หวังเฉินรู้สึกขมขื่นจนพูดไม่ออกจริงๆ
เดิมตระกูลหวังเป็นผู้ปกครองท้องถิ่นของสู่จง นี่ก็เป็นเพราะสู่จงล้อมรอบไปด้วยขุนเขา มีสายน้ำเพียงหนึ่งสายที่ไหลลงใต้ เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารที่ป้องกันง่ายโจมตียาก มีภูเขาสูงมากมาย นอกจากสู่จงแล้ว สถานที่อื่นๆ ล้วนยากจนข้นแค้น คนทั่วไปล้วนไม่อยากเข้าไปอยู่
หาไม่แล้วก็คงไม่มีคำกล่าวที่ว่า ‘ถนนเดินทางไปสู่จงยากเข็ญยิ่งกว่าปีนขึ้นสรวงสวรรค์’
แต่ถ้าจู่ๆ ก็มีองค์ชายมาอยู่สู่จงถึงสามพระองค์ในคราวเดียว สถานที่ที่แต่เดิมอยู่ไกลปืนเที่ยงร้างผู้คนก็จะกลายเป็นสถานที่ที่ทุกคนต่างจับตามองทันที ตระกูลหวังจะกระทำการอย่างลับๆ และมั่งคั่งอย่างเงียบๆ ต่อไปได้อย่างไร
เป็นอย่างที่หวังซีกล่าวมานั่นจริงๆ แทนที่ถึงเวลาถูกผู้มีอำนาจจับจ้องต้องการแล่เนื้อดื่มโลหิตของพวกเขา มิสู้วางแผนการเสียแต่เนิ่นๆ หาทางเริ่มต้นใหม่ดีกว่า
แต่ตระกูลหวังตั้งรกรากที่สู่จงมาแล้วกว่าร้อยปี จะให้ไปง่ายๆ เช่นนี้ หัวใจของเขาก็รู้สึกไม่ยินยอม
เขากล่าวอย่างลังเลว่า “บางทีแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว รออีกสักสองสามปี ทางด้านโน้นอาจไม่เหมือนเดิมแล้วก็เป็นได้”
หวังซีถอนหายใจ กล่าวว่า “ตอนที่ควรตัดไม่ตัด จะยิ่งพบเจอความยากลำบาก หลายปีมานี้ชายแดนมาโจมตีหลายต่อหลายครั้ง จวนชิงผิงโหวยังมีความคิดอยากถอนกำลัง นับประสาอะไรกับพวกเราที่ทำการค้ากับอวิ๋นกุ้ยกันตลอดทั้งปี หากถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สอดแนมคงยิ่งยุ่งยากเป็นแน่…
…ข้าคิดว่าแทนที่จะรั้งอยู่ที่สู่จงต่อไป มิสู้เก็บสู่จงไว้เป็นทางหลบหนีเส้นหนึ่งดีกว่า”
มิใช่ว่าหวังเฉินไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน
แต่ตระกูลหวังถอยไปอยู่ที่ไหนถึงจะดีกว่าเล่า?
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไปหมิ่นเย่ว์เป็นอย่างไรเจ้าคะ”
หวังเฉินสนใจ
หวังซียิ้มกล่าวว่า “อย่างน้อยอากาศของทางนั้นก็อบอุ่น ของกินก็มีมากมาย และยังติดทะเลอีกด้วย”
ราชวงศ์ปัจจุบันปิดประเทศมาร้อยกว่าปีแล้ว
ไม่ว่าเรื่องอะไรเมื่อไปถึงจุดสูงสุดแล้วย่อมค่อยๆ เสื่อมลง
หวังเฉินเข้าใจความหมายของหวังซีดี
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตอนนี้ รอท่านปู่มาถึงแล้วค่อยหารือกับผู้อาวุโสก่อนก็ยังไม่สาย พวกเรายังเคยสร้างหนี้บุญคุณครั้งใหญ่กับวัดหนานหวาเอาไว้ครั้งหนึ่งด้วยนี่นา!”
บางครั้ง ผูกสัมพันธ์กับพระในวัดเอาไว้ก็เป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ประเภทหนึ่งเช่นกัน
หวังเฉินกล่าวเย้านางยิ้มๆ ว่า “หากรู้เช่นนี้แต่แรก คงไม่ปล่อยโฉนดเขากู้ซื่อหลุดมือไปแน่”
“โฉนดเขาซื่อกู้ถือเป็นเรื่องรอง” หวังซียิ้มกล่าว “ขอเพียงราชสำนักมีคำสั่ง ไม่ว่าสถานที่แบบไหนก็มีทั้งนั้น”
หวังเฉินพยักหน้า
หวังซีบอกให้เฉินอวี้ไปพักผ่อนก่อน “ล้างหน้าล้างตา กินอะไรสักหน่อยและพักผ่อนดีๆ สักตื่นก่อนแล้วค่อยไปทำงานต่อ ด้านคุณชายรอง ย่อมต้องมีเรื่องให้จัดการอีกมาก พวกเจ้าต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันปรนนิบัติรับใช้ถึงจะถูก”
เฉินอวี้โขกศีรษะให้หวังซี กล่าวว่า “บ่าวไม่กล้าขอรับ คุณชายรองเป็นห่วงว่าคุณหนูจะคิดฟุ้งซ่าน จึงให้ข้ามารายงานให้คุณหนูทราบเป็นการเฉพาะ ยังรอให้ข้ากลับไปรายงานความคืบหน้าอยู่ขอรับ!” ยังกล่าวอีกว่า “คาดว่าด้านคุณชายรองคงต้องวุ่นกันอีกเจ็ดถึงแปดวัน องค์ชายรองมอบหมายให้คุณชายรองไปจัดการเรื่องของหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้า คุณชายรองให้คุณหนูพักอยู่ที่นี่ก่อน รอทางจิงเฉิงไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เขาค่อยมารับท่านขอรับ”
ในเมื่อเขากล่าวเช่นนี้แล้ว หวังซีเองก็ไม่รั้งเขาเอาไว้อีก ให้คนยกข้าวต้มมาให้เขา ตกเงินรางวัลให้แล้วก็ส่งเขาออกไป
แต่ทันทีที่เขาออกจากประตูไป หวังเฉินก็ซ่อนความดีใจเอาไว้ไม่ได้อีก นัยน์ตาที่มองหวังซีแดงก่ำไปหมด กล่าวติดๆ กันหลายประโยคว่า “มนุษย์เรานี้ต้องเชื่อในโชคชะตา เจ้าดูเจ้า ไม่มีอะไรดีสักอย่าง แต่งงานกับคนไปส่งๆ แต่กลับได้แต่งกับขุนนางในหมู่มังกรผู้หนึ่ง”
หวังซีหันไปกลอกตามองบนใส่พี่ชาย กล่าวว่า “อะไรที่เรียกว่าแต่งกับคนไปส่งๆ เจ้าคะ? งานแต่งครั้งนี้พวกท่านเป็นคนเห็นดีเห็นงามด้วยมิใช่หรือ ที่แท้พวกท่านก็อนุญาตไปอย่างส่งๆ หรือเจ้าคะ”
บัดนี้เรื่องใหญ่คลี่คลายแล้ว ต่อให้เฉินลั่วไม่มีบรรดาศักดิ์ของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่หน้าที่การงานในอนาคตก็คงไม่ย่ำแย่นัก ยามพูดจาหวังเฉินเองก็ไม่ต้องวิตกกังวลมากขนาดนั้นอีกแล้ว พอเห็นหวังซีกล่าววาจาไร้สาระหยอกเย้ากับเขา เขาเองก็พูดกับนางอย่างสบายๆ ว่า “นี่มิใช่เพราะเห็นเจ้าชอบรูปลักษณ์ของคุณชายรองตระกูลเฉินหรอกหรือ ข้าจะไม่อนุญาตได้อย่างไร หาไม่แล้ว ครอบครัวของพวกเขายุ่งเหยิงขนาดนั้น ไม่ว่าอย่างไรพวกข้าก็ไม่มีทางให้เจ้าแต่งเข้าไปอย่างแน่นอน! กล่าวไปกล่าวมา ที่เจ้าได้แต่งกับคู่ครองที่ดี ก็เป็นความสามารถของเจ้าเอง”
หวังซีหัวเราะฮ่าเสียงดัง
ดึงดูดให้จินซื่อกับฉังเคอที่รออยู่ด้านหลังอย่างร้อนใจออกมาร่วมด้วย
หลงจู๊ใหญ่เล่าเรื่องส่วนที่เล่าได้ให้ทั้งสองคนฟังอย่างลิงโลดยินดี ทั้งสองคนต่างพากันดีใจไปด้วยตามๆ กัน ประนมมือขึ้นสวด ‘อมิตาพุทธสูตร’ ดีใจไปกับหวังซีด้วย
จินซื่อถามหวังเฉินว่า “ต้องไปดูสักหน่อยหรือไม่ว่าร้านค้าตึกรามบ้านช่องที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือเปล่า พวกเราฉวยโอกาสนี้ซื้อมาเก็บไว้บ้างดีหรือไม่เจ้าคะ”
องค์ชายรองได้เป็นรัชทายาท ย่อมมีคนทะยานขึ้นมาและมีคนตกต่ำลงไป
คนที่ล้มลงรู้สึกว่าตนควรหนีจากเคราะห์กรรมไปก่อน ย่อมคิดหาทางขายทรัพย์สินแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองเพื่อเดินทางออกจากจิงเฉิง
นี่นับเป็นโอกาสทางการค้า!
หวังเฉินรู้สึกว่าเป็นไปได้ สองสามีภรรยากระซิบกระซาบคุยเรื่องนี้กันขึ้นมา
เนื่องจากฉังเคอกับจินซื่อมาจากพื้นเพครอบครัวที่ไม่เหมือนกัน เรื่องที่สนใจก็เลยไม่เหมือนกันด้วย นางดึงหวังซีไปคุยกันข้างๆ “องค์ชายรอง มิใช่สิ องค์รัชทายาทให้เฉินลั่วไปจัดการหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้า จะมีอะไรไม่เหมาะสมหรือไม่”
คนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้าก็ไม่ต่างจากกองพลทองคำและกองพลขนนก มีญาติหรือไม่ก็บุตรอนุของตระกูลชั้นสูงอยู่ในนั้นจำนวนมาก ล้วนเป็นพวกโหดเหี้ยม ชั่วร้ายและไร้เหตุผลประเภทนั้นทั้งสิ้น นอกจากนี้ก็เหมือนกับที่ฮ่องเต้ถามในท้องพระโรงตอนนั้น องค์ชายเจ็ดถูกเลี้ยงอยู่ในวังหลวง น้อยครั้งที่จะได้ออกจากวัง ที่ผ่านมาไม่เคยกำกับดูแลกองทัพมาก่อน ไปผูกสัมพันธ์กับหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้าได้ตั้งแต่เมื่อใด ยังสั่งการพวกเขาไป ‘ช่วยจักรพรรดิ’ ได้อีก เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำซ่อนอยู่เป็นแน่
ตรวจสอบออกมาแล้วไม่รู้ว่าจะโยงไปถึงคนมากมายเพียงใด
ถ้าฮ่องเต้ไม่อยู่แล้ว องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ ยังพอหายกังวลได้บ้าง สืบเจอใครก็คือคนนั้น
แต่บัดนี้ฮ่องเต้ยังอยู่ ยังมีเรื่องลอบสังหารองค์ชายใหญ่ที่ยังคลุมเครืออยู่ ปิดคดีไปอย่างไม่ชัดเจน เช่นนั้นเฉินลั่วจะตรวจสอบอย่างไร
หวังซีกลับเชื่อมั่นในตัวเฉินลั่วเป็นอย่างมาก นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเราต่างไม่คุ้นกับเรื่องในแวดวงขุนนาง ต่อให้กังวลมากเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้เชื่อฟังคำของเขา พักอยู่ในบ้านให้สบายใจรอเขามารับดีกว่า พอเขาไม่ต้องมาดูแลเรื่องเล็กน้อยอื่นๆ ก็จะได้มีแรงไปจัดการเรื่องในราชสำนัก พวกเรารอเฉินลั่วมาแล้วค่อยถามเขาว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรดีกว่า!”
ฉังเคอถอนหายใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านางรู้สึกสบายใจขึ้นมาก อย่างน้อยก็มีสายสัมพันธ์กับหวังซีอยู่ ขอเพียงเวินเจิงไม่เข้าไปพัวพันกับเรื่องช่วงชิงสิทธิ์โอรสจากชายาเอกนี้ แต่แน่นอน ด้วยความฉลาดมีไหวพริบของเวินเจิงแล้ว เขาไม่น่าทำเรื่องเช่นนั้นแน่ เช่นนั้นก็นับได้ว่าอนาคตของเวินเจิงปลอดภัยแล้ว
เช่นนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
หวังซีกับฉังเคอต่างผ่อนคลาย อยากกินก็กิน อยากพักก็พัก ระหว่างนั้นยังย่างเนื้อแกะกินกันหนึ่งครั้งด้วย สุดท้ายเฉินลั่วก็มารับ
เฉินลั่วที่อยู่ในชุดขุนนางสีแดงสดปักลายราชสีห์สีทองและมีสีหน้าเคร่งขรึมนั่นช่างหล่อเหลาจริงๆ!
หวังซีรู้สึกว่าเฉินลั่วเหมาะกับสวมเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดมากเป็นพิเศษ
นางลอบชื่นชมความหล่อเหลาของเฉินลั่วอยู่ครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงก้าวออกไปทำความเคารพเฉินลั่วที่กำลังสนทนากับหวังเฉินอยู่
สายตาของเฉินลั่วมองมาที่หวังซีทันที หลังจากทักทายนางตามมารยาทแล้ว กล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้ามารับเจ้ากลับเข้าเมือง”
แววตาสุกใสระยิบระยับนั่น มักทำให้หวังซีรู้สึกว่าดวงตาของเขามีความนัยแฝงอยู่ ไม่เหมือนมารับนางกลับเข้าเมือง คล้ายกำลังบอกว่ามารับนางกลับบ้านมากกว่า
หวังซีหน้าแดง รีบก้าวไปขึ้นรถม้าอย่างร้อนรน
เมื่อเข้าเมืองมาแล้ว นางแอบเลิกผ้าม่านขึ้นมองออกไปด้านนอก
ในตลาดเนืองแน่นไปด้วยรถม้าและเกวียน ผู้คนขวักไขว่ไปมา คึกคักกันเป็นอย่างยิ่ง กลับมาอึกทึกครึกโครมเหมือนก่อนหน้านี้โดยสมบูรณ์แล้ว ดูไม่ออกแม้แต่น้อยว่าเมื่อหลายวันก่อนเคยเกิดการจลาจลมาก่อน
เช่นก็ดีแล้ว!
ประชาชนมีที่พึ่งน้อยเกินไป มีชีวิตอย่างสงบสุขได้ถือเป็นห้วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองแล้ว
นางกลับถึงซอยลิ่วเถียว ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วมายืนมองดอกอวี้จานที่กำลังชูช่อตูมรอการเบ่งบานอยู่เต็มลานบ้าน รู้สึกราวกับอยู่กันคนละโลก
มีคนโยนหินใส่นาง
นางเงยหน้าขึ้นเห็นเฉินลั่วพาดตัวอยู่บนกำแพง
หวังซีอดเม้มปากหัวเราะไม่ได้
เฉินลั่วถามนางจากบนกำแพงว่า “กินอะไรเป็นข้าวเย็น”
หวังซีถามยิ้มๆ ว่า “พี่ใหญ่ไม่ชวนเจ้าอยู่กินมื้อเย็นด้วยหรือ”
“ชวนแล้ว!” เขากระโดดลงมาจากกำแพง กล่าวว่า “ข้าบอกว่าข้ายังมีธุระ วันหน้าค่อยไปเยี่ยมใหม่”
“แล้วเจ้าก็วิ่งมาหาข้านี่นะ?” หวังซีถามเขายิ้มๆ
เขาใช้แขนเสื้อรองเอาไว้ดึงแขนของหวังซีเบาๆ เป็นสัญญาณบอกให้ไปคุยกันที่ใต้ซุ้มองุ่น
“ข้าทำเพื่อเจ้ามิใช่หรือ” เขากล่าว “หรือเจ้าไม่มีอะไรอยากถามเข้าเลย?”
หวังซีไม่เชื่อ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอยากมาขอกินข้าวที่เรือนของข้ามากกว่ากระมัง เวลาพี่ใหญ่ข้ารับรองเจ้า ไม่มีของที่เจ้าชอบกินหรืออย่างไร”
เฉินลั่วทำหน้าขมขื่น กล่าวว่า “ไม่ถึงขนาดนั้น แต่อยู่บ้านพวกเจ้าข้าเองก็ไม่อาจสั่งกับข้าวตามใจชอบได้นี่นา! นอกจากนี้พี่ใหญ่คอแข็งเกินไป ข้ามาเมื่อไรก็เมากลับไปทุกครั้ง ไม่ไหวจริงๆ มากินอะไรเล็กน้อยกับเจ้าที่นี่ดีกว่า”
หวังซีหัวเราะไม่หยุด ให้สาวใช้ไปทำเครื่องเคียงที่กินเป็นประจำมาสองสามอย่าง ยังถามเขาด้วยว่า “เจ้ามีเวลาหรือไม่ หากเจ้ามีเวลา จะตุ๋นน้ำแกงให้เจ้าอีกสักหนึ่งอย่าง วันนี้เพิ่งกลับมา ในครัวเตรียมของไว้ไม่เยอะมาก น้ำแกงไก่นั้นเพิ่งตุ๋นไว้เมื่อเช้า ไม่รู้ว่าตุ๋นเสร็จหรือยัง”
น้ำแกงของห้องครัวนางล้วนตุ๋นล่วงหน้าเอาไว้หนึ่งวัน ตุ๋นจนกระดูกหลุดออกมา เหลือไว้เพียงน้ำแกงไก่หรือไม่ก็เอาไปทำเป็นน้ำแกงทำกับข้าว
เฉินลั่วนั่งลงใต้ซุ้มองุ่น พรั่งพรูความทุกข์ยากออกมาว่า “ตอนนี้ให้ข้าดื่มน้ำเปล่าของพวกเจ้าข้าก็รู้สึกว่าดีมากแล้ว หลายวันมานี้ ข้าเดินทางจากค่ายไหวโหรวมาที่นี่ไปๆ กลับๆ ไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดเที่ยว ไม่ได้ดื่มน้ำหรือกินอาหารร้อนๆ ให้สบายใจเลยแม้แต่มื้อเดียว ตอนนี้หากเจ้ายกหม่านโถวมาให้ข้าหนึ่งจานคาดว่าข้าคงกินจนหมดได้”
นี่ไม่เกินจริงเลยสักนิด
น้ำเปล่าของหวังซีใส่ใบหม่อนลงไปต้มด้วย ช่วยบรรเทาอาการร้อนในได้ ส่วนหม่านโถวใช้นมแพะ เนื้อจึงเนียนนุ่มกว่าหม่านโถวทั่วไป ยังให้กลิ่นนมอ่อนๆ อีกด้วย เฉินลั่วชอบกินมาก
หวังซีจึงให้ห้องครัวทำน้ำแกงผักตามฤดูกาลมาให้เฉินลั่วอีกหนึ่งถ้วย ยังกำชับคนครัวด้วยว่า “เติมรากบัวที่หลงจู๊ใหญ่ส่งมาให้เมื่อครู่ด้วย”
เฉินลั่วถามอย่างแปลกใจว่า “ฤดูกาลนี้มีรากบัวแล้วหรือ”
“ไม่มาก!” หวังซีนั่งลงมาตามเฉินลั่ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “อ่อนมาก คั้นน้ำแล้วเอาไปต้มก็อร่อยมาก ซอยเป็นแว่นบางๆ ใส่ลงไปในน้ำแกงก็สดชื่นมากเช่นกัน”
เรื่องของกิน เฉินลั่วล้วนกินตามหวังซี
หวังซีจึงถามเฉินลั่วเรื่องหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้า “เหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นต่อหน้าต่อตาจวนชิ่งอวิ๋นป๋อได้ ดีร้ายพวกเขาก็เป็นทหารยศขั้นสามบนกระมัง เหตุใดยามโง่เขลาขึ้นมาถึงได้โง่กว่าเด็กสาวในห้องหออย่างข้าไปได้เล่า”
เฉินลั่วเลิกคิ้วขึ้นมองหวังซีครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าเองก็อย่าใช้วาจาหลอกถามข้าเลย ข้าไม่คิดจะปิดบังเจ้าอยู่แล้ว นอกจากพวกที่ได้เป็นหัวหน้าเพราะอาศัยเส้นสายเหล่านั้นแล้ว มีใครโง่งมขนาดนั้นบ้าง แน่นอนว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้ากับจวนชิ่งอวิ๋นป๋อทำข้อตกลงร่วมกัน หากฮ่องเต้ไปยึดทรัพย์จวนชิ่งอวิ๋นป๋อ พวกข้าจะใส่ร้ายองค์ชายเจ็ดบีบบังคับให้สละราชสมบัติ! ไม่อย่างนั้นคนของหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้าจะสามัคคีกันขนาดนั้นได้อย่างไร หัวหน้าห้าคนล้วนมุ่งหน้าเข้าวังไปอย่างพร้อมเพรียง!…
…และองค์ชายรองเองก็คงไม่มอบคนของหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้ามาให้ข้าจัดการหรอกกระมัง”
เหตุใดไม่ใช้คนของกองพลทองคำนะ?
ความคิดนี้เพิ่งผุดออกมาจากหัวของหวังซี ก็ถูกนางกดลงไปอย่างรวดเร็ว
เฉินลั่วช่างฉลาดจริงๆ
ชิ่งอวิ๋นป๋อสั่งให้คนของหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้าใส่ร้ายองค์ชายเจ็ดได้ ทว่าเฉินลั่วทำไม่ได้ กล่าวคือ เมื่อใดก็ตามที่องค์ชายรองได้ขึ้นครองราชย์ จวนชิ่งอวิ๋นป๋อคือตระกูลลุงของเขา แต่เฉินลั่วเป็นขุนนางของเขา หากเขาจำเรื่องนี้ไม่ได้ก็ถือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าจำได้ขึ้นมา ก็คงอดระแวงว่าเฉินลั่วจะใส่ร้ายเขาไม่ได้!
เฉินลั่วมีนิสัยที่ค่อนข้างชอบบงการออกคำสั่ง ก่อนหน้านี้หวังซีเป็นห่วงเขาอยู่บ้าง
บัดนี้เขาคิดถึงข้อนี้ได้ นางก็ไม่มีอะไรต้องห่วงเขาแล้ว
…………………………………………………………………