซึมเล็กน้อย ฟังจากความหมายนั่นแล้ว ไม่น่าแต่งเข้าตระกูลหวงเลย บอกว่าแต่งงานนั้นหากมิใช่แต่งกับคนที่มีสถานะครอบครัวดี คอยปกป้องตระกูลได้ ก็ต้องแต่งกับคนที่มีความสามารถ ในยามคับขันรับมือกับปัญหาได้ ซึ่งพี่เขยหวงไม่มีทั้งสองอย่าง”
แล้วก็กล่าวอีกว่า “ตอนนั้นนางเป็นคนฉวยเอางานแต่งนี้ไปเองมิใช่หรือ ตามความเห็นของข้าแล้ว ต่อให้ต้องคุกเข่าก็ต้องเดินต่อไป”
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “กล่าวไปกล่าวมาสุดท้ายแล้วไม่ว่าอะไรก็ไม่ควรพึ่งพาผู้อื่น ควรพยายามพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุดดีกว่า”
ฉังเคอฟังคำกล่าวนี้แล้วก็เอ่ยถึงเรื่องที่ทุกคนจะทำการค้าร่วมกันขึ้นมา “ข้ามาดูแลร้านให้ดีกว่า! คนที่บ้านของข้าท่านนั้น ตอนนี้ได้ย้ายไปอยู่ที่หน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้า ว่ากันว่าที่นั่นขาดแคลนคนเป็นจำนวนมาก สามีของข้าไปสืบมาแล้ว เห็นว่าคนของเจ้าท่านนั้นเป็นคนให้ความช่วยเหลือ พวกเราพี่น้อง ข้าไม่พูดมากกว่านี้แล้ว เจ้าช่วยขอบคุณเฉินลั่วแทนข้าสักครั้ง”
ยังกล่าวเล่นๆ อีกว่า “กำลังดูว่าควรส่งของขวัญขอบคุณมาที่บ้านของเจ้าหรือส่งไปที่จวนจ่างกงจู่ดี ข้ากลัวว่าความกตัญญูรู้คุณของข้าจะถูกจวนเจิ้นกั๋วกงตัดทิ้งแบบไม่เหลือใย”
หวังซีหัวเราะฮ่าเสียงดัง
เรื่องภายนอกนั้นนางไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้าขับคนออกเป็นจำนวนมากในคราวเดียว ต่อให้ไม่ชัดเจน ก็ไม่อาจเก็บเอาไว้ต่อไปได้ เพราะฉะนั้นย่อมต้องหาวิธีโยกย้ายคนจากกองพลส่วนพระองค์ในจิงเฉิงไปทดแทนคนที่หน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้า
หลังจากฉังเคอกลับไปแล้ว เฉินลั่วก็มาหา กล่าวกับหวังซีว่า “พี่ชายร่วมน้ำนมของเจ้าผู้นั้นชื่อหวังสี่ใช่หรือไม่ ข้ามีโอกาสหนึ่งให้เขา เจ้ามิสู้ฉวยโอกาสนี้ปล่อยตัวเขาเสีย ข้าจะหาทางฝากเขาเข้าไปที่หน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้า หากมีคนถามขึ้นมา ก็บอกว่าเป็นญาติห่างๆ ของพวกเจ้า เวลาที่ร้านมีเรื่องอะไร ก็จะได้มีคนช่วยสักคนหนึ่ง”
หน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้ามีสายตรวจทั่วไปที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนตามท้องถนน บางครั้งก็มีโอกาสได้ผูกสัมพันธ์กับตระกูลชั้นสูงทรงอิทธิพลเหล่านั้นเหมือนกัน และเวลาเช่นนี้จะให้ความสำคัญกับชาติกำเนิดเป็นอย่างมาก
นี่ช่างเป็นขนมไส้เนื้อที่ร่วงหล่นลงจากสวรรค์จริงๆ
นางรีบไปหารือกับหวังเฉิน
หวังเฉินยินดีเป็นล้นพ้น ให้หลงจู๊ใหญ่ไปทำเรื่องปล่อยตัวหวังสี่กับทางการ ส่วนตัวเองเรียกหวังสี่มากำชับเรื่องต่างๆ กว่าครึ่งค่อนวัน
หวังหมัวมัวตกตะลึงพรึงเพริดกับข่าวดีนี้จนนิ่งค้างไปแล้ว กว่าครู่ใหญ่ถึงก้มหน้าลงแล้วร้องไห้ออกมา หากไม่ได้พวกไป๋กั่วคอยปลอบอยู่ด้านข้าง ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อไรถึงจะไปกล่าวขอบคุณหวังซีได้
แต่ว่าสถานะในราชสำนักของจวนเจิ้นกั๋วกงและจวนชิ่งอวิ๋นป๋อล้วนเปราะบางขึ้นมาเล็กน้อย
คนที่ไปยึดทรัพย์ที่บ้านของชิ่งอวิ๋นป๋อในตอนนั้นคือเจิ้นกั๋วกง แม้นกล่าวว่าได้รับคำสั่งมาจากจักรพรรดิ แต่ก็ดูจุดยืนของเจิ้นกั๋วกงออก นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ บัดนี้ฮ่องเต้สิ้นแล้ว จักรพรรดิพระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ อภิสิทธิ์ของเขาก็มลายหายไป ส่วนจวนชิ่งอวิ๋นป๋อ ได้ให้ความช่วยเหลือจักรพรรดิพระองค์ใหม่ตอนได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาทเอาไว้มาก บัดนี้เรื่องใหญ่สำเร็จลุล่วง ตามหลักแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจักรพรรดิพระองค์ใหม่ก็ต้องคืนบรรดาศักดิ์เดิมให้จวนชิ่งอวิ๋นป๋อกระมัง
แต่หลังจากที่การไว้ทุกข์ยี่สิบเจ็ดผ่านพ้นไปแล้ว จักรพรรดิพระองค์ใหม่เถลิงราชย์ ฮองเฮาขึ้นเป็นไทเฮา องค์ชายใหญ่เป็นหัวหน้าศาลบรรพชน ส่วนเฉินลั่วนอกจากดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองพลทองคำทั้งสี่ต่อแล้ว ยังได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารม้าจู่โจมเพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่งด้วย ทว่าชิ่งอวิ๋นป๋อกลับยังคงเป็นชิ่งอวิ๋นป๋อดังเดิม
คุณหนูหกปั๋วไม่พอใจมาก
นางยังจำความหวาดกลัวตอนที่ถูกยึดทรัพย์ได้ดี จึงอดพร่ำบ่นเล็กน้อยไม่ได้
มารดาของนางถอนหายใจ กล่าวเสียงเบาว่า “มีฮองเฮาสองพระองค์แล้ว ยังคิดอะไรอีก ไม่สู้ก็ตาย สู้ก็ใช่ว่าจะได้ดีเสมอไป”
ที่บ้านคงค่อยๆ สงบเงียบลงไป
ขอเพียงไม่ถูกลดบรรดาศักดิ์ไม่ถูกยึดทรัพย์อีก การค่อยๆ เงียบสงบลงก็ใช่ว่าจะไม่ดี
จวนชิ่งอวิ๋นป๋อมิได้รุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้งอย่างที่ทุกคนจินตนาการเอาไว้ ตรงกันข้ามหลังจากผ่านพ้นการไว้ทุกข์ของแผ่นดินแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขาก็จากไปเนื่องจากได้รับความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ยึดทรัพย์ในครั้งนั้น ชิ่งอวิ๋นป๋อถือโอกาสไว้ทุกข์ให้บุพการี จวนชิ่งอวิ๋นป๋อเองก็เลือนหายไปจากสายตาของผู้คนไประยะหนึ่ง
ส่วนหวังซีกับเฉินลั่ว ไปต้อนรับคนในครอบครัวของหวังซีที่ท่าเรือทงโจวในวันอากาศแจ่มใสของฤดูใบไม้ร่วง
นภาสีฟ้าครามสายชลสีเขียวมรกต ไม่รอให้เรือเทียบท่า หวังซีก็หันไปโบกมือพร้อมกับวิ่งไปที่ท่าเรืออย่างเบิกบานแล้ว
ก่อนหน้านั้นเฉินลั่วยังเดินตามหลังนางอย่างเคร่งขรึมอยู่ แต่พอเห็นนางวิ่งเหยาะๆ ออกไป ก็วิ่งไล่ตามไปอย่างไม่วางใจ
ร่างที่กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขนั้นเหมือนนกน้อยกำลังเริงร่าตัวหนึ่ง ทำให้เขามองแล้วอดชะลอฝีเท้าลงไม่ได้
งานแต่งของเขาถูกเลื่อนออกไป ชีวิตในภายภาคหน้าอาจมีเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นอีก แต่เขารู้สึกว่านั่นล้วนไม่สำคัญ
สิ่งสำคัญคือคนผู้นี้อยู่ข้างกายตนตลอด มองเขารำกระบี่ด้วยแววตาอัศจรรย์ใจ แล้วก็เจื้อยแจ้วอยู่ข้างกายเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่าวันนี้กินอะไร…
ชีวิตที่เหลือยังอีกยาวไกล มีใครสักคนร่วมแบ่งปันความอบอุ่นให้แก่กันและกัน เพียงเท่านี้ก็ดีที่สุดแล้ว
จบบริบูรณ์
……………………………………………………
ตอนต่อไป →