ตอนที่ 268 วิญญาณ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 268 วิญญาณ

“ใต้เท้าเจิ้ง เห็นห้องลับชัดเจนแล้วหรือไม่ ลองพูดดู ด้านในมีสิ่งใด”

เซียวฮูหยินยิ้มอย่างรู้ทัน ภายในดวงตาเต็มไปด้วยพายุโหมกระหน่ำ

เจิ้งกังกัดฟันลูบหน้า พลันส่งเสียงไม่พอใจ เขาเดินเข้าห้องลับอีกครั้ง

องครักษ์จินอู่คนอื่นตามติดอยู่ด้านหลัง

ทุกคนล้วนตกตะลึงกับภาพที่เห็นภายในห้องลับ

ป้ายบรรพชนเรียงรายเป็นแถวไม่ต่ำกว่าพันคน

ตำแหน่งด้านหน้าสุด ตรงกลางที่สุดคือป้ายบรรพชนของ “องครักษ์จางอี้” ผู้โด่งดัง

ห้องลับมืดมิดและคับแคบ ทำให้คนเกิดความกลัว

เซียวฮูหยินยืนอยู่หน้าประตู “ใต้เท้าเจิ้ง ด้านในมีสิ่งที่เจ้าต้องการหรือไม่ หากท่านพ่อของข้าดูอยู่บนฟ้า ท่านคงต้องส่งสายฟ้าลงมาผ่าทุกคนที่ล่วงละเมิดตรงนี้”

องครักษ์จินอู่ที่ไม่เกรงกลัวผีเทวดา ไม่เกรงกลัวความตายก็อดที่จะรู้สึกหวั่นใจไม่ได้ในเวลานี้

ที่นี่คือโถงบรรพชนตำหนักบูรพาหรือ

ผู้ใดจะตั้งโถงบรรพชนไว้ในห้องลับกัน

สีหน้าของเจิ้งกังดำทะมึน เขาหันหน้ากลับไปจ้องมองท่านหญิงจู้หยาง เซียวฮูหยินด้วยสายตาโหดเหี้ยม

“ป้ายบรรพชนตำหนักบูรพา?”

เซียวฮูหยินยิ้มเสียดสี “ใต้เท้าเจิ้งคิดจะประหารข้าหรือ ผู้ใดบอกว่าไม่สามารถจัดตั้งโถงบูชาญาติที่ตายไปของข้า อย่าลืม ฮ่องเต้จงจ้งทรงออกพระราชโองการลบล้างข้อหาก่อกบฏให้ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ด้วยพระองค์เอง เจ้ากล้าบอกว่าการตัดสินใจของฮ่องเต้จงจ้งผิดหรือ”

เจิ้งกังหัวเราะเสียงเย็น “ท่านหญิงย่อมสามารถจัดตั้งโถงบูชาได้เซ่นไหว้ญาติที่ตายไปได้ เพียงแต่ตำแหน่งการจัดตั้งโถงบูชาของท่านหญิงทำให้คนเข้าใจผิดว่าด้านในมีความลับที่ไม่อาจเปิดเผยได้ เกรงว่าท่านหญิงเองก็คงไม่มั่นใจใช่หรือไม่!”

“หากเจ้าคิดว่าข้าผิด เวลานี้เจ้าสามารถเข้าวังไปทูลฟ้องได้ ข้าจะคอยเจ้า”

เจิ้งกังกัดฟัน พลันมองป้ายบรรพชนทั้งห้อง น่ากลัวยิ่งนัก

โดยเฉพาะป้ายของ “องค์รัชทายาทจางอี้” ที่วางอยู่ตรงกลาง ทำให้คนเกิดความหวาดกลัวภายในใจอย่างประหลาด

ราวกับมีวิญญาณที่ไม่ดับสลายหลังตายล่องลอยอยู่ภายในโถงบรรพชน พร้อมทั้งจ้องมองทุกคนด้วยสายตาอาฆาตอยู่จริงๆ

เจิ้งกังยังไม่ลดละ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่หาหลักฐานไม่พบ เขาก็ไม่อาจใส่ร้ายได้อย่างเปิดเผย

เขาพูดกับเซียวฮูหยิน “ท่านหญิง พวกเราไว้พบกันใหม่ พวกเราไป!”

เขาโบกมือทีเดียว องครักษ์จินอู่ทุกคนก็ติดตามเขาออกจากห้องลับไป

เมื่อคนจากไป บริเวณรอบด้านเงียบลง

ด้านนอกอากาศร้อนระอุ แต่ภายในห้องลับกลับเย็นสดชื่นอย่างมาก อีกทั้งยังทำให้คนรู้สึกถึงความพิศวง

เซียวฮูหยินยืนนิ่งไม่ขยับ นางยืนมองป้ายบรรพชนด้วยน้ำตาที่ไหลพราก

เยียนอวิ๋นเกอเดินเข้ามาจากด้านนอก ยืนอยู่ด้านหลังของเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาหนึ่งก้าว

“ข้าจุดธูปให้ท่านตา ท่านยายหนึ่งดอก”

เซียวฮูหยินอดกลั้นน้ำตาพลันพยักหน้า “อย่าลืมบรรดาท่านลุง ท่านป้าของเจ้า”

เยียนอวิ๋นเกอจุดเทียนเดินขึ้นหน้า โค้งคำนับสามที พร้อมทั้งจุดธูปหนึ่งดอก

นางไม่เคยพบกับคนที่มีชื่ออยู่บนป้ายบรรพชนเหล่านี้แม้แต่คนเดียว

อีกทั้งชื่อของคนส่วนใหญ่ก็ไม่เคยได้รับการกล่าวถึง

ช่วงเวลาที่เซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาอยู่ในแคว้นซ่างกู่ นางแทบจะไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องในอดีตของตำหนักบูรพา

หลังจากมาถึงเองหลวง แม้จะกล่าวถึงเรื่องในอดีตของตำหนักวังบูรพาเป็นบางครั้ง แต่ก็กล่าวเพียงสั้นๆ

มองดูป้าบรรพชนที่แปลกตา สีหน้าของเยียนอวิ๋นเกอเคร่งขรึม ภายในใจเต็มไปด้วยความตกตะลึง รวมทั้งความรู้สึกโศกเศร้าที่ยากจะบรรยาย

ป้ายบรรพชนนับพันแสดงให้เห็นถึงความร้ายแรงของคดี “องค์รัชทายาทจางอี้” ในเวลานั้น

คนนับพันในตำหนักบูรพา รวมทั้งขุนนางและตระกูลที่เกี่ยวข้องกับตำหนักบูรพารวมแล้วนับแสนคน…

ชีวิตของคนนับแสนกลายเป็นเพียงกระดูกในคดีก่อกบฏนั้น สุดท้ายกลับคืนสู่ดิน

นางจุดธูปให้ญาติที่ไม่เคยพบหน้าทีละคน ความเศร้าโศกเกิดขึ้นในใจ

ทุกคนที่เดินเข้าห้องลับแห่งนี้ล้วนต้องตกตะลึง

นางหันกลับไปมองเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา อ้าปากถามอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่แค้นหรือไม่”

เซียวฮูหยินยิ้มอย่างเศร้าโศก “แค้นผู้ใด”

“ท่านปู่ของข้า หรือฮ่องเต้จงจ้งทรงออกพระราชโองการตรวจสอบทั้งตำหนักบูรพา กำจัดทุกคนในตำหนักบูรพาที่บังอาจขัดขืน หากผู้ใดกล้าทูลขอแทนท่านพ่อของข้า องค์รัชทายาทจางอี้กลางท้องพระโรงหรือถวายฎีกา พวกเขาก็จะถูกตีตราว่าเป็นพรรคพวกของตำหนักบูรพาทันที ถูกส่งเข้าคุกหลวง ประสบกับการถูกทรมานอย่างอมนุษย์ แต่…”

เซียวฮูหยินเงยหน้า นางกลัวน้ำตาไหลลงมา

“สุดท้ายก็ยังเป็นฮ่องเต้จงจ้งที่ทรงออกพระราชโองการลบล้างความผิดก่อกบฏให้กับตำหนักบูรพาและคนที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งหมด ข้าก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้ คนในตำหนักบูรพาตายหมด แต่องครักษ์ในตำหนักบูรพายังไม่ตาย ข้าจึงได้องครักษ์จากตำหนักบูรพาสามพันนายออกจากเมืองหลวง แต่งงานกับตระกูลเยียน ข้ามักถามตัวเองว่าควรแค้นผู้ใด คนที่ข้าควรแค้น ตลอดหลายปีนี้ตายบ้าง ล่มสลายบ้าง ข้าไม่รู้แล้วว่าควรแค้นผู้ใด”

สีหน้าของนางเศร้าโศก

ทุกคนไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายไป ไม่ว่าจะยังแค้นอยู่หรือยังรักอยู่ หากว่ากันตามสายเลือดก็เป็นญาติของนางทั้งสิ้น

มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่ากลัวที่สุด

นางจุดธูปหนึ่งดอก เดินขึ้นหน้าช้าๆ โค้งคำนับสามที เพื่อบิดา เพื่อมารดา ผู้เป็นองค์รัชทยาทและพระชายาของตำหนักบูรพาในอดีต

นางก้มหน้าด้วยความละอายใจ พูดเสียงเบา “ขอโทษ!”

ผ่านไปเป็นเวลานาน นางไม่เคยแก้แค้น นางผิดต่อญาติที่ตายไป

คนที่ตายไปกลับสู่ดิน

แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่กลับต้องทนทุกข์ทรมานต่อไป

เยียนอวิ๋นเกอเดินขึ้นไปพยุงแขนของเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา ห้องนี้อึดอัดและน่าเกรงขามเกินไป ทำให้คนเกร็งไปทั้งตัว

นอกจากเวลาเซ่รไหว้ในแต่ละปี เยียนอวิ๋นเกอก็ไม่เคยเหยียบย่ำเข้ามาในห้องนี้

อีกทั้งทุกครั้งที่เข้ามาล้วนเร่งรีบ

บรรยากาศในห้องนี้ทำให้นางอึดอัด

เซียวฮูหยินพยักหน้า ทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง นางให้เยียนอวิ๋นเกอพยุงออกจากห้องลับไป

ภายในห้องโถงย่อมมีบ่าวรับใช้จัดการเก็บกวาด

จวนตระกูลหลิง

เยียนอวิ๋นฉวนคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวด้านนอกอยู่ตลอดเวลา

เขาหวังว่าตัวเองจะตัดสินใจผิด ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงเรื่องตื่นตูม

แต่เมื่อเขารับรู้ว่าองครักษ์จินอู่เคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ปิดล้อมจวนท่านหญิงจู้หยางเอาไว้ เขาก็เข้าใจทันทีว่าสัญชาตญาณของเขาถูกต้อง

เขากลัวอย่างมาก

แต่ก็รู้สึกโชคดีที่ตนเองมีปฏิกิริยาว่องไว ไม่ได้หลบเข้าไปในจวนท่านหญิง หากแต่เลือกที่จะหลบเข้าจวนตระกูลหลิง

คิดว่าองครักษ์จินอู่คงคาดไม่ถึงว่าเขาจะหลบเข้าจวนตระกูลหลิง นอกจากนี้หลิงฉางจื้อยังให้เขาอยู่

เขาถอนหายใจยาว ภายในใจหวาดระแวง หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ

“ข้าต้องออกจากเมืองหลวงโดยเร็ว เมืองหลวงไม่ปลอดภัยแล้ว หากอยู่ต่อ เกรงว่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้”

หวังกุนซือถอนหายใจ “องครักษ์จินอู่ไม่สามารถหาตัวของนายน้อยในจวนท่านหญิงได้ย่อมต้องค้นหาทั่วเมือง ตรวจสอบคนออกนอกเมืองหลวงอย่างเข้มงวด หากต้องการออกจากเมืองหลวงยังต้องรออีกระยะหนึ่ง รอเรื่องซาลงก่อนค่อยหาทางออกจากเมืองหลวง”

เยียนอวิ๋นฉวนส่ายหน้าระรัว “ข้ากังวลว่าเมื่อเวลานานไปจะเกิดปัญหา อยู่ในเมืองหลวงมากขึ้นหนึ่งวัน ข้าก็ต้องแบกรับความเสี่ยงมากขึ้น ไม่ว่าอย่างไรต้องหาทางออกจากเมืองหลวงโดยเร็ว”

หวังกุนซือขมวดคิ้ว “หากนายน้อยอยากออกจากเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ก่อนอื่นต้องส่งข่าวไปบอกองครักษ์ที่ปักหลักอยู่นอกเมืองหลวงเสียก่อน ให้พวกเขาเตรียมตัวรับนายน้อย เมื่อรับนายน้อยแล้วก็เดินทางกลับโยวโจวทันทีอย่างไม่หยุดหย่อน เพียงแต่เมืองหลวงมีกองทัพเหนือปักหลัก หากฮ่องเต้ทรงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะจับนายน้อย ถึงแม้นายน้อยจะหนีออกจากเมืองหลวง ก็ยากที่จะหนีพ้นจากนครบาล ในนครบาล กองทัพเหนือไร้เทียมทาน!”

“จากความหมายของซินแส ข้าหมดหนทางรอดแล้ว อยู่ในเมืองหลวงมีแต่ทางตาย ออกจากเมืองหลวงก็มีแต่ทางตาย ขอคำชี้แนะจากซินแส ข้าควรทำอย่างไรจึงจะรักษาหัวบนบ่าของข้าไว้ได้”

เวลานี้เยียนอวิ๋นฉวนหงุดหงิดอย่างมาก เขาไม่สุขุมเหมือนแต่ก่อน

แต่หวังกุนซือยังนิ่งอยู่

นิ่งไม่ได้ก็ต้องนิ่ง

เขาเป็นกุนซือ เป็นที่ปรึกษา

หากเขาตื่นตระหนกยิ่งกว่าเจ้านาย เขาก็ไม่มีสิทธืเป็นกุนซือให้ผู้อื่น

เขาลูบเคราพลันครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นจึงพูดขึ้น “หากนายน้อยต้องการออกจากเมืองหลวงอย่างปลอดภัย อีกทั้งยังสามารถหลีกเลี่ยงกองทัพเหนือได้อย่างราบรื่น ท่านต้องขอความช่วยเหลือจากนายน้อยหลิง หากไม่มีนายน้อยหลิงช่วยเหลือ อาศัยนายน้อยตัวคนเดียวคงยากที่จะรอดไปได้”

เยียนอวิ๋นฉวนกัดฟัน “ข้าไปพบพี่ฉางจื้อบัดนี้”

“วันนี้โชคดีที่พี่ฉางจื้อช่วยเหลือ ข้าจึงรอดมาได้ ไม่ถึงกับต้องตกเป็นเชลย ข้าดื่มให้พี่ฉางจื้อหนึ่งจอก”

ห้องโถงเรือนหลังตระกูลหลิง

บนโต๊ะวางเต็มไปด้วยอาหารและสุรา

เยียนอวิ๋นฉวนยกจอกสุราขึ้นดื่ม

หลิงฉางจื้อจิบอย่างรื่นรมย์ พลันพูดเสียงเบา “พี่อวิ๋นฉวนเกรงใจ ความสัมพันธ์หลายปีของท่านกับข้า ท่านลำบาก ข้าจะไม่สนใจได้อย่างไร เช่นนั้นข้าคงกลายเป็นคนชั่วช้า”

“ความลำบากทำให้เห็นใจคน! บุญคุณของพี่ฉางจื้อในวันนี้ ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก วันอื่น หากพี่ฉางจื้อต้องการใช้ข้า เพียงแค่บอก เพียงแต่ข้าเกรงว่าตัวเองจะอายุสั้น อยู่ไม่ถึงวันนั้น”

หลิงฉางจื้อเลิกคิ้วเล็กน้อย “อยู่ดีๆ เหตุใดพี่อวิ๋นฉวนจึงพูดเรื่องอัปมงคล”

เยียนอวิ๋นฉวนก้มหน้ายิ้มขมขื่น “เฮ้อ เวลานี้ข้าปลอดภัย เพียงแต่ข้าไม่อาจหลบอยู่ในจวนพี่ฉางจื้อตลอดไปได้ ยังต้องหาทางออกจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด เพียงแค่กลับไปถึงโยวโจว ผู้ใดก็ทำอันตรายข้าไม่ได้ แต่ปัญหาในเวลานี้คือข้าจะออกจากเมืองอย่างไร จะสลัดทหารที่ไล่ล่าทิ้งได้อย่างไร ข้าปรึกษากับกุนซือมาทั้งบ่ายก็ยังไม่มีข้อสรุปแม้แต่น้อย”

พูดจบ เขาก็ยกจอกสุราขึ้นดื่ม

คิ้วของเขาขมวดมุ่น เห็นได้ชัดว่ากำลังกลัดกลุ้ม

หลิงฉางจื้อยกเหยือกสุราขึ้นรินสุราให้เขา “พี่อวิ๋นฉวนอยากออกจากเมืองหลวง ข้าช่วยท่านได้”

“อ้อ!” ดวงตาของเยียนอวิ๋นฉวนลุกวาว “พี่ฉางจื้อจะช่วยให้ข้าออกจากเมืองหลวงจริงหรือ อย่างนั้นข้าคงติดหนี้บุญคุณพี่ฉางจื้อใหญ่หลวงมาก”

หลิงฉางจื้อวางเหยือกชาลง พลันยิ้ม “ข้าช่วยท่านออกจากเมืองหลวงได้ แต่ไม่สามารถช่วยท่านสลัดทหารที่ไล่ล่าได้ หากท่านต้องการสลัดทหารที่ไล่ล่า ความจริงแล้วมีคนผู้หนึ่งเหมาะสมกว่าข้า”

“ผู้ใด”

ยังมีผู้ใดมีความสามารถมากกว่าหลิงฉางจื้อ

เยียนอวิ๋นฉวนเต็มไปด้วยความสงสัย

หลิงฉางจื้อหัวเราะ พลันพูดเสียงเบา “ย่อมต้องเป็นคุณหนูสี่ตระกูลเยียน น้องสี่ของพี่อวิ๋นฉวน”

“นาง?” เยียนอวิ๋นฉวนรู้สึกประหลาดใจและตกใจ

จะเป็นนางได้อย่างไร

หลิงฉางจื้อพูดอย่างเชื่องช้า “ในมือของคุณหนูสี่มีทหาร อีกทั้งยังมีความกล้า แม้แต่หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกัง นางยังกล้าปะทะ ตามที่ข้ารู้ จวนท่านหญิงในเวลานี้ อาศัยลูกธนูของคุณหนูสี่ลูกเดียวบีบบังคับให้องครักษ์จินอู่ที่ต้องการจะค้นหาจวนท่านหญิงถอยไป เพียงแค่ความกล้านี้ หากนางยอมช่วยท่าน ท่านย่อมสามารถออกจากนครบาลอย่างราบรื่น”

เยียนอวิ๋นฉวนขมวดคิ้วมุ่น “พี่ฉางจื้อไม่รู้ น้องสี่ของข้าอาจไม่ช่วยข้า ข้าเป็นคนทำให้องครักษ์จินอู่รื้อค้นจวนท่านหญิง นางย่อมต้องแค้นอยู่ภายในใจ นอกจากนี้หากข้ากลับไปยังโยวโจว ย่อมต้องเกิดความขัดแย้งกับน้องสอง เยียนอวิ๋นถง ยืนอยู่บนจุดยืนของนาง เกรงว่าการที่ข้าตายอยู่ในเมืองหลวงจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด”

“นางอาจไม่ได้ต้องการให้ท่านตาย! พี่อวิ๋นฉวนอย่าใจร้อน ท่านลองคิดดูก่อน เหตุใดองครักษ์จินอู่จึงต้องจับท่าน”

——————-