“จิงเฉิงวุ่นวายมากหรือเปล่า” หวังซีให้ฉังเคอนั่งลงบนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง ไป๋กั่วนำน้ำชาของว่างมาขึ้นโต๊ะเสร็จแล้ว นางถึงได้ถามฉังเคอ
“ก็ไม่เชิงว่าวุ่นวาย” ฉังเคอกล่าวอย่างลังเล ท่าทางเหมือนไม่รู้จะให้คำจำกัดความว่าอย่างไร “ก็แค่ทุกคนต่างเคร่งเครียด ทุกจวนต่างควบคุมบุตรหลานในบ้านไม่ให้ออกไปข้างนอก ประชาชนคนทั่วไปก็ปฏิบัติตามคนตระกูลใหญ่ตระกูลโตไปด้วย บนถนนเงียบเชียบ หน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้า กองพลขนนก และกองพลทองคำต่างงดเว้นการลากันทั้งหมด ไม่รู้ว่าต้องการทำอะไร…
…เนื่องจากครอบครัวพวกข้าเป็นเพียงคนธรรมดา สู้จวนหย่งเฉิงโหวไม่ได้ สามีกลัวว่าหากถึงเวลาแล้วเกิดอะไรขึ้น จะดูแลข้าไม่ได้ ถึงได้ให้ข้ามาหลบทิศทางลมกับเจ้าที่นี่”
บัดนี้เวินเจิงยังอยู่กองพลทองคำ
“แล้วองค์ชายรองออกจากเมืองหลวงหรือยัง” หวังซีถาม
“ยัง” เดินทางมาภูเขาตะวันตกครานี้ เวินเจิงพูดเรื่องต่างๆ กับฉังเคอไม่น้อย “ว่ากันว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงประชวร ต้องการให้องค์ชายรองเฝ้าไข้ รอฮองเฮาเหนียงเหนียงดีขึ้นแล้ว องค์ชายรองค่อยออกเดินทางไปเล่อซาน”
เกรงว่าตระกูลปั๋วคงโมโหแย่แล้ว
ถัดจากนั้นก็เป็นเฉินลั่ว ฮ่องเต้ให้เขาไปควบคุมดูแลกองพลทองคำ ก็เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะให้เขาร่วมเป็นร่วมตายกับกองพลทองคำ กล่าวคือ หากสั่งการเฉินลั่วได้ ย่อมเท่ากับว่าสั่งการกองพลทองคำได้ แต่ถ้าสั่งการเฉินลั่วไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้เฉินลั่วหายไปพร้อมกับกองพลทองคำโดยไม่ต้องถามหาหลักการเหตุผลอะไรอีก
โชคดีที่ไม่ว่าจิงเฉิงจะวุ่นวายอย่างไร ตระกูลใหญ่ทรงอำนาจที่อาศัยอยู่ในเขตต้าสือยงและเขตเสี่ยวสือยงเหล่านั้นต่างไม่มีใครกล้าสร้างความวุ่นวายให้ ลำบากก็แต่ครอบครัวอย่างคนสกุลหวงที่ฉังเหยียนแต่งเข้าไป พอจะมีเงินทองบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีอิทธิพลและอำนาจ มีขอทานมาเกาะแกะบ่อยครั้ง มาเคาะประตูส่งเสียงดังจนหลอกเอาเงินได้บ้างจริงๆ ทว่าก็ไม่กล้าทำอะไรรุนแรงจนเป็นเหตุถึงแก่ชีวิตได้ ตระกูลหวงเองก็เข้าใจกระจ่างแจ้งดี ได้แต่เจรจาเป็นครั้งๆ ไป จ่ายเงินออกไปทีละน้อย เพียงหวังว่าจะได้จ่ายออกไปน้อยที่สุด
สถานการณ์เช่นนี้กลับบีบคั้นจนฉังเหยียนรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าแล้ว
นางเป็นหญิงสาวของจวนหย่งเฉิงโหว ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยถูกดูแคลนเช่นนี้มาก่อน จึงเหมือนตัวปัญหาที่ถูกคนรังแก อารมณ์ของนางปะทุขึ้นทุกวัน แต่ก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยได้แต่อดกลั้นเอาไว้
หวังซีเองก็อารมณ์ไม่ค่อยดีนักเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นนางหรือหวังเฉิน ต่างให้คนไปสืบข่าวในเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง ประเดี๋ยวก็ว่าฮ่องเต้พิโรธจนประชวร ประเดี๋ยวก็ว่าจวนชิ่งอวิ๋นป๋อรวบรวมกำลังพล ตัดขาดการติดต่อระหว่างจิงเฉิงกับรอบนอก ต่อให้มีคนอยากมาช่วยกษัตริย์ก็ทำไม่ได้ ประเดี๋ยวก็ว่าเหล่าขุนนางใหญ่ต่างคุกเข่าอยู่หน้าท้องพระโรงจินหลวน หากฮ่องเต้ไม่ถอนพระราชโองการเรื่องให้องค์ชายรองไปปกครองเมืองศักดินา พวกเขาก็จะไม่ลุกขึ้น ประเดี๋ยวก็ว่ามีฝ่ายร้องเรียนบุกเข้าไปที่ท้องพระโรงจินหลวน…
บางอย่างฟังแล้วค่อนข้างน่าเหลือเชื่อ ทว่าบางอย่างก็ทำให้คนอดคิดมากไม่ได้
ทนใช้ชีวิตเช่นนี้อยู่ครึ่งเดือน ทันใดนั้นมีค่ำคืนหนึ่งท้องฟ้าเหนือจิงเฉิงมีเปลวไฟสว่างไสวกินพื้นที่ไปกว่าครึ่ง หวังซีและหวังเฉินที่อยู่ไกลถึงภูเขาตะวันตกต่างถูกปลุกจากการหลับใหล ยืนอยู่ในลานบ้านก็ยังเห็นได้ชัด
นี่เกิดการจลาจลหรือ
หวังซีรู้สึกหัวใจเย็นยะเยือก
เฉินลั่วเป็นคนนำทหาร และทหารที่เขานำยังเป็นกองพลส่วนพระองค์ ไม่ว่าครั้งนี้เขาจะยืนข้างชิ่งอวิ๋นป๋อหรือยืนข้างฮ่องเต้ ล้วนมีโอกาสเจอกันในสมรภูมิทั้งสิ้น
มีการต่อสู้ทางทหาร ย่อมมีการบาดเจ็บและความตาย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเลือกผิดฝั่งในเวลานี้หรือการถูกคิดบัญชีหลังการเก็บเกี่ยวเลย
หวังซีไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว
นางคุกเข่าอยู่ในห้องพระสวดมนต์ไปตลอดทั้งคืน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เฉินอวี้เร่งเดินทางฝ่าลมฝ่าฝุ่นมารายงานหวังซีในสภาพยุ่งเหยิง “ไม่เป็นไรแล้วขอรับไม่เป็นไรแล้ว ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นรัชทายาทแล้ว ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้วขอรับ”
กล่าวจบถึงกับขาอ่อนไปทั้งสองข้าง กว่าครู่ใหญ่ก็ยังลุกขึ้นมาไม่ได้
หลงจู๊ใหญ่รีบก้าวออกไปประคองเขาเอาไว้ หวังซีและคนอื่นๆ ถึงได้รู้ว่าช่วงที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เดิมทีฮ่องเต้ตัดสินใจส่งองค์ชายรองไปสู่จง แล้วเก็บองค์ชายใหญ่ไว้เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท เมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลปั๋วย่อมไม่ยินยอม ขอเพียงตระกูลปั๋วกล้าทำอะไรไม่เหมาะสมออกมา ฮ่องเต้ก็มีข้ออ้างและโอกาสในการจัดการจวนชิ่งอวิ๋นป๋อแล้ว
เวลานี้ฮองเฮาย่อมไม่ยอมปล่อยให้องค์ชายรองออกจากเมืองหลวง จึงแสร้งประชวรเพื่อรั้งองค์ชายรองไว้ที่จิงเฉิงชั่วคราว เตรียมไปปรึกษาหาแผนการที่ปลอดภัยที่สุดกับชิ่งอวิ๋นป๋อ
องค์ชายรองเองก็ไม่ยอมระเห็จไปเล่อซานอย่างเศร้าสร้อยเช่นนี้เหมือนกัน
เขาแอบไปหารือกับเฉินลั่วเงียบๆ
เฉินลั่วคิดว่าเรื่องนี้ต้องให้ขุนนางในสภาออกหน้าให้ถึงใช้การได้
ขุนนางในสภาเป็นบัณฑิตผู้มีการศึกษา คนที่หยิบเอา ‘ข้อถกเถียงเรื่องรากฐานของแผ่นดิน’ ขึ้นมาพูดได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดก็คือพวกเขา
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าขุนนางในสภาเหล่านั้นจะทุ่มสุดตัวขนาดนั้น ต่างตรงไปคุกเข่าเรียงแถวหน้ากระดานอยู่หน้าห้องทรงอักษรของฮ่องเต้
ฮ่องเต้โกรธจนลุกเป็นไฟ เรียกองครักษ์หลวงมาลากขุนนางใหญ่เหล่านั้นออกไปโบยยี่สิบครั้ง
ขุนนางใหญ่เหล่านั้นไม่รักษาหน้าตาแล้ว ถูกโบยไปขนาดนั้นก็ไม่กลับบ้าน คุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเฉียนชิงต้องการให้ฮ่องเต้ให้คำอธิบายแก่พวกเขา ทุกคนต่างแสดงท่าทียอมตายเป็นการประท้วง
ขุนนางตำแหน่งสูงมากอำนาจต้องการประท้วงด้วยความตาย เช่นนั้นฮ่องเต้กลายเป็นคนเช่นไรไปแล้ว ตายแล้วจะได้ชื่อว่าอย่างไร
ฮ่องเต้พิโรธหนักมาก ไม่สนใจพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาคุกเข่าอยู่ตรงนั้น คิดว่าประเดี๋ยวพวกเขาคุกเข่าต่อไปไม่ได้แล้วก็แยกย้ายกันไปเอง
และตอนนี้เอง ขุนนางเริ่มไม่พอใจฮ่องเต้ขึ้นมา
กล่าวถึงตรงนี้ เฉินอวี้รู้สึกปากแห้งคอแห้งขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ดื่มน้ำติดๆ กันสองถ้วย ถึงได้กล่าวต่อว่า “หม่ากงกงจึงแอบไปเชิญหลินอานต้าจ่างกงจู่กับเป่าชิ่งจ่างกงจู่เข้าวังมาเงียบๆ หมายจะหว่านล้อมฮ่องเต้ดู ผู้ใดจะรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ยอมพบใครทั้งสิ้น ต่อมาไม่ง่ายเลยกว่าจะหาโอกาสได้พบฮ่องเต้หนึ่งครั้ง ฮ่องเต้กลับชี้องค์หญิงทั้งสองท่านและต่อว่าไปคำรบใหญ่ บอกว่าพวกนาง…”
คำที่ว่ากินบนเรือนขี้รดบนหลังคาอะไรนั้นไม่ต้องพูดถึงดีกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้หวังซีรู้สึกไม่ชอบใจ
เฉินอวี้ขบคิดอยู่ในใจ กล่าวต่อว่า “สนใจแต่เรื่องไร้สาระ ส่งเป่าชิ่งจ่างกงจู่ไปอยู่กับเจียงไท่เฟย ให้เจียงไท่เฟยอบรมสั่งสอน…
…ยังให้ท่านกั๋วกงของพวกข้าไปจับคนที่จวนชิ่งอวิ๋นป๋อด้วย บอกว่าที่หลินอานต้าจ่างกงจู่กับเป่าชิ่งจ่างกงจู่เป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะได้รับการยุแยงจากชิ่งอวิ๋นป๋อ ต้องการยึดทรัพย์ของชิ่งอวิ๋นป๋อ เนรเทศคนจวนชิ่งอวิ๋นป๋อไปยังสถานที่ห่างไกล…
…ทุกคนต่างคิดว่าครั้งนี้จวนชิ่งอวิ๋นป๋อต้องลุกขึ้นมาก่อกบฏแน่ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าจวนชิ่งอวิ๋นป๋อกลับไม่ต่อต้าน ให้พวกเขาไปคุกหลวงพวกเขาก็ไป จับพวกสตรีขังไว้ในศาลาริมน้ำขนาดสามห้องหลังหนึ่งก็ให้ขังไว้ที่นั่น ไม่ต่อต้านขัดขืนแม้แต่น้อย…
…ตอนนี้เองประชาชนในจิงเฉิงต่างพากันลือว่าฮ่องเต้เสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพล เมื่อก่อนต้องอาศัยตระกูลปั๋วขึ้นครองราชย์ จึงเห็นดีเห็นงามตามน้ำไปกับตระกูลปั๋ว บัดนี้รู้สึกว่าตระกูลปั๋วไร้ประโยชน์แล้ว ก็เริ่มสังหารขุนศึก มิใช่กษัตริย์ที่ฉลาด รู้สึกว่าจวนชิ่งอวิ๋นป๋อมีผลงานโดดเด่นกลบทับตัวเองก็ต้องการสังหารคนจวนชิ่งอวิ๋นป๋อ ยังคิดจะสังหารรัชทายาทด้วย…
…ฮ่องเต้ได้ยินข่าวนี้แล้วเดือดดาลอย่างหนัก ราวกับไปกระทุ้งเรื่องในอดีตของเขา…
…ด้านฮ่องเต้นั้น ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งลง ทุกคนในราชสำนักทั้งบนและล่างไม่มีใครดูฎีกาเลยสักคน…
…ต่อมาเป็นลูกศิษย์ของใต้เท้าอวี๋ คนที่ดำรงตำแหน่งเป็นนักวิชาการอยู่ในสำนักฮั่นหลินผู้นั้น ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรบ้าง ฮ่องเต้จึงเชิญขุนนางใหญ่ทั้งหลายไปที่พระที่นั่งข้าง…
…ฮ่องเต้ยอมให้องค์ชายรองไม่ต้องไปปกครองเมืองศักดินา แต่ยังคงยืนกรานจะแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นเล่อซานโหว ส่วนเรื่องไปปกครองเมืองศักดินาค่อยว่ากันอีกครั้งในภายหลัง…
…เหล่าขุนนางใหญ่ไม่เห็นด้วย…
…เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป มีเจ้าหน้าที่โฆษกถูกจับทุ่มเสาเสียชีวิตที่ประตูตงหวา…
…ฮ่องเต้โกรธจนกระอักโลหิต เป็นลมล้มลงไป…
…ปรากฏว่าเมื่อพระองค์ฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้าก่อจลาจล องค์ชายเจ็ดนำคนมาหมายจะเข้าวังมาช่วยจักรพรรดิทว่าไม่มีพระราชโองการ…
…และตอนนี้เองไปแหย่โดนรังแตนเข้าให้แล้ว…
…ขุนนางใหญ่ท่านนี้กล่าวว่าองค์ชายเจ็ดแสดงออกชัดว่าต้องการกวาดล้างกบฏ แต่ความจริงแล้วต้องการเปลี่ยนแปลงวังหลวง ยังมีคนกล่าวว่า องค์ชายเจ็ดไม่เคยอยู่ในกองทัพมาก่อนเลยสักวัน จะสั่งการหัวหน้าหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้าได้อย่างไร…
…องค์ชายเจ็ดถูกส่งตัวมาอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ทั้งอย่างนั้น…
…เปลวไฟที่พุ่งขึ้นเหนือท้องฟ้าในวันนั้นก็เกิดขึ้นเพราะเรื่องนี้…
…แต่องค์ชายเจ็ดที่ถูกส่งตัวมาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เอาแต่ก้มศีรษะครวญอย่างเจ็บปวด บอกว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งใด ไม่รู้ว่าผู้ใดจัดฉากให้เขาเป็นคนทำเรื่องนี้ เป็นการโยนความผิดมาให้เขา…
…ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ยังยืนกรานหนักแน่ แต่พอคำพูดนี้ออกจากปากองค์ชายเจ็ด ฮ่องเต้พลันเหมือนชราลงไปอีกสิบปี ไม่เพียงตกลงยอมแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นรัชทายาทเท่านั้น ยังแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นฉินอ๋องอีกด้วย ให้ไปปกครองลั่วหยาง”
“อะไรนะ” หวังเฉินที่อดทนฟังมาตลอดจนถึงตอนนี้ได้ยินแล้วกลับลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
องค์ชายทั้งหมดล้วนได้รับแต่งตั้งเป็น ‘โหว’ มีเพียงองค์ชายเจ็ดเท่านั้นที่ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง นี่ฮ่องเต้กลัวองค์ชายเจ็ดมีชีวิตในภายภาคหน้าดีเกินไปหรืออย่างไร
เฉินอวี้ยิ้มขื่น กล่าวว่า “มีพระราชโองการลงมาแล้ว รอศาลบรรพชนจัดการมอบเงินหนึ่งแสนตำลึงทองให้องค์ชายเจ็ดเรียบร้อย องค์ชายเจ็ดก็ออกจากเมืองหลวงไปปกครองเมืองศักดินาได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจได้ไปอยู่เป็นเพื่อนองค์ชายสี่ นี่เป็นสิ่งที่คุณชายรองบอกข้า อย่างไรข้าก็ไม่มีทางพูดผิดอย่างแน่นอนขอรับ”
หวังซีกลับจับความผิดปกติจากสิ่งที่ฟังได้ไม่น้อย
นางหันไปส่งสายตาให้พี่ชายสงบใจลง จากนั้นกล่าวว่า “ที่ฮ่องเต้ทำเช่นนี้คงกำลังลองใจองค์ชายรองอยู่ ดูว่าเขายอมเคารพนับถือพี่น้องหรือไม่”
กล่าวถึงตรงนี้ นางหันไปถามเฉินอวี้ว่า “องค์ชายเจ็ดปฏิเสธการแต่งตั้งนี้ไปอย่างอ้อมๆ ใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ!” เฉินอวี้รู้สึกว่าคุยกับหวังซีง่ายกว่าเล็กน้อย กล่าวว่า “องค์ชายเจ็ดขอให้ฮ่องเต้แต่งตั้งเขาเป็นเล่อซานโหว เขายินดีไปปกครองที่เล่อซาน”
“องค์ชายรองต้องยินดีให้ศาลบรรพชนจัดสรรเงินหนึ่งแสนตำลึงทองนั่นอย่างแน่นอน” หวังซีกล่าว “เทียบกับบรรดาศักดิ์อ๋องแล้ว คาดว่าเขายินดีให้ใช้เงินชดเชยให้องค์ชายเจ็ดมากกว่า”
เฉินอวี้พยักหน้า กล่าวว่า “องค์ชายเจ็ดปฏิเสธแล้วเช่นกัน บอกว่าให้องค์ชายพระองค์อื่นเท่าไร ก็ให้เขาเท่านั้นก็พอ”
“แต่องค์ชายรองต้องไม่เห็นด้วยแน่” หวังซีพึมพำกล่าว “เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็คงไม่ไปคิดเล็กคิดน้อยแล้ว ถ้าหากหลังจากขึ้นครองราชย์แล้วองค์ชายรองยังคงไม่คิดเล็กคิดน้อยดังเดิม ต่อให้เขาไม่ใช่กษัตริย์ที่ฉลาด ก็เป็นกษัตริย์ที่ซื่อตรงพระองค์หนึ่ง”
เหล่าขุนนางก็จะทำงานง่ายขึ้นมาก
เรื่องนี้เฉินอวี้ไม่อาจแสดงความเห็นมากแล้ว
หวังเฉินกล่าวอย่างลังเลว่า “ตอนที่ฮ่องเต้ให้คนไปจวนชิ่งอวิ๋นป๋อนั้น จวนชิ่งอวิ๋นป๋อไม่ต่อต้านขัดขืนจริงๆ หรือ ปล่อยให้ฮ่องเต้จับพวกเขาโยนเข้าคุกหลวงเช่นนั้นจริงๆ หรือ”
“ไม่ได้ต่อต้านขัดขืนจริงๆ ขอรับ” ตอนที่เฉินอวี้พูดถ้อยคำดังกล่าวแววตาเขาเผยความยกย่องออกมาให้เห็นเล็กน้อยโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว “ทุกคนต่างพูดกันว่าจวนชิ่งอวิ๋นป๋อเป็นขุนนางตงฉิน เป็นขุนนางตงฉินที่จงรักภักดีที่สุด”
หวังเฉินไม่ค่อยเชื่อ
หวังซีเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน
นางรู้สึกว่าเรื่องที่องค์ชายเจ็ดเคลื่อนกำลังพลอาจเป็นกับดักหนึ่งก็เป็นได้
แต่ชิ่งอวิ๋นป๋อปฏิบัติต่อคนในครอบครัวของตนอย่างใจแข็งและกล้าเดิมพันขนาดนี้ ก็นับว่าเป็นคนจริงผู้หนึ่งเหมือนกัน
หวังซีกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าบรรดาหัวหน้าหน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้าถูกจัดการอย่างไรบ้าง”
“ทั้งหมดล้วนถูกส่งตัวไปที่ค่ายไหวโหรว รอเวลาดำเนินการขอรับ” เฉินอวี้กล่าว “ว่ากันว่านับตั้งแต่วันที่ฮ่องเต้แต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นเล่อซานโหวเป็นต้นมา ก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย ประชวรอยู่ตลอดขอรับ!”
หวังซีพยักหน้า หันไปยิ้มขื่นให้หวังเฉิน กล่าวว่า “จู่ๆ ก็มีองค์ชายไปสู่จงสามพระองค์ในคราวเดียว ท่านพี่ต้องพิจารณาเรื่องอยู่จิงเฉินต่ออีกสักระยะแล้วหรือไม่”
………………………………………………………………………